เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน - ตอนที่ 193 นิกายหมื่นกระบี่ตกที่นั่งลำบาก
ตอนที่ 193 นิกายหมื่นกระบี่ตกที่นั่งลำบาก
ณ เขาอวิ๋นไถ แคว้นต้าเซี่ย
มองเห็นยอดเขาเรียงสลับซับซ้อนไปมา ต้นไม้เก่าแก่เขียวขจี มีเมฆหมอกและปราณวิญญาณปกคลุมเอาไว้ เป็นสถานที่ที่เหมาะแก่การบำเพ็ญเพียรอย่างยิ่ง
ลึกเข้าไปในภูเขาที่มีเมฆหมอกลอยวนอยู่นั้น กลับมีประกายดาบอันน่าพิศวงทะยานสู่ท้องฟ้าเป็นระยะ เกิดเป็นคลื่นพลังสุดตระการตาขึ้น
ในตอนนั้นเองก็มีเงาของอาคารโบราณมากมายที่แม้จะดูลางเลือนปรากฏขึ้น
ใช่แล้ว
ที่นี่ก็คือดินแดนศักดิ์สิทธิ์ในการบำเพ็ญเพียรวิถีกระบี่แห่งจงหยวน
นิกายหมื่นกระบี่ !
ในเวลานี้ ภายในตำหนักเก่าแก่หลังหนึ่ง
ประมุขนิกายหมื่นกระบี่ เจี้ยนเจิ้งหยวน นั่งอยู่ด้านหน้า และมีเหล่าผู้อาวุโสของนิกายหมื่นกระบี่นั่งขนาบอยู่สองข้างทั้งซ้ายขวา
ด้วยเพราะบำเพ็ญเพียรวิถีกระบี่ จึงทำให้พวกเขาแต่ละคนมีท่าทางดุดัน ราวกับแสดงให้เห็นถึงความสามารถแม้จะนั่งอยู่นิ่ง ๆ จนรับรู้ได้ถึงความกดดันบางอย่างที่มองมิเห็น
และในตอนนั้นเอง เจี้ยนเจิ้งหยวนที่ใบหน้าแฝงไว้ซึ่งความปิติยินดีก็ได้ประกาศต่อหน้าทุกคนว่า “ทุกท่าน วันนี้ข้าได้ไปที่แดนต้องห้ามมาด้วยตนเอง หากมิมีสิ่งใดผิดพลาดล่ะก็ อีกมินานท่านบรรพจารย์ที่เข้าฌานอยู่ ณ แดนต้องห้ามก็จะออกจากฌานแล้ว”
“อะไรนะ ? ”
“ท่านประมุข ท่านพูดจริงหรือ ท่านบรรพจารย์ท่านนั้นยังมีชีวิตอยู่จริงหรือ ? ”
“ช่างน่าเหลือเชื่อยิ่งนัก ที่นั่นคือแดนต้องห้ามของนิกายหมื่นกระบี่ของเรา ภายในเต็มไปด้วยไอพลังอันชั่วร้าย คาดมิถึงว่าท่านบรรพจารย์ท่านนั้นจะสามารถเข้าฌานอยู่ที่นั่นได้ถึงหนึ่งพันปีเต็ม ๆ ”
“ใช่แล้ว ด้วยเพราะสระฝังกระบี่ภายในแดนต้องห้าม ทำให้ไอพลังชั่วร้ายภายในนั้นน่าหวาดกลัวเป็นอย่างมาก หากมิระวังให้ดี วิญญาณกระบี่อาจจะสูญสลายและมิมีทางฟื้นคืนได้อีกตลอดกาล ทว่าท่านบรรพจารย์ของเรากลับเข้าฌานอยู่ที่นั่นได้ถึงหนึ่งพันปีเต็ม ๆ ”
“ใช่แล้ว ในเมื่อท่านบรรพจารย์ยังมีชีวิตอยู่ เช่นนั้นเขาจะมีตบะบารมีแก่กล้าถึงขั้นใดกันนะ ? ”
“ตบะบารมี ? ”
“ข้าว่าหากมิมีสิ่งใดผิดพลาด ท่านบรรพจารย์ท่านนี้คงเข้าสู่ขั้นมหายานแล้วกระมัง ? ”
“มิใช่ หากมิมีสิ่งใดผิดพลาดคงจะใกล้บรรลุเป็นเซียนเต็มที มิเช่นนั้นคงจะมิออกจากฌานในเร็ว ๆ นี้เป็นแน่ ? ”
ขณะที่เหล่าผู้อาวุโสภายในนิกายกำลังถกเถียงกันอยู่นั้น
“ทุกท่านอย่าเพิ่งคาดเดาไปต่าง ๆ นานาเลย”
เจี้ยนเจิ้งหยวนโบกมือแล้วเอ่ยต่อ “ตอนนี้ยังมิสามารถบอกได้ว่าท่านบรรพจารย์จะออกจากฌานเมื่อใด”
“ทว่าสิ่งหนึ่งที่สามารถยืนยันได้ก็คือท่านบรรพจารย์ยังมิได้ละสังขาร”
เจี้ยนเจิ้งหยวนเอ่ยถึงตรงนี้ ก็กวาดตามองทุกคนเล็กน้อย “ทุกท่าน บัดนี้ก็ใกล้จะถึงวันรับศิษย์ใหม่ของนิกายหมื่นกระบี่ของเราแล้ว”
“เช่นนั้นข้าจึงเห็นสมควรว่าช่วงนี้เราควรปล่อยข่าวออกไป ให้ผู้คนได้รับรู้ถึงการมีตัวตนอยู่ของท่านบรรพจารย์ท่านนี้ ซึ่งจะทำให้นิกายหมื่นกระบี่ยังคงถูกกล่าวถึง และเป็นผู้นำในวิถีกระบี่แห่งจงหยวนอยู่”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ผู้อาวุโสภายในนิกายกว่าสิบคนพลันดวงตาเปล่งประกายขึ้นมาทันที ท่าทางแต่ละคนต่างเต็มไปด้วยความตื่นเต้นยินดี
ดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิงและนิกายหมื่นกระบี่ แม้จะอยู่คนละแคว้นกัน
ทว่าดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองก็มิได้อยู่ห่างไกลกันมากนัก โดยห่างกันเพียงมิกี่พันลี้เท่านั้น
อีกทั้งมินานมานี้ดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิงยังเพิ่งได้รับโชคพลิกฟ้า จนมีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่ว
แน่นอนว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือโชคของดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิงนั้นยังเกี่ยวข้องกับวิถีกระบี่อีกด้วย
เช่นนี้จึงทำให้ชื่อเสียงในวิถีกระบี่ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิงเหนือกว่านิกายหมื่นกระบี่ที่สืบทอดวิถีกระบี่กันมารุ่นสู่รุ่นเป็นอย่างมาก
แค่คิดก็รู้แล้วว่าจะส่งผลกระทบต่อนิกายหมื่นกระบี่ ที่กำลังเตรียมจะเปิดรับศิษย์ใหม่เช่นไร
สำหรับเรื่องนี้ !
ย่อมทำให้เหล่าผู้อาวุโสของนิกายหมื่นกระบี่มิพอใจอย่างมาก แต่ก็มิอาจทำสิ่งใดได้
แต่วันนี้เมื่อเจี้ยนเจิ้งหยวนได้ไปตรวจสอบที่แดนต้องห้าม และพบว่าภายในกลับยังมีคลื่นพลังชีวิตเล็ดลอดออกมา
นั่นจึงหมายความว่าท่านบรรพจารย์ที่เข้าฌานในแดนต้องห้ามเมื่อหนึ่งพันปีก่อน ยังมิได้ละสังขาร
จวบจนถึงทุกวันนี้ก็ยังคงมีชีวิตอยู่
สำหรับนิกายหมื่นกระบี่ที่กำลังสูญเสียขวัญกำลังใจ สิ่งนี้ย่อมถือเป็นเรื่องที่น่ายินดีที่สุดเลยก็ว่าได้
ขอเพียงท่านบรรพจารย์ท่านนี้ออกจากฌาน ด้วยความแตกฉานในวิถีกระบี่ของเขา เชื่อว่าจะต้องทำให้นิกายหมื่นกระบี่ กลับมามีชื่อเสียงเลื่องลืออย่างแน่นอน
“ท่านประมุข ความคิดของท่านมิเลวเลย ขอเพียงท่านบรรพจารย์นิกายหมื่นกระบี่ของเราท่านนั้นออกจากฌาน ผู้บำเพ็ญเพียรวิถีกระบี่ทั่วหล้าจะต้องก้มหัวให้เราเป็นแน่”
ผู้อาวุโสใหญ่สุดที่นั่งข้างเจี้ยนเจิ้งหยวน เอ่ยขึ้นพร้อมเสียงหัวเราะ
“ใช่แล้ว ท่านบรรพจารย์ของเราท่านนี้จะต้องประสบความสำเร็จในวิถีกระบี่อย่างมากเป็นแน่ มิเช่นนั้นเหตุใดจึงจะออกจากฌานมาในเวลานี้กันเล่า ? ”
“ประสบความสำเร็จในวิถีกระบี่อย่างมากงั้นหรือ ? ”
“ข้าว่าท่านบรรพจารย์ออกจากฌานครั้งนี้ อาจจะเพียงเพื่อพบหน้าศิษย์อย่างพวกเราก็ได้”
ผู้อาวุโสอีกท่านหนึ่งเอ่ยขึ้น
ตอนนั้นเองผู้อาวุโสรองที่นั่งตรงข้ามกับผู้อาวุโสที่ใหญ่สุดพลันขมวดคิ้วแน่น แล้วเอ่ยอย่างครุ่นคิดว่า “ทุกท่าน อย่าได้ประมาทไป”
“จากแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้ การที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิงได้รับวาสนาวิถีกระบี่จากผู้แข็งแกร่งที่เร้นกายบนโลกมนุษย์ท่านหนึ่งมา นั่นหมายความว่า การแตกฉานในวิถีกระบี่ของคนผู้นี้คงเรียกได้ว่ายากจะมีผู้ใดเทียบเคียงได้เช่นกัน”
“คำพูดของผู้อาวุโสรองมีเหตุผล อีกทั้งว่ากันว่าบรรพจารย์ท่านนี้ของพวกเราฝึกกระบี่จู่โจม นิสัยของเขาย่อมแข็งกระด้างตามไปด้วย มิแน่หากได้ยินข่าวนี้เข้าอาจจะบุกไปหาดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิงด้วยตัวเองก็เป็นได้”
เจี้ยนเจิ้งหยวนได้ยินเช่นนั้นก็พยักหน้าเห็นด้วยแล้วเอ่ยต่อว่า “ที่ทุกท่านพูดมานั้นมิใช่ปัญหา แต่ก่อนหน้านั้นพวกเรามาปรึกษากัน เรื่องการรับศิษย์ก่อนจะดีกว่า”
…………………………….
หลังจากนั้นมิกี่วัน รุ่งเช้าของวันหนึ่ง
บนเกาะลอยฟ้าเกาะหนึ่ง บนฟากฟ้านิกายหมื่นกระบี่
เจี้ยนเจิ้งหยวนกำลังนั่งสมาธิ มือทั้งสองข้างวางทับกันบนตัก ตัวตรงราวกับกระบี่ที่มิสั่นไหวใด ๆ รอบกายของเขามีจิตกระบี่อันรุนแรงแผ่ออกมาอย่างมหาศาล
เมื่อตะวันทอแสงขึ้นที่ขอบฟ้า รุ่งเช้ามาเยือน
เจี้ยนเจิ้งหยวนราวกับสัมผัสได้ถึงบางอย่าง จึงลืมตาขึ้น
ฟิ้ว !
ฟิ้ว !
ทันใดนั้นไอกระบี่อันรุนแรงสองสายก็ได้พุ่งออกจากดวงตาของเจี้ยนเจิ้งหยวน
ทว่าวินาทีต่อมาใบหน้าซูบผอมของเจี้ยนเจิ้งหยวน กลับปรากฏรอยยิ้มตื่นเต้นยินดีขึ้น ก่อนจะเพ่งสมาธิสื่อสารออกไป “ทุกท่าน ข้ามีข่าวดีจะแจ้งให้ทราบ ท่านบรรพจารย์กำลังจะออกจากฌานแล้ว ! ”
หลังจากสิ้นเสียงเจี้ยนเจิ้งหยวนก็แปลงกายเป็นลำแสงทะยานขึ้นสู่ฟากฟ้า
หลังจากนั้นมิกี่อึดใจต่อมา ทั่วทั้งนิกายหมื่นกระบี่ก็มีลำแสงอีกนับสิบสายทะยานขึ้นฟ้า
เป้าหมายก็คือแดนต้องห้ามที่อยู่ลึกเข้าไปในนิกายหมื่นกระบี่
เวลาผ่านไปมิถึงครึ่งก้านธูป
หลังจากนั่นเจี้ยนเจิ้งหยวนก็ได้ปรากฏตัวขึ้นนอกป่าหินแห่งหนึ่ง ที่ปกคลุมเอาไว้ด้วยหมอกปริศนา
มินานเหล่าผู้อาวุโสกว่าสิบคนของนิกายหมื่นกระบี่ ก็ทยอยปรากฏตัวขึ้นที่นี่ด้วยเช่นกัน
ตรงหน้าของพวกเขา
ก็คือแดนต้องห้ามของนิกายหมื่นกระบี่
ที่นี่เมื่อมองแวบแรกดูเหมือนมิได้มีอันใด ยกเว้นบรรยากาศที่ดูอึมครึมอย่างบอกมิถูกเท่านั้น
ทว่าเมื่อเดินเข้าไปอีกเพียงมิกี่ก้าว ก็จะสัมผัสกับพื้นที่ต้องห้ามของที่นี่
“ท่านประมุข นี่มันแปลก ๆ อย่างไรชอบกล แม้ภายในจะยังมีสัญญาณของคลื่นพลังชีวิตอยู่ ทว่านอกจากนั้นกลับมิได้มีสัญญาณใด ๆ อีกเลย”
ผู้อาวุโสท่านหนึ่งเอ่ยพร้อมขมวดคิ้วแน่น
เจี้ยนเจิ้งหยวนเพ่งสายตาไปยังป่าหินมืดครึ้มตรงหน้า พลางเอ่ยขึ้นพร้อมสายตาที่แน่วแน่ว่า “หากข้าเดามิผิดแล้วล่ะก็ วันนี้ท่านบรรพจารย์จะต้องออกจากฌานอย่างแน่นอน”
“ห๊ะ…”
หลังจากเจี้ยนเจิ้งหยวนเอ่ยจบ
เหล่าผู้อาวุโสของนิกายหมื่นกระบี่ต่างก็มองหน้ากันทันที ก่อนจะลอบมองด้านหลังของเจี้ยนเจิ้งหยวน
ทั้งหมดนี้เหมือนที่พวกเขาคาดการณ์เอาไว้มิมีผิด
เมื่อสองวันก่อนนิกายหมื่นกระบี่ของพวกเขาทำการเปิดรับศิษย์ใหม่ ซึ่งได้มาเพียงสิบกว่าคนเท่านั้น ช่างน่าอนาถยิ่งนัก
อีกทั้งคุณสมบัติยังมินับว่าดีเลิศอะไรอีกด้วย
ส่วนพวกที่มีคุณสมบัติค่อนข้างโดดเด่น ล้วนแต่ยอมรออีกสองปีเพื่อถึงเวลาที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิงเปิดรับศิษย์ใหม่ ทว่ากลับมิยอมเข้านิกายหมื่นกระบี่
เช่นนั้นจึงเห็นได้ชัดว่าอารมณ์ของเจี้ยนเจิ้งหยวนนั้นคงมิสู้ดีเท่าไรนัก
ในตอนนั้นเอง
“เปรี้ยง ! ”
“เปรี้ยง ! ”
“เปรี้ยง ! ”
จู่ ๆ พื้นดินก็สั่นสะเทือนขึ้นมาอย่างมิทราบสาเหตุ
ด้านหน้าของพวกเขา
ไอกระบี่อันรุนแรงและมีพลังทำลายล้างสูงทะยานขึ้นสู่ฟ้า ปรากฏเป็นภาพสุดตระการตา
ขณะเดียวกัน ไอพลังชั่วร้ายมหาศาลก็พวยพุ่งออกมา
นี่หมายความมีคนไปสัมผัสค่ายกลของแดนต้องห้ามเข้างั้นหรือ
ทันทีที่ได้เห็นภาพตรงหน้า เหล่าผู้อาวุโสของนิกายหมื่นกระบี่ ต่างก็มีสีหน้ายินดีขึ้นมาทันที