เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน - ตอนที่ 191 ปรมาจารย์วิถีปรัชญา
ตอนที่ 191 ปรมาจารย์วิถีปรัชญา
‘ทุกสรรพสิ่งล้วนเป็นครู ? ’
เย่ฉางชิงได้ยินเช่นนั้นถึงกับชะงักงัน
คำตอบนี้เยี่ยมยอดจริง ๆ !
ความจริงแล้วเมื่อครู่เขาเองก็จนปัญญาที่จะอธิบาย จึงทำได้เพียงใช้หลักการของขงจื๊อที่ได้พูดเอาไว้ในโลกเดิมมาตอบจางเฉิน
แต่สุดท้ายจางเฉินกลับเข้าใจว่าทุกสรรพสิ่งล้วนเป็นครู
วิธีการล้วนมีอยู่ในทุก ๆ ที่ !
ทุกสรรพสิ่งล้วนเป็นครู !
คำตอบนี้ช่างวิเศษนัก !
เย่ฉางชิงคิดได้เช่นนั้นมุมปากก็ยกขึ้นเป็นรอยยิ้มพึงพอใจ ก่อนจะพยักหน้าอย่างปลาบปลื้มให้แก่จางเฉิน
ขณะเดียวกันผู้คนที่อยู่ด้านล่างก็เหมือนคิดบางอย่างขึ้นมาได้
ตอนแรกนั้นพวกเขาขมวดคิ้วแน่นใบหน้าเต็มไปด้วยความสงสัย
แต่เมื่อจางเฉินตอบกลับเช่นนี้ พวกเขาก็ราวกับตื่นขึ้นจากความฝันก็มิปาน
ปัญญาชนล้วนมีวิธีการ วิธีการล้วนอยู่ในทุก ๆ ที่ !
ทุกสรรพสิ่งล้วนเป็นครูของปัญญาชนเช่นเรา !
เช่นนี้แล้วก็หมายความว่า วิถีของปัญญาชนเช่นเรานั้นสูงส่งกว่าเหล่าผู้บำเพ็ญเพียร
วิถีของปัญญาชนเช่นเราถึงจะเป็นวิถีเต๋าที่แท้จริง !
และในตอนนั้นเองนิมิตฟ้าดินก็ปรากฏขึ้นอีกครา
เพียงแต่นิมิตในครานี้หาใช่ของเย่ฉางชิงมิ แต่กลับเป็นของจางเฉิน
“ครืน ! ”
“ครืน ! ”
“ครืน ! ”
“ครืน ! ”
บนหัวของจางเฉินที่กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ พลันปรากฏดอกบัวงดงามไร้ที่ติดอกหนึ่งขึ้น
และเกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วทั้งเมืองหลวง
วินาทีต่อมา เมื่อจางเฉินลุกขึ้นยืนดอกบัวที่แผ่ไอพลังวิถีปรัชญา ที่เปล่งประกายระยิบระยับบนหัวของเขาก็สว่างไสวขึ้น
ตอนนั้นเอง
ภาพอันน่าตื่นตระหนกที่สุดภาพหนึ่งก็ปรากฏขึ้น
ดอกบัวที่เกิดจากวิถีแห่งเต๋าค่อย ๆ ร่วงลงมาท่ามกลางสายตาของทุกคน
มิกี่อึดใจต่อมา
ดอกบัวดอกนั้นก็จมลงไปในหัวของจางเฉิน
และในวินาทีนี้เอง
ร่างกายของจางเฉินพลันสว่างวาบ สายรุ้งหลากสีสันพวยพุ่งออกมา ร่างทั้งร่างแทบจะถูกแสงอันเจิดจ้าดูดกลืน
ขณะเดียวกันไอพลังวิถีปรัชญาอันบริสุทธิ์ก็ได้แผ่ออกมา
ทันทีที่ทุกคนในที่นั้นเห็นภาพตรงหน้าต่างก็ตกตะลึง ดวงตาเต็มไปด้วยความอิจฉา
เข้าสู่วิถี !
ในที่สุดบัณฑิตจางเฉินท่านนี้ก็เข้าสู่เต๋าด้วยวิถีปรัชญาได้สำเร็จ
เท่ากับเป็นการมอบความหวังให้แก่ปัญญาชนเช่นพวกเขา เปรียบเสมือนการหว่านเมล็ดพันธุ์ไว้ในใจของพวกเขา
หมายความว่า
ปัญญาชนหาใช่มีเพียงเส้นทางเข้าวัดปฏิบัติธรรมวิธีเดียวเท่านั้นไม่ แต่ยังสามารถเข้าสู่เต๋าด้วยวิถีปรัชญา เพื่อเปิดเส้นทางบำเพ็ญเพียรได้อีกด้วย
เช่นนั้นการที่จางเฉินเข้าสู่วิถีได้ จึงมิใช่แค่ทำให้ทั่วทั้งแคว้นต้าเยี่ยนสั่นสะเทือนเท่านั้น แม้แต่อีกสามแคว้นก็เกิดความโกลาหลขึ้นเช่นกัน
ณ แคว้นต้าเซี่ย
สำนักศึกษาซาง
“ท่านหลี่ ท้องฟ้าด้านบนตำหนักเทพปรากฏดอกบัวขึ้น รูปปั้นเหล่านักปราชญ์ที่สักการะด้านในจู่ ๆ ก็เปล่งแสงออกมา นี่มันเรื่องอะไรกันแน่ ? ”
“ดอกบัวปรากฏ ไอพลังวิถีปรัชญาแผ่ซ่าน แสดงว่าวันนี้มีคนเข้าสู่เต๋าด้วยวิถีปรัชญาได้สำเร็จ”
“ว่าเยี่ยงไรนะ ! ในยุคนี้ยังมีคนสำเร็จถึงขั้นนี้อีกหรือ ! ”
“ใช่แล้ว ตลอดหลายพันปีที่ผ่านมาในที่สุดก็มีคนทำสำเร็จ เรื่องนี้มีความหมายที่ยิ่งใหญ่ มิแน่วิถีปรัชญาอาจจะรุ่งโรจน์ขึ้นก็เป็นได้”
“เรื่องดี นี่ต้องเป็นเรื่องดีอย่างแน่นอน ! ”
“รีบส่งคนไปสืบข่าวเร็วเข้า หากเป็นไปได้ ข้าจะไปคารวะปรมาจารย์วิถีปรัชญาแห่งยุคผู้นี้ด้วยตัวเอง ! ”
“ศิษย์จะส่งคนไปสืบข่าวเดี๋ยวนี้ขอรับ”
ณ แคว้นกู่เฉิน
ห้องทรงอักษรในเมืองหลวง
ขันทีเฒ่าผู้หนึ่งได้วิ่งเข้ามาอย่างรีบร้อน
“เรียนฝ่าบาท ที่สำนักศึกษาจู่ ๆ ก็ปรากฏนิมิตขึ้นหากมิมีสิ่งใดผิดพลาด เกรงว่าวันนี้คงมีคนเข้าสู่เต๋าด้วยวิถีปรัชญาได้สำเร็จพะยะค่ะ”
“อะไรนะ จริงหรือ ? ”
“ดอกบัวปรากฏ ไอพลังแห่งวิถีปรัชญาแผ่ซ่าน คงจะมิผิดเป็นแน่พะยะค่ะ”
“คิดมิถึงว่ายุคสมัยนี้จะยังมีผู้ที่เข้าสู่เต๋าด้วยวิถีปรัชญาได้สำเร็จ ช่างเป็นเรื่องน่าแปลกยิ่งนัก”
“ฝ่าบาท แคว้นกู่เฉินของเราโดดเด่นเรื่องทหาร หากรู้ว่าใครเป็นผู้เข้าสู่วิถี เกรงว่าหากข่าวนี้แพร่ออกไป ถึงเวลานั้นแคว้นกู่เฉินของเราจะต้องสูญเสียคนเก่ง ๆ ไปอย่างแน่นอนนะพะยะค่ะ”
“เรื่องนี้จะไปยากอะไร อย่างมากก็แค่ให้สิ่งตอบแทนเล็ก ๆ น้อย ๆ แก่พวกเขาไปสิ”
“ฝ่าบาท…”
“หุบปาก จำฐานะของตัวเองเอาไว้”
แคว้นต้าฉู่
สำนักศึกษาหว่อหลง
“คาดมิถึงว่ายุคสมัยนี้จะยังมีผู้ที่เข้าสู่เต๋าด้วยวิถีปรัชญาได้สำเร็จ แสดงว่ายุคนี้เป็นยุครุ่งเรืองของวิถีปรัชญาของเราสินะ ! ”
“รีบส่งคนไปตรวจสอบว่าเป็นผู้ใดกันที่เข้าสู่เต๋าด้วยวิถีปรัชญาได้สำเร็จ ข้าจะไปคารวะปรมาจารย์วิถีปรัชญาท่านนี้ให้จงได้”
“พี่ทัวป๋า ข้าเองก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน”
“ต้องรีบตรวจสอบ ข้าจะพาศิษย์ 300 คนไปคารวะด้วย”
“ทุกท่าน เช่นนี้จะดูมิเหมาะสมหรือไม่”
“มิเหมาะสมเยี่ยงไร การที่ยุคสมัยนี้มีปรมาจารย์วิถีปรัชญาเช่นนี้ปรากฏขึ้น ยังมีสิ่งใดที่จะเทียบกับเรื่องนี้ได้อีก”
“ทุกท่าน หากพวกท่านจากไปจริง ๆ จะทำให้แคว้นต้าฉู่ของเราสูญเสียคนมีความสามารถไปได้นะ ! ”
“ฝ่าบาท นี่ท่านกำลังขัดขวางพวกเราเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“เอ่อ…”
อีกด้านหนึ่ง
ณ สำนักศึกษาตงหลัน
เวลาผ่านไปครึ่งก้านธูป
ในที่สุดแสงเจิดจ้าที่ปกคลุมรอบกายจางเฉินเอาไว้เมื่อครู่ก็ค่อย ๆ จางหายไป
ในตอนนั้นเองทุกคนก็ต้องประหลาดใจอีกครา เมื่อจางเฉินที่ยืนตระหง่านอยู่ตรงนั้น หาใช่ชายชราอีกต่อไปไม่
แต่กลับเป็นชายวัยกลางคนที่มีเส้นผมดกดำ ใบหน้าหล่อเหลาราวกับหยกผู้หนึ่ง
โดยเฉพาะรัศมีที่แผ่ออกมาจากภายในที่ดูราวกับเซียน จึงทำให้ผู้คนอดมิได้ที่จะก้าวเข้าไปทำความเคารพ
ใช่แล้ว !
หลังจากเข้าสู่เต๋าด้วยวิถีปรัชญาได้สำเร็จ มิเพียงรูปลักษณ์ภายนอกของจางเฉินเท่านั้นที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก แต่รัศมีที่แผ่ออกมาก็เกิดการเปลี่ยนแปลงเช่นกัน
เย่ฉางชิงที่เห็นภาพตรงหน้าภายในใจก็รู้สึกงงงวยไปหมด
‘เพียงแค่สามารถเข้าสู่วิถีได้ รูปลักษณ์ภายนอกก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างอัศจรรย์ได้ถึงเพียงนี้’
‘น่าเหลือเชื่อ ! ’
‘ช่างน่าเหลือเชื่อยิ่งนัก ! ’
‘แต่ว่า ! ’
‘ข้ารู้สึกช้ำใจยิ่งนัก ! ’
‘ข้าชำนาญทั้งในด้านพิณ หมากล้อม อักษรพู่กัน และภาพวาด อีกทั้งยังแตกฉานในแต่ละด้านอย่างมาก’
‘แล้วเหตุใดร่างกายของข้าถึงได้เกิดเพียงนิมิตที่ไร้ประโยชน์เล็กน้อยเท่านั้นเล่า ? ’
‘และที่สำคัญที่สุดก็คือเพราะหลักการมากมายที่ข้าพูดออกมา เขาจึงเข้าสู่วิถีได้สำเร็จนะ ! ’
‘ช้ำใจ ! ’
‘ช้ำใจยิ่งนัก ! ’
‘ช้ำใจจะตายอยู่แล้ว ! ’
ตอนนั้นเอง
“ผู้น้อยคาราวะปรมาจารย์จาง”
ทุกคนประสานมือคาราวะให้แก่จางเฉินที่เข้าสู่วิถีได้สำเร็จ ด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความเคารพนอบน้อม
ทว่าจางเฉินที่ดูสง่างามและมีท่าทีนิ่งสงบ กลับมิได้แยแสใด ๆ
เขามิได้ใส่ใจคนอื่น ๆ แต่กลับมองไปทางเย่ฉางชิงด้วยความเคารพ
“ผู้น้อยจางเฉิน ขอบคุณท่านเย่ที่ชี้แนะวิธีให้ นับแต่นี้ต่อไปข้าจะขอน้อมระลึกนามของท่านเย่เอาไว้ และให้ความรู้แก่โลกโดยใช้นามของท่านขอรับ”
จางเฉินเอ่ยขึ้นพร้อมกับคาราวะให้แก่เย่ฉางชิง
แม้เขาจะเป็นปรมาจารย์วิถีปรัชญาอย่างแท้จริงแล้ว แต่ต่อหน้าท่านเทพที่มาจากสรวงสวรรค์ท่านนี้ เขาก็หาได้กล้ากำเริบเสิบสานไม่
แน่นอนว่าที่สำคัญที่สุดก็คือ บัดนี้เขาเป็นปรมาจารย์วิถีปรัชญาที่แท้จริงแล้ว นับเป็นตัวอย่างของปัญญาชนทั่วหล้า
การเคารพครูบาอาจารย์และหลักวิถีเต๋า จึงเป็นหน้าที่ของปัญญาชนที่ควรกระทำ
หากแม้แต่เรื่องนี้เขายังมิอาจที่จะทำได้ ต่อให้เข้าสู่วิถีได้สำเร็จแล้วจะมีประโยชน์อันใด ?
แล้วจะเป็นตัวอย่างให้แก่ปัญญาชนทั่วหล้าได้เยี่ยงไร ?
เช่นนั้นขณะที่เอ่ยประโยคนี้ออกมา
จางเฉินจึงเอ่ยออกมาอย่างจริงใจ หาได้กล่าวเกินจริงเลยแม้แต่น้อย
เย่ฉางชิงได้ยินเช่นนั้นก็นิ่งอึ้งไป ก่อนจะยกยิ้มออกมาบาง ๆ
หากเขาเป็นท่านเทพฉางชิงตัวจริงก็คงจะมิคิดมากอันใด
ทว่าความจริงเขากลับเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาผู้หนึ่งเท่านั้น
แค่คิดก็รู้แล้วว่าภายในใจของเขาเวลานี้รู้สึกสับสนเพียงใด
ในตอนนั้นเองจู่ ๆ ท้องนภาก็ปรากฏนิมิตขึ้นอีกครา
เมฆาวิสุทธิ์ที่ปกคลุมเหนือสำนักศึกษาตงหลัน ราวกับหนาแน่นขึ้นกว่าเดิม
เงาขนาดใหญ่ราวกับภูเขาบนหัวของเย่ฉางชิงจู่ ๆ ก็เปล่งประกายขึ้นมา
ขณะเดียวกันก็มีลำแสงสีทองที่เจิดจ้าจนแสบตาสายหนึ่งส่องลงมา
จนเวลาผ่านไปอีกชั่วอึดใจ
เจดีย์ลึกลับหลังหนึ่งก็ลอยลงมาจากฟากฟ้าตามลำแสงนั้น
ที่สำคัญที่สุดก็คือในครานี้เจดีย์ลึกลับหาได้เป็นเพียงภาพเงาอีกต่อไปไม่ แต่กลับเป็นเจดีย์จริง ๆ