เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล - SPIN-OFF บทที่ 53
SPIN-OFF บทที่ 53
ชะงัก
การเคลื่อนไหวของแคลอฮันที่กำลังลูบหน้าตนเองอย่างเหนื่อยล้าพลันชะงักไป
เบเจอร์ที่รู้สึกได้ใจมากขึ้นเมื่อเห็นการตอบสนองเช่นนั้นพลันยิ้มเย้ยหยัน
“นางนั่นทำตัวเป็นปรสิตอยู่ที่นั่นสินะ แต่จะทำยังไงดีล่ะ ตอนนี้รังหนูนั่นดันกลายเป็นสมบัติของลอมบาร์เดียไปซะแล้ว นางชั้นต่ำนั่นคงต้องเดินตามหาที่ซุกหัวนอนใหม่เหมือนคนเร่ร่อนซะแล้วละ”
เสียงเดาะลิ้นจิ๊จ๊ะดังก้องไปทั่วห้องรับแขก
“แคลอฮันเอ๋ย แคลอฮัน เจ้านี่ช่างโง่เขลาจริงๆ”
เบเจอร์แสร้งทำตัวเป็นพี่ชายที่เป็นห่วงน้องชาย เขาลุกขึ้นจากที่แล้วเดินเข้าไปหาแคลอฮันทีละก้าว
“นิสัยอ่อนแออย่างเจ้าคงไม่ได้สนิทสนมกับนางคนเร่ร่อนนั้นเพราะแค่จะคั่วสนุกๆ สินะ แหงอยู่แล้วละ ก็เจ้าเล่นตัวติดกันอย่างกับดูแลเก็บสุนัขที่เก็บมาจากข้างถนนเลยนี่”
เห็นกันอยู่ชัดๆ
ตรงกันข้ามกับเขาและลอเรนซ์ที่ตกหลุมรักการล่าสัตว์มาตั้งแต่อายุยังน้อย แคลอฮันมักจะร้องไห้ออกมาเพราะสงสารสัตว์ป่าพวกนั้น
การจะเป็นเจ้านายผู้มีอำนาจนำพาตระกูล แคลอฮันจบเห่ตั้งแต่นิสัยนั่นแล้ว
“แต่พูดไปถ้าเจ้ามีสมองและรู้จักวางตัวหน่อย ข้าก็คงต้องลำบากแล้วละ ต้องขอบคุณที่เจ้าทำให้ข้ามีเรื่องไปบอกคนในตระกูลว่าเจ้ากำลังมั่วอยู่กับนางชั้นต่ำนั่น พี่ชายขอบคุณมากเลยนะ แคลอฮัน”
“ท่านพี่…จะปล่อยข่าวลืองั้นเหรอครับ?”
“ใช่สิ ทำไมล่ะ เจ้าเองก็กลัวข่าวลือเหมือนกันสินะ?”
เบเจอร์หัวเราะคิกคัก
“ไม่สู้เป็นเหมือนท่านพี่ชานาเนสที่พาเวสตินกลับมายังดีซะกว่า อย่างน้อยถ้านางคนที่ชื่อชาห์นนั่นเป็นบุตรสาวของตระกูลขุนนางที่ตกต่ำสักหน่อย เจ้าอาจจะยังพอมีหวังก็ได้”
พอนึกถึงชาห์นที่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง ใช้นัยน์ตาสีเขียวจ้องมาที่ตนตรงๆ ใบหน้าของเบเจอร์ก็มีความรังเกียจผุดขึ้นมาจางๆ
“คนเร่ร่อนที่ไม่รู้ว่าเอาตัวไปเกลือกกลั้วที่ไหนยังไงมาบ้างเนี่ยนะ”
เบเจอร์จงใจโน้มตัวเข้าไปพูดเพื่อให้แคลอฮันได้ยินชัดเจนขึ้น
“มันสกปรกนะ”
แคลอฮันเอาแต่ก้มหน้าอยู่อย่างนั้น
คงจะกลัวอยู่ล่ะสิ
ท่าทางเช่นนั้นของน้องชายช่างถูกใจเขาเหลือเกิน
จนเบเจอร์ถึงขั้นมีความคิดว่าถ้าอีกฝ่ายคุกเข่าลงไปและประสานมือขอร้องอ้อนวอนขึ้นมา เขาจะลองคิดเรื่องปล่อยข่าวลือใหม่อีกครั้งก็ได้
แต่แน่นอนว่า เขาไม่คิดจะปล่อยให้โอกาสอันดีที่จะทำให้ชื่อของแคลอฮันที่ถูกพูดถึงในหมู่เจ้าตระกูลใต้บังคับบัญชาของลอมบาร์เดียหายไปในพริบตานี้ทิ้งไปเพราะความสนุกแค่นั้นหรอกนะ
“ท่านพี่”
ต่างจากที่คิดเสียที่ไหน แคลอฮันเงยหน้าขึ้นมาจากมือที่ปิดหน้าอยู่ช้าๆ
เบเจอร์รู้สึกตื่นเต้นที่จะได้เห็นใบหน้าซีดเผือดด้วยความกลัวที่จะโผล่มาหลังมือนั้นเป็นอย่างยิ่ง
แต่ทว่า
“ข้าต่างหากล่ะที่รู้สึกโล่งอกไปที”
แคลอฮันที่เงยหน้าขึ้นมากลับมีสีหน้าไร้อารมณ์
นัยน์ตาสีเขียวที่เผยออกมาโดยไร้จากเงาดำของมือบดบัง ตกกระทบกับแสงไฟในห้อง ส่องประกายเจิดจ้า
“เพราะว่าถ้าท่านพี่เป็นคนเฉลียวฉลาดกว่านี้สักหน่อย ก็คงไม่มาบอกข้าว่าจะใช้แผนการมักง่ายอย่างเช่นการปล่อยข่าวลือหรอกครับ”
“…ว่าไงนะ?”
“ถ้าข้าเป็นท่านพี่ละก็ คงจะเอาเงินก้อนใหญ่มาฟาดหัว แล้วก็สั่งให้หนีไปจากลอมบาร์เดียกับคนรักแล้วละครับ ไล่ไปให้ไกล ไกลเสียจนท่านพ่อไม่อาจตามหาพวกเราได้เจอ”
หัวไหล่ของเบเจอร์พลันชะงักไป
“ท่านพี่พลาดโอกาสที่จะกำจัดข้าออกไปจากเส้นทางของท่านพี่แล้วละครับ แต่ก็ช่วยไม่ได้นะครับ เพราะบุตรชายคนแรกของลอมบาร์เดียดันหัวสมองไม่ดีเท่าไร”
“แก แก ไอ้สารเลว!”
ตรงกันข้ามกับท่าทางที่ราวกับจะวิ่งเข้ามาคว้าคอเสื้อได้ทุกเมื่อ เบเจอร์กลับไม่ก้าวออกมาจากตรงที่ยืนอยู่แม้แต่ก้าวเดียว
เขาไม่กล้าสบตากับแคลอฮันที่กำลังมีท่าทางเยือกเย็น
เบเจอร์พยายามแสร้งทำเป็นไม่รู้สึกรู้สาอะไร และกล่าวเสียดสีออกมาแทน
“หึ คิดว่าถ้าเรื่องที่เจ้าสนิทสนมกับนางชั้นต่ำนั่นไปเข้าหูท่านพ่อขึ้นมาจะเกิดอะไรขึ้นล่ะ เจ้าคิดว่าเจ้าจะยังอวดดี ลอยหน้าลอยตาแบบตอนนี้ได้อยู่อีกหรือไง”
ถึงอีกฝ่ายจะแสร้งทำเป็นว่าไม่กลัวข่าวลือ แต่ในความจริงคงไม่เป็นเช่นนั้นหรอก
เบเจอร์คิดอย่างนั้น
แต่ทว่า บนใบหน้าไร้อารมณ์ของแคลอฮันที่จ้องมาที่เขาอย่างเปิดเผยกลับมีความเย้ยหยันผุดขึ้นมาชั่วแวบหนึ่ง
“ท่านพี่บอกว่าลอมบาร์เดียซื้อร้าน ‘คลื่นน้ำสีคราม’ ไว้แล้วไม่ใช่เหรอครับ”
“ใช่ ตัวข้าที่เป็นผู้ดูแลอสังหาริมทรัพท์ของลอมบาร์เดียเป็นผู้ไปติดต่อซื้อขายด้วยตัวเอง อีกไม่นานตึกรอบๆ แถวนั้นก็จะกลายเป็นของลอมบาร์เดียด้วยเหมือนกัน”
“แล้วท่านพี่คิดว่าคนที่ออกคำสั่งให้ทำเช่นนั้นคือใครกันล่ะครับ”
“ระ เรื่องนั้น…”
เป็นรูลลัก ลอมบาร์เดีย ผู้เป็นบิดาและเจ้าตระกูล
“ท่านพี่คิดว่าเรื่องที่ท่านพี่รู้ ท่านพ่อจะไม่รู้เหรอครับ”
ราวกับว่าไม่คุ้มค่าที่จะสนทนาด้วยอีกต่อไป แคลอฮันหมุนตัวกลับโดยทิ้งเบเจอร์ที่เอาแต่อ้าปากพะงาบๆ เหมือนปลาทองไว้ด้านหลัง
จากนั้นก็กล่าวขึ้นมาเสียงเบาโดยที่ยังจับลูกบิดของห้องรับแขกไว้ในมือ
“แล้วก็ช่วยอย่าพูดถึงชาห์นในด้านแบบนั้นอีกนะครับ ข้าขอร้อง”
ทั้งที่เขาพูดว่า ‘ขอร้อง’ ออกมาแท้ๆ แต่ไม่รู้ทำไม เบเจอร์จึงรู้สึกเหมือนได้ยินว่า ‘นี่คือคำสั่ง’
เบเจอร์ที่เหลือตัวคนเดียวในที่สุดยืนจังงังในห้องรับแขกของตนเองไปแบบนั้นอีกสักพัก
***
“ลุกดีกว่า”
ชาห์นที่หลับๆ ตื่นๆ มาตลอดทั้งคืนลุกจากเตียงนอนด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า
นางมีเรื่องให้คิดทบทวนมากมายจึงเลี่ยงไม่ได้ที่จะนอนไม่ค่อยหลับ
ชาห์นที่ลุกขึ้นมานั่งฟุบอยู่บนเตียงนอนใน มองดูท้องฟ้าที่เริ่มทอแสงสลัวๆ ทางด้านนอกพลางพึมพำขึ้นมา
“หรือว่าข้าควรจะกลับไปที่หมู่บ้านดีนะ”
นางเดินทางมาไกลแสนไกลด้วยความมุ่งมั่นว่าอยากจะพบแคลอฮัน แล้วมีชีวิตเหมือนในอนาคตที่เห็นในความฝัน
ตัวเขาที่กว่าจะได้พบกันนั้น เป็นคนที่นิสัยดีและน่ารักยิ่งกว่าที่ได้เห็นในฝันเสียอีก
ชาห์นจึงตกหลุมรักเขาอย่างไม่ต้องสงสัย
และนางก็รู้
ว่าแคลอฮันก็มีความรู้สึกแบบเดียวกันกับนาง
แต่นางกลับรู้สึกไม่มั่นใจมากขึ้นเรื่อยๆ
“ต่อให้ไม่มีข้า แคลอฮันก็น่าจะมีความสุขได้มากพออยู่แล้ว”
ห้องอันมืดมิดชวนให้รู้สึกหนาวเป็นพิเศษ ชาห์นคู้ตัวลง
จากนั้นพึมพำอออกมาอีกครั้ง
“กลับไปดีไหมนะ”
ชาห์นจ้องไปนอกหน้าต่างอยู่อย่างนั้นครู่หนึ่ง ก่อนจะลุกขึ้น
นางอยากเดินสักหน่อย
แอ๊ด
ประตูห้องของชาห์นถูกเปิดออก
“…แคลอฮัน?”
เมื่อได้ยินเสียงเรียกของนาง เงาตะคุ่มที่คู้ตัวอยู่บนโถงทางเดินด้วยท่าทางเดียวกับชาห์นเมื่อครู่ก่อนก็เงยหน้าขึ้นมา
“ตื่นแล้วเหรอ ชาห์น?”
บนใบหน้าสดใสของคนที่กล่าวทักทายมีความเหนื่อยล้าอันหนาหนักที่ปิดไม่มิดเกาะอยู่
“ทำอะไรน่ะคะ รอข้าอยู่เหรอคะ? ตั้งแต่เมื่อไรกันเนี่ย?”
“…ไม่นานเท่าไรครับ”
“โกหก”
ชาห์นหรี่ตาจ้องแคลอฮันครู่หนึ่ง ก่อนจะจับแขนเขาแล้วดึงให้ลุกขึ้น
“พวกเราเข้าไปคุยกันข้างในกันก่อนเถอะค่ะ”
“…ครับ”
ประตูปิดลงอีกครั้ง ชาห์นเอ่ยถามขึ้นในห้องที่เงียบสนิท
“มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นเหรอคะ ทำไมมีเรื่องด่วนแล้วไม่เคาะประตูล่ะ”
“ก็ชาห์นหลับอยู่นี่ครับ”
แคลอฮันตอบอย่างอ่อนโยน
“ข้าไม่อยากรบกวนเวลานอนของชาห์นเลย แต่ว่ามีคำพูดที่ข้าอยากจะพูดกับชาห์นให้ได้อยู่น่ะครับ”
“คำพูดที่อยากจะพูด…เหรอคะ?”
“คือว่า”
แคลอฮันจ้องชาห์นด้วยแววตาลึกซึ้ง ก่อนจะกล่าวออกไป
“อย่าไปเลยนะชาห์น”
“ไปเหรอคะ?”
“ข้าได้ยินมาว่าชาห์นต้องไปจาก ‘คลื่นน้ำสีคราม’ แล้ว ก็เลยกลัวว่าชาห์นจะอยากกลับบ้านเกิดขึ้นมา…”
แคลอฮันจับมือข้างหนึ่งของชาห์นอย่างระวัง
“อย่าไปเลยนะครับ”
“แคลอฮัน…”
“ไม่ไปไม่ได้เหรอครับ”
ดวงตากลมโตของแคลอฮันที่มักจะมีแต่ความอ่อนโยนอยู่เสมอเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
กลัวว่าไม่ได้เจอชาห์นอีกต่อไป กลัวว่าจะสูญเสียนางไป
“แคลอฮัน”
“ครับชาห์น”
“ต้องการ…ข้าไหมคะ?”
นัยน์ตาสีเขียวที่คล้ายคลึงกันสบกันโดยไม่รู้ตัว
“ต้องการครับ”
“จริงหรือเปล่าคะ?”
“ตอนนี้ถ้าไม่มีชาห์น ข้าก็ไม่สามารถทำอะไรได้อีกแล้ว”
แคลอฮันบีบมือข้างที่จับอยู่แน่นขึ้น
ชาห์นลองขยับนิ้วมือที่ถูกกุมไว้ด้วยมือใหญ่อยู่หลายครั้ง ก่อนจะตอบกลับไป
“รู้แล้วค่ะ ข้าไม่ไปแล้ว”
“…จริงนะครับ?”
“จริงค่ะ ข้าจะอยู่เคียงข้างแคลอฮัน”
“อ่า…”
ความยินดีจากความโล่งใจกระจายไปทั่วใบหน้าขาวของแคลอฮัน
“ถ้าแคลอฮันต้องการ ข้าก็จะอยู่ที่นี่ค่ะ แล้วก็…”
ชาห์นยิ้มร่า
“ที่จริงแล้วข้าก็ไม่อยากไปจากลอมบาร์เดียด้วยค่ะ”
ขณะที่ชาห์นตอบกลับเช่นนั้นนั่นเอง
ท่อนแขนอันมั่นคงพลันดึงชาห์นเข้าไปกอด
“มี มีคำพูดที่ข้าอยากจะบอกชาห์นให้ได้ แต่ว่าตอนนี้ข้ายังไม่พร้อมเท่าไร…”
แคลอฮันกระชับแขนทั้งสองข้างให้แน่นขึ้น พลางกล่าวว่า
“ช่วยรอข้าอีกสักหน่อยได้ไหมครับ”
ชาห์นหลับตาลงในอ้อมแขนที่แข็งแกร่ง พลางระบายยิ้มออกมา
อุณหภูมิร่างกายของแคลอฮันแทรกซึมไปทั่วร่างกายแทนความหนาวเหน็บในยามรุ่งสาง
“ข้ารอได้เสมอค่ะ แคลอฮัน”
***
“สุดยอดไปเลยนะครับ ท่านแคลอฮัน!”
โรมาเชีย ดิลลาร์ดพูดพร้อมยิ้มกว้าง
ตอนที่เกิดปัญหาใหญ่ขึ้นกับกลุ่มการค้าในจังหวะที่กำลังยุ่งหัวหมุนกับการเตรียมงานเฉลิมฉลองและงานอภิเษกสมรสขององค์รัชทายาท โรมาเชีย ดิลลาร์ดยังถึงกับหน้ามืดอยู่เลย
เขาถึงขั้นขาสั่นเพราะกลัวว่าตนเองจะเป็นคนทำให้ชื่อเสียงของลอมบาร์เดียเสื่อมเสีย
แต่ปัญหาก็คลี่คลายได้อย่างราบรื่นด้วยวิธีที่แคลอฮันคิดขึ้นมาได้ในชั่วขณะนั้น และในที่สุดพรุ่งนี้ก็เป็นวันอภิเษกสมรสขององค์ชายรัชทายาทแล้ว
“ถ้าไม่ใช่เพราะท่านแคลอฮัน ข้าก็ไม่กล้าคิดเลยครับว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง”
“ไม่ใช่เรื่องที่ข้าจัดการคนเดียวสักหน่อยครับ ชมกันเกินไปแล้วครับท่านหัวหน้ากลุ่มการค้า”
แม้จะอยู่ต่อหน้าสายตาเป็นประกายของโรมาเชีย ดิลลาร์ดและพนักงานของกลุ่มการค้า แคลอฮันก็ยังเอาแต่พูดอย่างถ่อมตัวเช่นนั้น
“การสุภาพมากเกินไปจะเป็นการเสียมารยาทมากกว่านะ แคลอฮัน”
เสียงของคนที่เปิดประตูห้องทำงานของกลุ่มการค้าเดินเข้ามา ทำให้ความสนใจของทุกคนถูกเบี่ยงเบนไป
เมื่อเห็นใบหน้าอันคุ้นเคยที่กำลังยิ้มอยู่อย่างหาได้ยาก โรมาเชีย ดิลลาร์ดก็รีบโค้งตัวทักทายด้วยสีหน้ายินดี
“ท่านเจ้าตระกูล! มาทำอะไรถึงที่นี่กันครับเนี่ย!”