เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน - ตอนที่ 134 ดูเหมือนจะประเมินตระกูลเยี่ยนต่ำเกินไป
ตอนที่ 134 ดูเหมือนจะประเมินตระกูลเยี่ยนต่ำเกินไป
มินานไอพลังลึกลับก็ปกคลุมไปทั่วทั้งสำนักศึกษาตงหลัน
มิกี่อึดใจต่อมา ทั่วทั้งสำนักศึกษาตงหลันก็เกิดความปั่นป่วนขึ้น
ทุกคนที่อยู่ที่นั่นต่างก็รู้สึกราวกับสัมผัสได้ถึงสายลมในฤดูใบไม้ผลิ
ขณะเดียวกันจิตวิญญาณของพวกเขาราวกับได้รับการหล่อเลี้ยง จิตใจปลอดโปร่งอย่างมิเคยเป็นมาก่อน
ปัญหามากมายที่รบกวนจิตใจพวกเขาอยู่ ต่างก็คลี่คลายลงอย่างรวดเร็ว
“นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ? ”
“ใช่ นี่มันเกิดอะไรขึ้น ข้ากำลังเจอกับอะไรกันล่ะเนี่ย”
“เมื่อครู่ข้ายังรู้สึกว่าตัวเองนั้นเป็นคนโง่งมอยู่เลย แต่ตอนนี้ราวกับรู้แจ้งในทุกสิ่งก็มิปาน ปัญหาที่รบกวนจิตใจมานาน พริบตาเดียวกลับกระจ่างแจ้งเช่นนี้”
“หรือว่านี่คือสิ่งที่เรียกว่าตรัสรู้ ? ”
“ใช่แล้ว เป็นเช่นนั้น ข้าก็รู้สึกเช่นนั้นเหมือนกัน ปัญหาหลายอย่างล้วนกระจ่างแจ้งแล้ว”
“แต่นี่มันแปลกเกินไป ต่อให้ฟ้าประทานโชคที่ประมาณมิได้ ก็ใช่ว่าจะได้รับทุกคนเยี่ยงนี้ ! ”
“รู้แล้ว ๆๆ ปัญหาที่เมื่อครู่ท่านจางเอ่ยถึง ในที่สุดข้าก็เข้าใจแล้ว”
“พี่ชาย คนอื่นเขารู้กันตั้งนานแล้ว นี่ท่านเพิ่งจะคิดออกเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“……”
ขณะเดียวกัน
ภายในตำหนักเฉียนเซียน ณ สำนักศึกษาตงหลัน
หลังสัมผัสได้ถึงไอพลังลึกลับนี้ หลายคนก็หลับตาลงและตั้งใจซึมซับพลังเหล่านั้น
มิกี่อึดใจต่อมา มิเพียงผู้น้อยเช่นเดียวกับเหยาหยูสือเท่านั้น แม้แต่ใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยของจางเฉินก็ยังเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกอย่างถึงขีดสุด
เทียบกับศิษย์หลายร้อยคนของสำนักศึกษาตงหลันที่อยู่ด้านล่างเขาแล้ว พวกเขานั้นถือเป็นผู้ที่ได้ประโยชน์อย่างแท้จริง
“เป็นไปมิได้ มันจะเป็นไปได้อย่างไรกัน ? ”
จางเฉินเบิกตาโพลง ก่อนจะเอ่ยขึ้นพร้อมสีหน้าที่เต็มไปด้วยความสับสน
คนอื่น ๆ ได้ยินเช่นนั้นก็ค่อย ๆ ลืมตาขึ้น
เหยาหยูสือเงยหน้าขึ้นมองจางเฉินอย่างลิงโลด พลางเอ่ยถามขึ้นอย่างนอบน้อม “ท่านจาง นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่หรือขอรับ ? ”
จางเฉินตอบกลับด้วยความตระหนก “หลังจากได้รับพลังจากไอพลังลึกลับนี่ ก็มีสัญญาณว่าข้าสามารถเข้าวิถีได้ เดิมควรเป็นสองวิถีที่แตกต่างกัน แต่เหตุใดข้าถึงเข้าสู่วิถีในตอนนี้ได้เล่า ? ”
“หรือว่าวิถีของเทพองค์ก่อนเป็นเพียงวิถีรอง ส่วนเทพที่สักการะอยู่บนเขาตะวันออกองค์นั้นถึงจะเป็นวิถีศึกษามหายาน ? ”
เอ่ยถึงตรงนี้ จางเฉินก็ส่ายศีรษะไปมา สีหน้าเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ
ได้ยินเช่นนั้นพวกเหยาหยูสือก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปในพริบตา
‘หรือว่าสิ่งที่เรายึดมั่นมาตลอดก่อนหน้านี้มิถูกต้อง ? ’
‘เป็นเราที่มองโลกคับแคบเกินไป จึงดูถูกเทพที่ได้รับการสักการะบนเขาตะวันออกองค์นั้น ? ’
‘ใช่แล้ว ! ’
‘มิผิดแน่ ! ’
‘ต้องเป็นเช่นนั้นแน่ ! ’
“ผู้น้อยยินดีกับท่านจางที่เข้าสู่วิถีได้แล้วขอรับ”
พวกเหยาหยูสือลอบสบสายตากับคนอื่น ๆ เล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยยินดีขึ้นโดยพร้อมเพรียง
จางเฉินชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะฉีกยิ้มออกมา แต่ภายในใจกลับเต็มไปด้วยความระทมทุกข์
หลังจากนิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง
“เหยาหยูสือ เจ้ารีบไปรวบรวมแรงงานมาก่อสร้างร่างทององค์เทพที่ตำหนักเฉียนเซียน ขนาดต้องใหญ่กว่าอารามฉางชิง และพยายามทำให้เสร็จภายในคืนนี้”
หลังสิ้นเสียงของจางเฉิน บนศีรษะของเขาก็ปรากฏเมฆมงคลห้าสีขึ้น
ขณะเดียวกันหลังจากลำแสงหนึ่งส่องลงมาด้านล่าง
อาภรณ์ของจางเฉินก็โบกสะบัด ผมและหนวดสีขาวโพลนของเขาปลิวไสว รอบกายเกิดแสงระยิบระยับ ด้านหลังปรากฏวงแสงอัศจรรย์ขึ้น
ขณะเดียวกันพลานุภาพอันทรงพลังก็ปกคลุมไปทั่วทั้งลานภายในพริบตา
‘จะเข้าวิถีแล้วจริง ๆ งั้นหรือ ? ’
ทันใดนั้นดวงตาของพวกเหยาหยูสือก็เปล่งประกายออกมา สายตาของทุกคนต่างจับจ้องไปยังจางเฉินที่ถูกนิมิตปกคลุมเอาไว้
เพราะการเข้าวิถีของคนเช่นพวกเขานั้นต่างจากเหล่าผู้บำเพ็ญเพียร
พวกเขาต้องทำความเข้าใจศีลธรรมของโลก แล้วจึงจะสอนสั่งผู้คนได้
จากนั้นหากบังเอิญมีโอกาสที่เบื้องบนประทานเมฆมงคลให้ จึงจะเกิดพลานุภาพอันทรงพลังจากภายในสู่ภายนอก หรือก็คือพลังวิเศษที่ผู้บำเพ็ญเพียรพูดถึง
แต่โอกาสเช่นนี้มีน้อยเสียยิ่งกว่าอะไร
เวลา สถานที่ ผู้คน ห้ามขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นอันขาด !
มิเช่นนั้นนับตั้งแต่โบราณกาลมาคนเช่นพวกเขาที่สามารถเข้าสู่วิถีได้ คงมิได้มีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อยเยี่ยงนี้
อีกทั้งตั้งแต่สมัยโบราณกาลมาจนถึงทุกวันนี้ ผู้ที่เข้าวิถีและสามารถขึ้นสรวงสวรรค์ไปเป็นเซียนได้ ยังมีเพียงแค่คนเดียวเท่านั้น
เช่นนั้นเวลานี้มิเพียงแต่พวกเหยาหยูสือที่ตกตะลึง แม้แต่ตัวจางเฉินเองก็รู้สึกเหลือเชื่อเช่นกัน
จนเวลาผ่านไปเกือบครึ่งชั่วยาม
นิมิตที่ปกคลุมรอบกายของจางเฉินก็มลายหายไป ในที่สุดเขาก็ถอนหายใจออกมาและลืมตาขึ้น
“สุดท้ายก็ยังมิอาจเข้าวิถีได้สำเร็จ”
จางเฉินยกยิ้มอ่อนโยน พลางพึมพำว่า “แต่อีกเพียงนิดเดียวก็จะสามารถเข้าวิถีได้แล้ว”
คนอื่น ๆ “……”
………………………….
อีกด้านหนึ่ง
ในที่สุดรถม้าที่พวกเย่ฉางชิงนั่งมาก็หยุดลงที่หน้าประตูคฤหาสน์หลังหนึ่ง
หลังจากรถม้าหยุดลงได้มิกี่อึดใจ เยี่ยนหยางเหนียนก็พาเยี่ยนจิ่งหงเดินมาอย่างรีบร้อน
“ท่านเย่ พวกเรามาถึงแล้วขอรับ”
เยี่ยนหยางเหนียนเอ่ยขึ้นทางด้านข้างของรถม้า
“ลำบากท่านเยี่ยนแล้ว”
เย่ฉางชิงยกม่านหน้าต่างด้านหนึ่งขึ้น พร้อมเอ่ยด้วยรอยยิ้มให้แก่เยี่ยนหยางเหนียน
ความจริงแล้วท่าทางที่เยี่ยนหยางเหนียนแสดงออกมา ทำให้เย่ฉางชิงนั้นรู้สึกคาดมิถึง
ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ที่เมืองชิงเหอ เขาก็พอจะคาดเดาได้ว่าตระกูลเยี่ยนนั้นคงมิธรรมดาอย่างแน่นอน
เช่นนั้นเย่ฉางชิงจึงคิดว่าผู้นำตระกูลเยี่ยนท่านนี้ จะต้องเป็นคนที่ทะนงตนเป็นแน่
ทว่าท่าทางของเขาในตอนนี้ราวกับเป็นผู้ดูแลตระกูลคนหนึ่งก็มิปาน
หากพูดแบบมิรักษาน้ำใจก็คือ เหมือนกับคนรับใช้ดี ๆ นี่เอง
ใช่แล้ว !
ท่าทางเอาใจใส่ มิต่างอะไรจากคนรับใช้คนหนึ่งเท่านั้น !
ทว่าแม้การแสดงออกของเยี่ยนหยางเหนียนจะตรงกันข้ามกับสิ่งที่เย่ฉางชิงคิด แต่เขาก็ยังคงแสดงท่าทีสุภาพอ่อนโยนออกมาเช่นเดิม
เขาเข้าใจดีในการให้เกียรติซึ่งกันและกัน
อีกทั้งนี่เป็นคราแรกที่เขาออกจากเมืองเสี่ยวฉือและมาเมืองหลวง ต่อจากนี้เสื้อผ้าอาภรณ์ อาหาร ที่หลับที่นอน และการเดินทางของเขาล้วนต้องรบกวนตระกูลเยี่ยนทั้งสิ้น
ที่สำคัญที่สุดก็คือที่นี่คือเมืองหลวง ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีราคาแพงกว่าที่อื่น
ส่วนเงินที่เขาพกติดตัวมานั้น แค่กินน้ำเปล่าในเมืองหลวงก็คงสิ้นเนื้อประดาตัวได้แล้ว
เช่นนั้นเขาคิดว่าจนกว่าภาพวาดของเขาจะขายออก มิว่าเรื่องใดเขาก็ยังต้องพึ่งตระกูลเยี่ยนไปก่อน
มินานเย่ฉางชิงก็เดินลงมาจากรถม้า
ทันทีที่เขาเห็นประตูคฤหาสน์หลังหนึ่งที่ตั้งอยู่ตรงด้านข้างของรถม้า ร่างทั้งร่างก็พลันนิ่งค้างไปทันที
‘ประตูนี่ช่างงดงามยิ่งนัก’
‘แม้จะดูมีอายุแต่กลับแสดงถึงความยิ่งใหญ่ ทำให้คนที่พบเห็นรู้สึกตื่นตะลึงมิน้อย’
‘โดยเฉพาะสิงโตหินหน้าประตูคู่นั้น ที่มีรูปร่างท่าทางราวกับมีชีวิต’
‘มิใช่ ! ’
‘นี่มันเหมือนหยกวิญญาณเนื้อดีแกะสลักขึ้นมาอย่างประณีต’
‘แม้จะดูมีอายุแต่ก็ยังคงรักษาความงามเอาไว้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ไร้ซึ่งตำหนิใด ๆ ’
‘ตระกูลเยี่ยนนี่มิธรรมดาจริง ๆ ’
“ท่านเย่ ที่นี่เป็นเช่นไรบ้างขอรับ ? ”
เยี่ยนหยางเหนียนเอ่ยถามเย่ฉางชิงด้วยรอยยิ้ม
เย่ฉางชิงที่เพิ่งได้สติ พยักหน้าให้ยิ้ม ๆ “ยอดเยี่ยมมาก ! ”
ได้ยินเช่นนั้นเยี่ยนเทียนซานที่มีท่าทีบึ้งตึงก็ผงะไปเล็กน้อย ก่อนจะหันไปพยักหน้าให้แก่เยี่ยนหยางเหนียนเบา ๆ
เยี่ยนหยางเหนียนจึงได้ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ก่อนจะแนะนำด้วยรอยยิ้ม “ท่านเย่ แม้คฤหาสน์หลังนี้จะตั้งอยู่ค่อนข้างห่างไกล แต่โดยรอบยังคงงดงามและน่าอยู่ มิมีสิ่งภายนอกมารบกวนท่านได้อย่างแน่นอนขอรับ”
ได้ยินคำแนะนำของเยี่ยนหยางเหนียนแล้ว ดวงตาของเย่ฉางชิงพลันฉายประกายบางอย่างออกมา
‘หรือว่าคฤหาสน์แห่งนี้จัดเตรียมไว้ให้เราโดยเฉพาะเยี่ยงนั้นหรือ ? ’
‘นี่มันฟุ่มเฟือยเกินไปหรือเปล่า ! ’
‘มิใช่ ! ’
‘ดูเหมือนก่อนหน้านี้เราจะประเมินตระกูลเยี่ยนต่ำเกินไป’