เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน - ตอนที่ 170 บุรุษผู้นี้ต้องเป็นของข้ามู่หรงลี่จูเท่านั้น
ตอนที่ 170 บุรุษผู้นี้ต้องเป็นของข้ามู่หรงลี่จูเท่านั้น
คิดถึงตรงนี้ตี๋ซิวหยวนและจูฟู๋ที่มีใบหน้าเคร่งเครียด ก็อดมิได้ที่จะสื่อสารกันทางสายตาอีกครั้ง
ตี๋ซิวหยวนพำนักอยู่ทิศตะวันออกของเมืองหลวง อีกทั้งเรือนของเขายังอยู่มิไกลจากเขาตะวันออกอันเป็นที่ตั้งของอารามฉางชิงมากนัก
ก่อนหน้านี้หลังจากที่อารามฉางชิงสร้างเสร็จแล้ว เขายังเคยขึ้นเขาไปสักการะอยู่หลายครา
อีกทั้งสองวันมานี้อารามฉางชิงยังปรากฏนิมิตสุดอัศจรรย์ขึ้นหลายครา ทำให้ทางตะวันออกของเมืองหลวงเกิดเสียงฮือฮามิขาดสาย
และช่วงนี้ก็มีข่าวลือออกมามากมาย
บางคนก็บอกว่าเป็นเพราะจิตใจอันตั้งมั่นของพวกเขา อารามฉางชิงจึงปรากฏนิมิตขึ้นบ่อยคราเช่นนี้
ส่วนบางคนก็บอกท่านเทพฉางชิงและแคว้นต้าเยี่ยนมีความเกี่ยวพันกันบางอย่าง การที่ปรากฏนิมิตเช่นนี้คงเพราะท่านเทพฉางชิงได้สำแดงอิทธิฤทธิ์ เพื่อประทานโชคให้แก่แคว้นต้าเยี่ยน…
ทำให้ความคิดเห็นของผู้คนจึงแตกต่างกันไป
ทว่าเมื่อสองวันก่อน
บัณฑิตจางผู้ที่ถูกขนานนามว่าเทพแห่งการศึกษาจากสำนักศึกษาตงหลัน ได้ยืนยันว่า การที่อารามฉางชิงปรากฏนิมิตบ่อยเช่นนี้ ต้องเป็นเพราะท่านเทพฉางชิงปรากฏตัวขึ้นในเมืองหลวงแน่นอน
เช่นนั้นจึงได้ทำร่างทองสะท้อนกับอารามฉางชิงขึ้น
ทันทีที่คำพูดนี้ของบัณฑิตจางแพร่ออกไป ก็ทำให้เกิดความปั่นป่วนโกลาหลไปทั่วทั้งเมืองหลวง
บัดนี้การที่มีผลงานจากสวรรค์เช่นนี้ปรากฏขึ้น
อีกทั้งผู้ที่รังสรรค์ผลงานชิ้นนี้ยังมีนามว่าเย่ฉางชิง ซึ่งเป็นชื่อที่ใกล้เคียงกับท่านเทพของแห่งอารามฉางชิงอีกด้วย
จึงมีความเป็นไปได้ว่าท่านเทพฉางชิงผู้นี้แท้จริงแล้วมีชื่อว่า เย่ฉางชิง
แน่นอนว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ
เจ้าของตัวจริงของหอจุ้ยเซียน เป็นซือจื่อที่มีฐานะสูงส่ง ผู้ที่ทำให้จูฟู๋หวั่นเกรงได้เพียงนี้
ก็คงมีเพียงคนของราชวงศ์เท่านั้นที่จะมีฐานะสูงส่ง
อีกทั้งการที่แคว้นต้าเยี่ยนสร้างอารามฉางชิงขึ้นในเมืองหลวง แสดงว่าท่านเทพฉางชิงท่านนี้จะต้องมีความเกี่ยวพันกับคนในราชวงศ์อย่างมากเป็นแน่
เช่นนี้ก็คาดเดาได้แล้วว่าท่านเย่ผู้นี้ มีความเป็นไปได้สูงที่จะเป็นท่านเทพที่ตั้งอยู่บนอารามฉางชิง
คิดถึงตรงนี้
“สูด ! ”
ตี๋ซิวหยวนก็อดมิได้ที่จะสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่อีกครา เพียงพริบตาสีหน้าก็เต็มไปด้วยความปิติยินดี
หากภาพนี้เป็นผลงานของท่านเทพฉางชิงจริง เช่นนั้นการได้เข้าม้วนภาพผลงานของสวรรค์เช่นนี้ แม้ตายเขาก็มิเสียดายชีวิตแล้ว
ลูกหลานตระกูลตี๋จะต้องภาคภูมิใจในตัวเขาเป็นแน่
ส่วนจูฟู๋
ความคิดของเขานั้นมิได้ซับซ้อนอะไร
ผู้ที่สามารถทำให้องค์หญิงเก้าผู้สูงส่งมาคอยปรนนิบัติเช่นนี้ได้ ทั่วทั้งแคว้นต้าเยี่ยนผู้ใดกันจะมีคุณสมบัติเช่นนี้ ?
อีกทั้งผู้ที่รังสรรค์ภาพ ๆ นี้คือเย่ฉางชิง
เช่นนั้นเย่ฉางชิงจะต้องเป็นท่านเทพฉางชิง ที่ตั้งอยู่ในอารามฉางชิงเป็นแน่
แต่เมื่อคิดถึงตรงนี้ จูฟู๋ก็รู้สึกเศร้าใจขึ้นมา
ก่อนหน้านี้หากเขามีความกล้ามากกว่านี้ต่อให้หัวจะหลุดออกจากบ่า ได้มองท่านเทพฉางชิงผู้เก่งกาจท่านนั้นเต็ม ๆ ตา คงจะดีมิน้อยเลย !
ทั้งคู่มองตาประทับอยู่เช่นนั้นจนเวลาผ่านไปครึ่งก้านธูป
“ท่านตี๋ นายท่านของข้าเวลานี้มิได้อยู่ในเมืองหลวง”
จู่ ๆ จูฟู๋ก็ประสานมือคาราวะให้แก่ตี๋ซิวหยวน แล้วเอ่ยต่อ “แต่เรื่องการเข้าม้วนภาพ ๆ นี้เป็นเรื่องสำคัญและมีความหมายยิ่งนัก เช่นนั้นผู้น้อยจึงตัดสินใจด้วยตนเอง มิว่าท่านจะต้องใช้กำลังกาย กำลังใจ รวมถึงกำลังทรัพย์เท่าไร ก็จำเป็นต้องเข้าม้วนภาพนี้ให้สำเร็จจงได้นะขอรับ”
ได้ยินเช่นนั้น
“เถ้าแก่จู เรื่องมาถึงขั้นนี้ข้าก็จะขอพูดตามตรง”
ตี๋ซิวหยวนนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง แล้วโบกมือไปมาพร้อมรอยยิ้ม “หากมิมีสิ่งใดผิดพลาดล่ะก็ภาพนี้คงจะเป็นฝีมือของผู้อาวุโสท่านนั้น ตัวข้าเองก็เป็นราษฎรคนหนึ่งของแคว้นต้าเยี่ยน ได้รับการปกป้องคุ้มครองจากแคว้นต้าเยี่ยน มิว่าด้วยเหตุใดภาพนี้ข้าจะมิขอรับค่าตอบแทนใด ๆ ทั้งสิ้น”
“เช่นนั้นเถ้าแก่จูท่านมิต้องกังวลเรื่องนี้หรอก”
“ท่านตี้ นี่มัน…”
จูฟู๋มองตี๋ซิวหยวนด้วยท่าทางอึกอัก
“เถ้าแก่จูอย่าได้ขัดข้าเลย มาถึงขั้นนี้แล้ว ข้าก็จะขอลงมือทำเลยแล้วกัน”
…………………..
ณ หอสายลมจันทรา
มู่หรงลี่จูยืนเท้าเปล่าอยู่บนราวบันไดของชั้นพิณ มองดูแสงไฟจากบ้านเรือนเบื้องล่างอย่างใช้ความคิด
ส่วนพวกหลิวหรูเยียนที่อยู่ด้านหลังของนาง ก็กำลังเล่ารายละเอียดเกี่ยวกับเย่ฉางชิงในวันนี้ให้นางฟังอยู่
ในตอนนั้นเองหลิวหรูอี้ก็ปรากฏตัวขึ้นที่หัวบันได
นางเหลือบมองเงาร่างอันงดงามที่ยืนตระหง่านอยู่บนราวบันไดเบื้องหน้าด้วยใจสั่นระรัว ก่อนจะเดินเข้ามาอย่างรีบเร่ง
“ท่านเจ้าหอ เมื่อครู่มีข่าวมาว่าก่อนหน้านี้ท่านเย่ได้วาดภาพเอาไว้ที่หอจุ้ยเซียนภาพหนึ่งเจ้าค่ะ”
หลิวหรูอี้โค้งคาราวะ พลางเอ่ยด้วยเสียงนุ่มนวล “ว่ากันว่าท่านเย่ประทานให้แก่หอจุ้ยเซียน หลังจากพวกท่านเย่จากไปแล้ว ก็ได้เชิญยอดฝีมือในการเข้าม้วนภาพของเมืองหลวงอย่างตี๋ซิวหยวนมาเจ้าค่ะ”
“ภาพวาดของเขางั้นหรือ ? ”
มุมปากของมู่หรงลี่จูโค้งขึ้นก่อนจะเอ่ยว่า “ทิ้งตัวอักษรพู่กันที่แฝงจิตแท้แห่งเต๋าเอาไว้ที่หอสายลมจันทรา แล้วในภาพวาดจะทิ้งอะไรเอาไว้กันนะ ? ”
ตอนนั้นเองหลิวหรูเยียนก็เอ่ยขึ้นอีกว่า “ท่านเจ้าหอ ให้ไปนำภาพนั้นมาหรือไม่เจ้าคะ ? ”
“มิต้อง เขาประทานภาพนั้นให้แก่หอจุ้ยเซียนย่อมมีเหตุผลของเขา ก่อนที่จะได้พบหน้ากัน ข้ามิอยากให้เขามีอคติใด ๆ ต่อข้า”
มู่หรงลี่จูท่าทางเต็มไปด้วยความเย็นชา พลางโบกมือปฏิเสธ “เอาเช่นนี้ก็แล้วกัน ข้าจะไปหอจุ้ยเซียนด้วยตัวเอง”
หลิวหรูเยียนรีบเอ่ยขึ้น “ท่านเจ้าหอ ให้ข้าไปด้วยเถอะเจ้าค่ะ”
จากนั้นหลิวหรูเยียนก็นำมู่หรงลี่จูตรงไปยังหอจุ้ยเซียน
เวลานี้มิว่าจะเป็นหอสายลมจันทราหรือว่าหอจุ้ยเซียน ต่างก็ตั้งอยู่ในทำเลที่ดีสุดของทิศใต้
หลิวหรูเยียนนั้นมีรูปร่างอวบอั๋น เต็มไปด้วยเสน่ห์เย้ายวนใจ
ส่วนมู่หรงลี่จูราวกับเจ้าหญิงน้ำแข็งก็มิปาน
ทันทีที่ทั้งสองคนปรากฏกายบนถนนที่คึกคัก ก็เหมือนทิวทัศน์อันงดงามปรากฏขึ้นในสายตาผู้คน
ทันใดนั้นรอบกายก็มีเสียงอึกทึกดังขึ้น รวมทั้งสายตาประหลาดมากมาย บางคนถึงขนาดตะโกนเย้าหยอก
“เปรี้ยง ! ”
ในวินาทีที่มู่หรงลี่จูหยุดฝีเท้าลงนั้น
ไอสังหารอันน่าสะพรึงกลัวก็ปกคลุมไปทั่วถนนทั้งเส้นภายในพริบตา แทบจะทำให้ที่นี่กลายเป็นน้ำแข็งก็มิปาน
ขณะเดียวกันเสียงที่เย็นเยียบจนทะลุเข้าไปถึงกระดูก และน่าสะพรึงกลัวก็ดังขึ้น
“หากกล้าสามหาวอีก ข้าจะทำให้ที่นี่กลายเป็นนรกบนดินซะ!”
ทันทีที่สิ้นเสียงบรรดาผู้คนที่มุงดูอยู่รอบ ๆ ต่างก็มีสีหน้าสีเผือด แข็งค้างราวกับหินอยู่ที่เดิม
โดยเฉพาะพวกที่ส่งเสียงโห่ร้องก่อนหน้านี้ ที่เริ่มรู้สึกเวียนหัวขึ้นมาเป็นระลอก มิกี่อึดใจต่อมาก็หมดสติไปดื้อ ๆ
“ท่านเจ้าหอ…”
หลิวหรูเยียนที่เดินนำอยู่ด้านหน้าก็มีสีหน้าซีดขาวลงทันที พร้อมท่าทางหวาดกลัวจนถึงขีดสุด
มู่หรงลี่จูมีนิสัยเป็นเช่นไร นางย่อมรู้ดีอยู่แก่ใจ
นางเป็นถึงดาวอัปมงคล และเคยทำลายสำนักแห่งหนึ่งมาแล้วกับมือตัวเอง
“ข้ามิน่าฟังคำเจ้าเลย ! ”
มู่หรงลี่จูแค่นเสียงเย็น พร้อมด้วยดวงตาเย็นเยียบ ก่อนจะก้าวนำหน้าไปก้าวหนึ่ง
วินาทีต่อมาขณะที่นางจับไปที่บ่าของหลิวหรูเยียน ทั้งสองคนพลันหายไปจากที่ตรงนั้นราวกับผีสางก็มิปาน
มิกี่อึดใจต่อมาบนถนนที่ผู้คนขวักไขว่ไปมา กลุ่มคนที่มุงดูอยู่ก่อนหน้านี้ต่างก็ทรุดกายลงกับพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง
‘น่ากลัว ! ’
‘ช่างน่ากลัวยิ่งนัก ! ’
‘นางเป็นสตรีเช่นไรกันแน่ ? ’
‘นางมารอย่างนั้นหรือ ? ’
มินานก็มีเงา ๆ หนึ่งพาดผ่านท้องฟ้า ก่อนจะพุ่งเข้าไปยังชั้นบนสุดของหอจุ้ยเซียน
จูฟู๋ที่พอมีตบะบารมีอยู่บ้างคล้ายกับสัมผัสได้ แต่ในวินาทีที่เขาหันไปมอง
ก็เห็นหลิวหรูเยียนและมู่หรงลี่จูได้มาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าของเขาเสียแล้ว
โดยเฉพาะพลังอันน่าเกรงขามที่แผ่ออกมาจากกายของมู่หรงลี่จู ขณะที่สายตาจับจ้องไปยังภาพทิวทัศน์ของเย่ฉางชิง
ทันใดนั้นชั้นบนสุดของภัตตาคารพลันไร้ซึ่งเสียงใด ๆ บรรยากาศกดดันเป็นอย่างมาก ถึงขนาดทำให้คนรู้สึกหายใจติดขัด
ส่วนพวกจูฟู๋ต่างก็เหลือบมองสตรีลึกลับที่งดงามแต่กลับเย็นชาผู้นี้ด้วยความหวาดหวั่น
‘สตรีผู้นี้เป็นใครกันแน่ ? ’
‘ถึงทำให้ผู้คนอกสั่นขวัญแขวนได้ถึงเพียงนี้’
‘อีกทั้งมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ในเวลาเช่นนี้’
‘หรือนางต้องการมาชิงภาพนี้ ? ’
จนเวลาผ่านไปเกือบครึ่งชั่วยาม มู่หรงลี่จูก็ได้ดึงจิตวิญญาณออกมาจากภาพวาดได้สำเร็จ
“เขาช่างวิเศษยิ่งนัก เพียงภาพ ๆ เดียวยังทำให้ข้าสามารถรับพลังได้ถึงเพียงนี้”
ท่าทางของมู่หรงลี่จูจึงค่อย ๆ อ่อนลง ใบหน้าเย็นชานั้นเผยสีหน้ายินดีออกมา
จากนั้นดวงตาพลันเกิดประกายบางอย่างแวบผ่าน ก่อนเอ่ยอย่างทะนงตนว่า “บุรุษผู้นี้ต้องเป็นของข้า มู่หรงลี่จู เท่านั้น ! ”
สิ้นเสียงมู่หรงลี่จูก็แปลงกายเป็นลำแสง พุ่งออกไปทางนอกหน้าต่างทันที