เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน - ตอนที่ 165 ภาพทิวทัศน์ราคา 180,000 ตำลึงทอง
ตอนที่ 165 ภาพทิวทัศน์ราคา 180,000 ตำลึงทอง
รูปโฉมเป็นเช่นไร ?
ได้ยินเช่นนั้น มิว่าจะเป็นหลิวหรูเยียนที่กำลังนวดไหล่อยู่ หรือหลู่ฉีและหลิวหรูอี้ที่ยืนอยู่ข้าง ๆ แม้กระทั่งสวี่ชิงเยว่ที่กำลังวาดภาพก็ถึงกับชะงักงันไปทันทีอย่างห้ามมิได้
ทันใดนั้น สมองของพวกเขาก็มีภาพของเย่ฉางชิงลอยขึ้นมาแทบจะพร้อม ๆ กัน
รูปร่างหล่อเหลาราวกับหยก อาภรณ์สีขาวราวหิมะ อุ้มจิ้งจอกน้อยสีขาวขาวโพลนเอาไว้
โดยเฉพาะความสุภาพอ่อนโยนที่แผ่ออกมาจากภายใน เปรียบดั่งเซียนจากสวรรค์ชั้นฟ้า
อย่าว่าแต่ทั่วทั้งแคว้นต้าเยี่ยนเลย ต่อให้หาจนทั่วทั้งจงหยวน หรือย้อนกลับไปจนถึงสมัยบรรพกาล
ยอดบุรุษเช่นนี้ก็ยากที่จะมีผู้ใดเทียบเคียงได้
คนเช่นนี้ยังจะต้องพูดถึงเรื่องรูปโฉมอะไรอีก ?
แต่ด้วยฐานะที่สูงส่งของสตรีลึกลับผู้นี้ คนทั้งสี่จึงลอบสื่อสารกันทางสายตาเล็กน้อย แต่มิมีใครกล้าเอ่ยแย้งใด ๆ ออกมา
ตอนนั้นเอง สตรีลึกลับก็ได้เหลียวหน้าไปมองหลิวหรูเยียนที่ยืนอยู่ด้านหลังแล้วถามขึ้นว่า “หรูเยียน เจ้ามีสายตาเฉียบแหลม อีกทั้งยังเคยเห็นคนผู้นั้นมาก่อน ไหนเจ้าลองบอกมาสิว่ารูปโฉมของเขาเป็นเช่นไร ? ”
“เอ่อ…”
หลิวหรูเยียนถึงกับพูดมิออกขึ้นมาทันที
“บรรยายยากมากงั้นหรือ ? ”
คิ้วเรียวยาวของสตรีลึกลับเลิกขึ้น พลางเอ่ยถาม
“เรียนท่านเจ้าหอ ท่านเย่ผู้นั้นหน้าตาเป็นเช่นไรกันแน่ รอชิงเยว่วาดภาพของเขาออกมาแล้ว ท่านจะได้เห็นเองเจ้าค่ะ”
หลิวหรูเยียนนวดไหล่ของสตรีลึกลับอย่างระมัดระวังไปพลาง พร้อมเอ่ยอย่างครุ่นคิดว่า “อีกอย่างหากท่านเย่ผู้นี้กลายเป็นสามีของท่านจริง วันนี้ศิษย์ก็คงทำผิดที่ล่วงเกินและเสียมารยาทไปแล้วเจ้าค่ะ”
“สามี ? ”
มุมปากสตรีลึกลับโค้งขึ้นเล็กน้อย แล้วเอ่ยยิ้ม ๆ “ดูเหมือนเจ้าจะมั่นใจในคนผู้นี้มากเลยนะ ? ”
หลิวหรูเยียนตอบกลับด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เรียนท่านเจ้าหอ ศิษย์บอกมิได้เจ้าค่ะ”
สตรีลึกลับหยิบของว่างชิ้นหนึ่งเข้าปาก มิได้เอ่ยสิ่งใดอีก
จนเวลาผ่านไปเกือบครึ่งชั่วยาม
ในที่สุดสวี่ชิงเยว่ก็หยุดมือ ก่อนจะหมุนตัวกลับมาพร้อมเอ่ยกับสตรีลึกลับอย่างนอบน้อมว่า “เรียนท่านเจ้าหอ ศิษย์วาดภาพเสร็จแล้วเจ้าค่ะ”
เอ่ยจบสวี่ชิงเยว่ก็หยิบกระดาษซวนบนโต๊ะ เดินมาตรงหน้าของสตรีลึกลับ
และแล้วภาพวาดราวกับมีชีวิตก็ปรากฏสู่สายตา
ต้องยอมรับว่าฝีมือการวาดภาพของสวี่ชิงเยว่เหนือชั้นอย่างมาก
นางเห็นหน้าเย่ฉางชิงได้มินาน แต่ภาพที่นางวาดออกมามิว่าจะเป็นลักษณะท่าทาง โดยเฉพาะความสุภาพอ่อนโยนเป็นนิจ ล้วนถ่ายทอดออกมาได้อย่างดีเยี่ยม
พวกหลิวหรูเยียนทั้งสามคนเห็นเช่นนั้นก็สบตากันเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้าอย่างชื่นชม
มิเลว !
ดูดีมาก !
ยอดเยี่ยม !
ทันทีที่สตรีลึกลับเห็นภาพวาดภาพนั้นก็ตกตะลึงในทันที นัยน์ตาหงส์คู่นั้นจับจ้องไปยังบุคคลในภาพ
มิว่าจะเป็นใบหน้าที่หล่อเหลา หรือว่าลักษณะท่าทางที่แผ่ออกมาจากภายในล้วนเป็นไปตามที่นางต้องการอย่างมาก
ที่สำคัญที่สุดก็คือความแตกฉานในพิณ หมากล้อม อักษรพู่กัน และภาพวาดช่างสูงส่งยิ่งนัก
สำหรับนางแล้ว บนโลกนี้มีเพียงบุรุษหนุ่มเพรียบพร้อมเช่นนี้เท่านั้น จึงจะเหมาะสมกับนาง มู่หรงลี่จู
‘ข้ารอคอยมาแสนนาน ในที่สุดก็ได้พบจนได้ ! ’
‘เขานี่แหละ ! ’
‘มีเพียงเขาเท่านั้น ! ’
หลังจากได้สติ สตรีลึกลับที่มีนามว่ามู่หรงลี่จูก็ราวกับภูเขาน้ำแข็งพังละลายก็มิปาน ภายในดวงตาเย็นชาคู่นั้นตอนนี้กลับเต็มไปด้วยความอ่อนโยน
“มิเลว ! บนโลกนี้มีเพียงบุรุษเช่นนี้ที่จะเหมาะสมกับข้า มู่หรงลี่จู ! ”
มู่หรงลี่จูดื่มสุราอย่างสำราญไปหนึ่งจอก แล้วเอ่ยขึ้นอย่างยินดี
แต่ทันทีที่สิ้นเสียง พลันก็เกิดเหตุการณ์ประหลาดพิสดารขึ้น
บนภาพเหมือนที่สวี่ชิงเยว่วาดออกมานั้น ใบหน้าของเย่ฉางชิงตอนนี้กลับค่อย ๆ เลือนรางลงอย่างมิทราบสาเหตุ
ทันใดนั้นทุกคนต่างก็มีสีหน้าเปลี่ยนไป ท่าทางเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก
‘นี่มัน ! ’
‘นี่มัน ! ’
‘นี่มัน ! ’
‘นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ? ’
‘เหตุใดจู่ ๆ ภาพวาดถึงได้เลือนรางลงเช่นนี้ ! ’
‘นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ! ’
เวลานี้แม้แต่มู่หรงลี่จูที่มีความเป็นมามิธรรมดาก็ยังอดมิได้ที่จะมีสีหน้าเปลี่ยนไป ท่าทางของนางเต็มไปด้วยความประหลาดใจ
วินาทีต่อมานางก็ได้ลุกขึ้นยืน ก่อนที่ร่างของนางจะแวบหายไป
ทว่าเพียงพริบตานางก็ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง ใกล้กับภาพวาดด้วยท่าทางเคร่งเครียด
หลังจากไตร่ตรองดูแล้ว นางจึงค่อย ๆ ยื่นนิ้วเรียวยาวนิ้วหนึ่งออกไปลูบไล้ส่วนที่เลือนลางบนภาพวาดอย่างลังเล
ผ่านไปมิกี่อึดใจราวกับนางสัมผัสได้ถึงบางอย่าง ก่อนจะหันไปมองหลิวหรูเยียนแล้วถามเสียงเย็นว่า “หรูเยียน วันนี้คนผู้นี้มากับคนของราชวงค์ต้าเยี่ยนงั้นหรือ ? ”
หลิวหรูเยียนที่มีใบหน้าซีดเผือดผงะไปเล็กน้อย ก่อนจะรีบตอบกลับอย่างรวดเร็ว “เรียนท่านเจ้าหอ ใช่แล้วเจ้าค่ะ”
ใบหน้าของมู่หรงลี่จูเย็นเยียบ รอบกายแผ่ความน่าเกรงขามออกมา พลางขมวดคิ้วแน่น “ดูท่าคืนนี้ คงต้องไปเจอตาเฒ่านั่นสักหน่อยแล้ว”
…………………………
อีกด้านหนึ่ง
ด้วยการนำทางอย่างคุ้นเคยของเยี่ยนปิงซิน
พวกเย่ฉางชิงก็มาถึงหอจุ้ยเซียน ที่มีชื่อเสียงในทางใต้ของเมืองหลวง
ที่แห่งนี้คือภัตตาคารสี่ชั้น และมีการตกแต่งอย่างประณีตสวยงาม
เมื่อเข้ามาถึงโถงของภัตตาคาร ผู้ดูแลก็ได้ออกมาต้อนรับและเดินนำกลุ่มของเย่ฉางชิงมุ่งตรงไปยังชั้นบนสุดของภัตตาคาร
เทียบกับสามชั้นแรกที่ตกแต่งหรูหราและดูวุ่นวายกว่าแล้ว
ชั้นสี่ของหอจุ้ยเซียนกลับมีบรรยากาศที่ดูโบราณแปลกตา แต่คาดว่างบประมาณที่ใช้ในการตกแต่งนั้นดูสูงค่ากว่าสามชั้นแรกเป็นอย่างมาก
แม้บนชั้นสี่จะมีโต๊ะสุราเพียงมิกี่ตัว ทว่าล้วนแล้วแต่แกะสลักจากไม้จินสื่อหนาน1อันล้ำค่าและประณีตทั้งสิ้น
อีกทั้งโต๊ะสุราทุกตัวล้วนถูกตั้งอยู่ชิดริมหน้าต่าง เพื่อให้สามารถชมวิวทิวทัศน์โดยรอบสุดลูกหูลูกตาได้เต็มอิ่ม
แต่สิ่งที่คาดมิถึงที่สุดก็คือ
บนชั้นสี่แห่งนี้ยังมีภูเขาและสายน้ำจำลอง รวมทั้งต้นไม้และก้อนหิน แม้กระทั่งหมอกทิพย์ลอยปกคลุมอยู่ ให้ความรู้สึกราวกับแดนสวรรค์ที่มนุษย์สรรสร้างขึ้น
ดูก็รู้ว่าการจะสร้างบรรยากาศเช่นนี้ได้ ต้องใช้เงินทองและทรัพยากรมากมายเพียงใด
ทันทีที่เย่ฉางชิงได้เห็นภาพตรงหน้า ตัวของเขาถึงกับชาวาบไปทันที
มิต้องพูดถึงว่าอาหารและสุราที่นี่จะมีราคาแพงขนาดไหน เกรงว่าเพียงแค่นั่งเล่นที่นี่เพียงครู่ ดื่มชาสักจอกก็คงจะราคามิเบาแล้วกระมัง ?
ทรัพย์สินทั้งหมดบนกายเขามีเพียงมิกี่ร้อยตำลึงเท่านั้น จะพอใช้จ่ายที่นี่สักคราจริง ๆ หรือ ?
อีกทั้งยังมิใช่ตัวเขาเพียงคนเดียว ยังมีพวกเยี่ยนเทียนซานอีกตั้งสี่คนด้วย !
วินาทีนี้เย่ฉางชิงจึงเข้าใจคำว่า ‘ถึงตายก็จะต้องรักษาหน้าไว้ แม้จะมีชีวิตอยู่เพื่อรับกรรม’ ได้อย่างถ่องแท้ก็ครานี้
สำหรับตระกูลเยี่ยนแล้วค่าใช้จ่ายของที่นี่อาจจะนับว่ามิเท่าไหร่ มิเช่นนั้นเยี่ยนปิงซินคงมิคุ้นเคยกับที่นี่เพียงนี้
แต่สำหรับตัวเขาแล้ว เกรงว่าจะรับมิไหว !
เย่ฉางชิงคิดถึงตรงนี้ก็รู้สึกเสียใจเป็นอย่างมาก
‘เมื่อครู่นี้ข้าจะหาเหาใส่หัวทำไมกัน ? ’
‘ท่านเยี่ยนยืนยันที่จะเป็นเจ้าภาพเลี้ยงต้อนรับข้าอยู่แล้ว สุดท้ายเพื่อศักดิ์ศรีที่ต่ำต้อย ข้ากลับบังคับให้ท่านเยี่ยนยอมจนได้’
‘เย่ฉางชิงเอ๋ยเย่ฉางชิง ภัยพิบัติจากสวรรค์ยังรอดพ้นได้ แต่กรรมที่ก่อขึ้นเองนั้นเยี่ยงไรเสียก็มิมีทางหนีพ้น ! ’
‘รอกินเสร็จเมื่อไร เจ้าก็เตรียมตัวล้างจานชดใช้เขาที่นี่ทั้งชีวิตได้เลย ! ’
ขณะที่เย่ฉางชิงกำลังโศกเศร้าอยู่ภายในใจ และกวาดตามองโดยรอบไปด้วยนั้น ก็บังเอิญเหลือบไปเห็นภาพทิวทัศน์ภาพหนึ่งที่ติดม้วนภาพเอาไว้อย่างประณีตบนกำแพง
ต้องบอกว่าฝีมือการวาดภาพทิวทัศน์ภาพนี้นับว่ามิเลวเลย แต่น่าเสียดายที่แนวคิดของภาพนี้ยังมีจุดบกพร่องอยู่
ตอนนั้นเองแววตาของเย่ฉางชิงพลันเปล่งประกายขึ้นมา
ทว่าใบหน้าของเขายังคงเรียบนิ่งเหมือนเดิม ก่อนจะหันไปหาผู้ดูแลภัตตาคารที่มีรูปร่างอ้วนท้วนและกำลังยิ้มจนเต็มหน้า
“เถ้าแก่ ภาพทิวทัศน์ภาพนั้นดูมิเลวเลย คงจะมาจากยอดฝีมือบางท่านใช่หรือไม่ ? ”
เย่ฉางชิงชี้ไปที่ภาพวาดทิวทัศน์ที่อยู่ไม่ไกล พลางเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
ผู้ดูแลภัตตาคารหัวเราะออกมา ก่อนจะเอ่ยอย่างภาคภูมิใจว่า “นายท่านผู้นี้สายตาเฉียบแหลมนัก ภาพนี้เป็นภาพของจริงจากอาจารย์ปี้เหลียน ตอนนั้นเพื่อให้ได้ภาพนี้มานายท่านของข้าต้องจ่ายไปถึง 180,000 ตำลึงทองจึงซื้อมาได้”
‘อาจารย์ปี้เหลียน ? ’
‘180,000 ตำลึงทอง ? ’
เย่ฉางชิงที่ได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกราวกับมีเสียงวิ๊งดังขึ้นในโสตประสาท
‘ภาพทิวทัศน์เช่นนี้สามารถขายได้ถึง 180,000 ตำลึงทองเชียวหรือ ? ’
‘นายท่านของเจ้าไปเอาเงินทองมาจากไหนกัน ? ’
‘ดินหรือหินบนพื้น ? ’
‘น้ำในทะเล ? ’
‘อากาศ ? ’
แม้เย่ฉางชิงจะรู้สึกโล่งอก ทว่าก็ยังอดที่จะพร่ำบ่นมิได้
1 ไม้จินสื่อหนาน เป็นต้นไม้เนื้อแข็งชนิดหนึ่ง ลวดลายของเนื้อไม้มีลักษณะเหมือนดิ้นทอง