เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล - SPIN-OFF บทที่ 9
SPIN-OFF บทที่ 9
ดวงตาของเฟเรสเบิกกว้างจนมองเห็นนัยน์ตากลมสีแดงได้ทั้งดวง
แม้เขาจะแสดงอารมณ์ออกมาต่อหน้าข้ามากเป็นพิเศษ แต่นานมากแล้วที่ไม่ได้เห็นใบหน้าที่ตกใจถึงขนาดนี้
ระหว่างที่ข้าพิจารณารูปลักษณ์ใหม่ของเฟเรสอย่างเชื่องช้า เขาก็กำลังจ้องมาที่ข้าเงียบๆ เช่นกัน
ความเงียบอันคลุมเครือปกคลุมไปทั่วห้อง
“ว้าว…”
ข้าอ้าปากเพื่อพยายามพูดอะไรบางอย่าง แต่สิ่งที่ออกมากลับมีแต่เสียงร้องอุทานแบบนี้เท่านั้น
“เฟเรส เจ้า…”
แค่สีผมเพียงอย่างเดียว บุคลิกของคนเราก็เปลี่ยนไปได้ถึงขนาดนี้เลยสินะ
มันเป็นสีย้อมผมที่ข้ายื่นให้ด้วยความอยากรู้อยากเห็นด้วยส่วนหนึ่ง ไม่นึกว่าผลลัพธ์ที่ได้จะถึงระดับนี้
แต่นี่ก็ทำให้ข้ามั่นใจได้เรื่องหนึ่ง
“ถ้าเจ้าไว้ผมสีทองละก็…”
ข้าไม่รอดแน่
ข้าไม่กล้าพูดคำที่ต่อท้ายนั่นออกจากปาก และกลืนลงไปดังเอื๊อก
สิ่งที่ข้ากลืนลงไป ก็คือคำนั้นจริงๆ
ไม่ใช่น้ำลาย
“อะแฮ่ม”
ข้ากระแอมไอเบาๆ จากนั้นก้าวเข้าไปหาหลายก้าว แล้วจ้องหน้าเฟเรสอย่างละเอียดมากขึ้น
รอบกายข้า มีคนที่มีผมสีทองอยู่ไม่น้อย
สองแฝดก็เป็นเช่นนั้น
แต่ไม่มีใครเลยที่มีสีผมที่ใกล้เคียงกับสีบลอนด์สว่างเฉกเช่นเฟเรสในตอนนี้
และอาจเพราะอย่างนั้น
“ตาเจ้ากลายเป็นเหมือนทับทิมแล้ว”
นัยน์ตาสีแดงของเขาที่ข้าเคยคิดมาตลอดว่าเหมือนสีเลือด ในวันนี้กลับมีสีที่ดูเหมือนมีเม็ดทับทิมใสฝังอยู่จริงๆ
และภาพที่เส้นผมที่ปล่อยลงมาตรงๆ ขยับพลิ้วไหวทุกครั้งที่กะพริบตานั่น
“ยั่วไปแล้วมั้ง?”
ชั่วขณะนั้น ในดวงตาของเฟเรสก็พลันมีรอยยิ้มพาดผ่าน พร้อมกับที่เขาเอียงศีรษะ
เดี๋ยวนะ เมื่อกี้ข้าพูดอะไรออกไป
“ไม่สิ ก็คือ สวย อือ เข้ากับผมทองมากน่ะ”
“…ขอบใจ”
น้ำเสียงของเฟเรสฟังดูอ่อนแรงราวกับคนที่เหน็ดเหนื่อยอย่างน่าประหลาด
“เทีย เจ้า…”
สายตาสีแดงที่แปลกประหลาดมองปราดไปทั่วใบหน้าของข้าอย่างเชื่องช้า
เห็นได้ชัดว่าเป็นสายตาที่ไม่ต่างไปจากปกติแท้ๆ
แต่ทำไมถึงยากจะเผชิญหน้าแบบนี้กันนะ
“ข้ารู้สึกว่าสีผมเดิมของเทียดีกว่า”
“…แปลกเหรอ”
“เปล่า จะเป็นไปได้ยังไง ก็แค่ รูปลักษณ์แบบนี้มัน…”
อันตราย
หูของข้าไม่ได้ฟังผิดไป
เมื่อครู่เขาพูดว่า ‘อันตราย’ จริงๆ…
“ลงไปกินมื้อเย็นกันไหม?”
เฟเรสที่กล่าวเช่นนั้นประคองข้าไปอย่างเป็นธรรมชาติ
ขณะที่กำลังร้องว่า ‘เอ๊ะเอ๊ะ’ ข้าก็ถูกดันหลังอย่างนุ่มนวล และกำลังก้าวเท้าออกไปโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว
เดี๋ยวสิ เดี๋ยวสิ
ตอนนี้ดูเหมือนอาหารเย็นยังไม่ใช่ปัญหานะ
พวกเรานั่งอยู่ในร้านอาหารซึ่งอยู่ชั้นหนึ่งของที่พัก
เนื่องจากพรุ่งนี้เช้าต้องออกเดินทางอีกครั้ง ดังนั้นข้าจึงตัดสินใจว่าควรรีบกินข้าวให้เสร็จโดยไวและไปพักผ่อนให้เต็มที่
“เมนูหลากหลายกว่าที่คิดเยอะเลย”
ข้ากล่าวเช่นนั้น พลางเหลือบมองเฟเรสที่อยู่อีกฝากของโต๊ะ
อ่า แปลกจริงด้วย
แค่เปลี่ยนสีผมอย่างเดียว เขาที่ข้าเคยเห็นมาตั้งแต่สมัยตัวน้อยๆ ก็ให้ความรู้สึกไม่คุ้นเคยได้ถึงขนาดนี้เชียวเหรอ
แต่พอลองไตร่ตรองดูอย่างละเอียด ข้าก็พบว่าปัญหาไม่ได้อยู่ที่สีผมเท่านั้น
เพราะตั้งแต่วินาทีที่ออกมาจากคฤหาสน์ลอมบาร์เดีย ท่าทางที่ไม่คุ้นเคยก็สะท้อนออกมาจากเฟเรสเป็นระยะเลยน่ะสิ
ยกตัวอย่างเช่น
“สั่งอาหารเลยไหมครับ?”
“ไม่ทราบว่ามีเมนูที่อยากแนะนำไหมครับ?”
ท่าทางที่สนทนากับลูกจ้างในร้านอาหารได้อย่างชำนาญแบบนั้นเป็นเฟเรสที่ดูเหมือนจะมีประสบการณ์ในโลกยิ่งกว่าตัวข้าเสียอีก
จริงอยู่ สมองน่ะเข้าใจ
แต่ทั้งที่เข้าใจ ก็ยังรู้สึกแปลกอยู่ดี
ข้าพยายามสืบหาที่มาของความรู้สึกนี้พลางใช้ปลายนิ้วเคาะบนโต๊ะเป็นจังหวะ
“เมนูนั้นจะเสิร์ฟคู่กับน้ำจิ้มเผ็ดเลิศรส ซึ่งเป็นเมนูซิกเนเจอร์ที่ร้านเราภูมิใจนำเสนอครับ”
เฟเรสมองข้าครู่หนึ่งหลังจากได้ยินคำอธิบายของลูกจ้าง แล้วจึงตอบกลับ
“นอกจากอาหารรสเผ็ด…”
“ไม่เอา ข้าชอบอาหารรสเผ็ด”
เห็นอย่างนี้ ข้าก็เคยเป็นชาวเกาหลีอยู่ช่วงหนึ่งนะ
“อาหารนั้นเผ็ดมากไหมคะ”
“สามารถปรับได้ตามความชอบของคุณลูกค้าเลยครับ จะขอให้ทางครัวทำแบบเผ็ดๆ ไหมครับ?”
“ค่ะ งั้นช่วยทำแบบนั้นให้หน่อยนะคะ ไม่ได้ทานอาหารเผ็ดนานแล้ว ดีเลยค่ะ”
“…ข้าเอาอันนี้แล้วกัน”
พอพนักงานจดออเดอร์ของเฟเรสเสร็จแล้วหมุนตัวกลับไป เขาก็จ้องมาที่ข้าอย่างเปิดเผยพลางเอ่ยถามว่า
“ชอบ…อาหารเผ็ดเหรอ”
“อือ ชอบมาก”
“ตั้งแต่เมื่อไร?”
ตั้งแต่เมื่อไรอย่างนั้นเหรอ
“น่าจะตั้งแต่เด็กนะ?”
“…ไม่เคยรู้เลย” เฟเรสลูบริมฝีปากของตนเองราวกับมึนงงเล็กน้อย
ตึกตึก
ปลายนิ้วของข้ายังคงเคาะลงบนโต๊ะ
“ทำไมข้าถึงคิดว่าเทียกินอาหารเผ็ดไม่ได้กันนะ”
“เรื่องนั้น ข้าเองก็เหมือนกัน”
พอได้ยินคำพูดของข้าที่สวนทางกับทิศทางของเรื่องเล็กน้อย เฟเรสก็ขยับนัยน์ตาสีแดงที่มืดลงเพราะแสงไฟจ้องมาที่ข้า
นั่นสินะ
ทำไมข้าถึงได้คิดว่าเจ้าไม่ถนัดในการคบค้ากับคนอื่นกันนะ
เขาคือเฟเรส บรีบาเชาว์ ดิวเรลลี่ ผู้ที่สามารถทำให้ใครก็ได้มาเป็นพวกของตนเองเมื่อต้องการเชียวนะ
ตึก
ข้าวางปลายนิ้วลงบนโต๊ะด้วยน้ำหนักที่มากกว่าเดิมเล็กน้อย แล้วโพล่งถามออกไป
“พวกเรามาดื่มเหล้ากันไหม เฟเรส?”
จะว่าไป ข้ายังไม่เคยนั่งประจันหน้าดื่มเหล้ากับเขาเลย
อย่างมากที่สุด ก็แค่ดื่มเรียกน้ำย่อยเบาๆ ในมื้ออาหารที่รับประทานร่วมกันเท่านั้น
ทั้งที่รู้จักกันมาตั้งนานถึงเพียงนี้แท้ๆ
“…เหล้า?”
“อือ เหล้า”
ข้ากวาดสายตามองรายการเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่พนักงานวางไว้ให้พลางเอ่ยตอบ
แล้วก็พบเหล้าที่ราคาย่อมเยาแต่รสชาติพอใช้ได้พอดี
“เจ้ากับข้า ยังไม่เคยดื่มเหล้าด้วยกันเลยนี่นา? วันนี้มาลองดื่มด้วยกันสักครั้งเถอะ”
บางทีอาจจะค้นพบภาพลักษณ์อื่นๆ ของกันและกันอีกก็ได้
ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ เฟเรสที่จ้องข้าด้วยใบหน้าสงบนิ่งเล็กน้อยพลันยิ้มออกมาอย่างผ่อนคลาย
“ข้าไม่รู้ว่าเทียดื่มเหล้าเป็นด้วย”
“ดื่มกับครอบครัวบ้างบางครั้งน่ะ โดยเฉพาะคิลลีวูกับเมโลนเป็นเพื่อนดื่มของข้าเลยนะ”
ปกติก็เข้ากันดีแล้ว แต่เมื่อไหร่ที่แอลกอฮอล์เข้าปาก สองแฝดจะยิ่งเข้ากันได้ดีกับข้ายิ่งกว่าเดิมอีก
“เอาอันนี้ไหม?”
หลังจากเห็นชื่อของเหล้าที่ข้าชี้ เฟเรสก็ถามกลับ
“จะไม่เป็นไรเหรอ เหล้านี้แรงมากนะ”
“เห็นข้าเป็นคนยังไง ข้าคอแข็งมากเลยนะ?”
“…เอาสิ มาดื่มกัน”
ข้าสั่งเหล้ากับพนักงานที่นำอาหารมาเสิร์ฟตามเวลา
จากนั้น มื้ออาหารที่กินคู่กับเหล้าก็เริ่มต้นขึ้น และโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัวก็เริ่มมองเห็นก้นขวดแล้ว
“เป็นไง? ข้ายังปกติดีใช่ไหม? บอกแล้วว่าข้าคอแข็ง”
“จริงด้วยสินะ”
“อ๋าอ๋า ยังมีสติมากเกินไปไม่สนุกเลย แต่ว่านะ เฟเรส”
“อืม”
“อย่าเขย่าโต๊ะได้ไหม? เวียนหัวไปหมดแล้ว”
ทันทีที่ข้านิ่วหน้าพลางชี้ไปที่โต๊ะที่โยกไปโยกมา เฟเรสก็หัวเราะคิก ก่อนตอบกลับ
“ได้สิ ขอโทษที”
“รู้ไว้ด้วยว่าข้าไม่เอาเรื่องเพราะเจ้าหน้าตาดีหรอกนะ”
เกิดมาหน้าตาดีมากเสียจนโกรธไม่ลง
“ขวดนี้จะหมดแล้ว พวกเราสั่งเพิ่มอีกขวดไหม”
“ไม่ละ วันนี้ดื่มแค่ขวดนี้พอ”
“ทำไมล่ะ”
“ข้า…เหมือนจะเมาแล้วน่ะสิ”
“เจ้าคออ่อนสินะเนี่ย”
ได้ยินคำถามของข้า เฟเรสที่ยิ้มออกมาอีกครั้งราวกับชอบใจอะไรนักหนาก็พยักหน้าทันที
“อือ ที่จริงข้าดื่มเหล้าไม่ค่อยเก่งน่ะ”
“เฮ้อ นั่นสินะ คนเราก็ต้องมีเรื่องที่ทำไม่ได้กันบ้างสักเรื่อง พี่สาวน่ะ เข้าใจทุกอย่างเลยนะ”
“…อุ๊บ”
เขารีบเอามือปิดปากตนเอง
จากนั้นก็เอ่ยถามขณะที่ตาทั้งสองข้างโค้งขึ้นอย่างสวยงาม
“พี่สาวเหรอ?”
“แน่นอน! พี่สาวสิ!”
“ก็ได้ พี่สาวก็ได้”
“ก็บอกว่าเป็นพี่สาวจริงๆ ไง?”
หลังจากพยักหน้าอย่างใจกว้าง เฟเรสก็เท้าข้อศอกทั้งสองข้างบนโต๊ะแล้วโน้มตัวเข้ามาหาข้า พลางเพ่งมองข้าด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม
“ฮ่าฮ่า”
“อะไร ขำข้าเหรอ?”
“อะแฮ่ม ก็เทียน่า ไม่สิ สวย”
“สวย…เจ้า ถึงข้าจะพูดมาเสมอตั้งแต่ยังเด็กก็เถอะ เวลาคนที่หน้าตาดีจริงๆ อย่างเจ้าพูดเช่นนั้นน่ะ เหมือนข้ากำลังถูกล้อเลียนอยู่เลยนะ”
“ข้าพูดจริงนะ ในสายตาข้าเทียงามที่สุด”
“อะ อะไร”
แค่นี้ข้าก็รู้สึกร้อนจนแทบแย่มาตั้งแต่เมื่อครู่อยู่แล้ว
“อย่าใช้ใบหน้าที่แค่กะพริบตาก็มีเสน่ห์เหลือล้น แถมยังผมทองดูเจ้าเล่ห์แบบนั้นอีก! มาพูดเแบบนี้นะ”
ข้าหยิกแก้มข้างหนึ่งของเฟเรสขณะกล่าว
“หัวใจของพี่สาวมันเต้นตึกตักหมดแล้ว รู้ไหม? พูดแบบนั้นน่ะ!”
“…เฮ้อ”
เฟเรสพูดอะไรไม่ออกไปครู่หนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจออกมาพร้อมกับพึมพำคำว่า ‘…เสน่ห์’ ขณะลูบหน้า
“เทีย”
“หือ?”
“ต่อจากนี้ไป ดื่มเหล้าได้แค่กับข้าเท่านั้นนะ”
“แค่เจ้าเหรอ? ได้สิ ไม่มีปัญหา”
ข้าพยักหน้าอย่างมีความสุข
“ว่าแต่ทำไมเจ้าถึงโกรธล่ะ? ทำหน้าหงุดหงิดจนตรงนี้ย่นไปหมดแล้ว!”
ข้าเอื้อมมือไปกดบริเวณหว่างคิ้วของเขา
ทันใดนั้น สีหน้าของเฟเรสก็ค่อยๆ ผ่อนคลายลงราวกับไม่เคยเป็นแบบนั้นมาก่อน
“ฮี่ฮี่ ได้แล้ว”
“…จะบ้าตาย”
“โอ๊ะโอ๊ะ อีกแล้ว! หน้ามุ่ยอีกแล้ว! ไม่ฟังเลยใช่มั้ย! ทำไมถึงโกรธล่ะ?”
“ไม่ได้โกรธ ข้าจะโกรธเจ้าได้ยังไง”
“แล้วคืออะไรล่ะ?”
“นี่ก็แค่…พอคิดว่าคนอื่นๆ เคยได้เห็นภาพที่งดงามแบบนี้ก็เลย…”
เหมือนจะพูดอะไรมากกว่านั้นเลยนะ
แปลกจัง ไม่ค่อยได้ยินเลย
“ว่าไงนะ?”
“ไม่มีอะไร ตอนนี้พวกเรากลับขึ้นห้องกันดีไหม?”
“อ๊ะ เจ้าง่วงแล้วสินะ? เข้าใจแล้ว ถ้าเจ้าว่างั้น พี่สาวก็ต้องให้ความร่วมมือสิ”
“อือ พี่สาว”
“ว่าไงนะ”
“เปล่า ไม่มีอะไร”
เห็นได้ชัดว่ามีอะไรแท้ๆ
ไม่รู้เพราะเหนื่อยสะสมจากการเดินทางหรือไม่ ข้าเอียงศีรษะที่ไม่ค่อยได้สติอย่างน่าประหลาดขณะลุกขึ้นจากที่นั่ง
“เอ๊ะ ก็บอกว่าอย่าเขย่าโต๊ะไง?”
“ขอโทษ จับมือข้าไว้สิ”
“เฮ้อ เฟเรสของข้า ทำตัวน่ารักจนข้าโกรธไม่ลงอีกแล้ว”
“ฮ่าฮ่า”
ไม่รู้เพราะอะไร เฟเรสถึงได้ระเบิดหัวเราะออกมาเสียงดัง
และพอได้เห็นภาพนั้น ข้าก็หลุดยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัวเช่นกัน
“ฮี่ฮี่ ไปเถอะ รีบนอนกันเถอะ เฟเรสของพวกเรา! จะได้ตัวสูงๆ!”
ช่างเป็นเรื่องที่ประหลาดจริงๆ
จำได้ว่าตอนลงมา ทางไม่ค่อยไกลเท่าไรแท้ๆ
แต่รู้สึกเหมือนทางที่เดินกลับที่พักมันไกลอย่างไม่สิ้นสุด
และตอนที่ข้าเปิดประตูห้องออกหลังจากมาถึงอย่างยากลำบากนั่นเอง
“ว้าว นี่มันเรื่องอะไรกัน”
ดูเหมือนลูกจ้างของที่พักจะเข้ามาระหว่างที่พวกเราไปกินข้าว
“จริงสิ พวกเราเป็นคู่รักที่เพิ่งแต่งงานใหม่นี่นา”
ลืมอยู่เรื่อยเลย
ข้าปล่อยมือของเฟเรสที่จับไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ แล้วเดินเข้าไปในห้อง
ตอนนั้นเองก็ได้ยินเสียงปิดประตูดังแกร็กทางด้านหลัง
“สวยจัง”
ภายในห้องมีแสงเทียนสลัวๆ กลีบดอกไม้โปรยอยู่ทั่วเตียงนอน
เป็นดอกกุหลาบสีแดง
“เฮ้อ ทำไมถึงได้เอาดอกไม้มาโปรยอย่างน่าเสียดายโดยไม่จำ…อ๊ะ!”
ตอนที่ข้าหมุนตัวไปเพื่อเก็บกลีบดอกไม้บนเตียงนั่นเอง ก็รู้สึกว่าพื้นห้องสั่นสะเทือนเหมือนตอนที่เฟเรสเขย่าโต๊ะ ก่อนที่ศูนย์ถ่วงของร่างกายจะเอนไปด้านหน้า
ชั่วขณะที่ข้าหลับตาทั้งสองข้างเพราะคิดว่าจะล้มลง ก็สัมผัสได้ว่ามีมือแข็งแกร่งคว้าข้าเอาไว้
ทันทีที่ค่อยๆ ลืมตาขึ้น
“เฟเรส”
“อือ”
“เจ้าใกล้ไปไหม?”
“…นั่นสินะ”
เรือนผมสีทองและดวงตาสีแดงที่ราวกับเม็ดทับทิมทั้งสองข้างของเขา อยู่ตรงหน้าจมูกของข้าพอดี