เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน - ตอนที่ 204 เจ้าหมายถึงผู้ที่เขียนอักษรพู่กันภาพนี้งั้นหรือ ?
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน
- ตอนที่ 204 เจ้าหมายถึงผู้ที่เขียนอักษรพู่กันภาพนี้งั้นหรือ ?
ตอนที่ 204 เจ้าหมายถึงผู้ที่เขียนอักษรพู่กันภาพนี้งั้นหรือ ?
ผ่านไปหลายอึดใจ
มู่หรงลี่จูที่สวมกระโปรงยาวหงส์โลหิตก็ทิ้งตัวลงตรงหน้าพวกเย่ฉางชิง
แต่เมื่อเย่ฉางชิงจำใบหน้าของมู่หรงลี่จูได้นั้น ก็ถึงกับชะงักงันไปในทันที
เขาคาดมิถึงเลยว่า
คุณหนูมู่หรงท่านนี้มิเพียงงดงามจับตา แต่ยังเป็นผู้บำเพ็ญเพียรที่มีตบะบารมีสูงส่งอีกด้วย
น่าเหลือเชื่อ !
ช่างน่าเหลือเชื่อยิ่งนัก !
“ท่านเย่… ท่านจะไปวันนี้เลยหรือเจ้าคะ ? ”
ใบหน้าของมู่หรงลี่จูเผยความสับสนออกมา ขณะเอ่ยกับเย่ฉางชิง
เย่ฉางชิงได้ยินเช่นนั้นก็ได้สติกลับมาทันที
เขาเกือบลืมฐานะของตัวเองไปเสียแล้ว ว่าในเวลานี้เขานั้นเป็นถึงท่านเทพฉางชิงผู้สูงส่ง
แม้คุณหนูมู่หรงท่านนี้จะตบะบารมีสูงส่งเพียงใด แต่ต่อหน้าท่านเทพฉางชิง เยี่ยงไรเสียก็เป็นเพียงผู้น้อยที่อ่อนแอคนหนึ่งเท่านั้น
“อืม ข้ามีเรื่องที่ต้องจัดการ เช่นนั้นข้าจึงต้องรีบกลับไป”
เย่ฉางชิงแม้จะเอ่ยออกมาเช่นนั้น แต่ภายในใจกลับรู้สึกสับสนขึ้นมา
หากฐานะของเขาในตอนนี้มิใช่ท่านเทพฉางชิง เกรงว่าชีวิตนี้คงมิอาจเกี่ยวข้องกับยอดสตรีเช่นนี้เป็นแน่
เย่ฉางชิงคิดถึงตรงนี้ก็ได้แต่ลอบให้กำลังใจตัวเอง ‘เย่ฉางชิง เวลานี้เจ้ามีรากวิญญาณแล้ว ทั้งยังรู้วิธีบำเพ็ญเพียรด้วย รอกลับไปยังเมืองเสี่ยวฉือแล้วเจ้าต้องขยันบำเพ็ญเพียรให้มาก มีเพียงแค่เจ้าแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น จึงจะสามารถคบค้าสมาคมกับยอดสตรีเช่นนี้ได้ ! ’
“จริงสิ คุณหนูมู่หรง ท่านตามมาถึงนี่มีเรื่องอะไรงั้นหรือ ? ”
เย่ฉางชิงเอ่ยถามขึ้นมา เมื่อเห็นท่าทางอึกอักของมู่หรงลี่จู
“ห๊ะ ? ”
มู่หรงลี่จูผงะเล็กน้อย เพียงพริบตาใบหน้าขาวใสพลันปรากฏรอยแดงระเรื่อขึ้นที่ข้างแก้ม
‘ประโยคนี้ของท่านเย่หมายความเช่นไรกัน ? ’
‘หรือว่าการที่ข้ารีบมาหาเขาในเวลานี้ ยังชัดเจนมิพออีกเยี่ยงนั้นหรือ ? ’
‘หรือว่าท่านเย่เข้าใจความคิดของข้า แต่มิต้องการที่จะพูดออกมา ? ’
‘ใช่แล้ว ! ’
‘ต้องเป็นเช่นนี้เป็นแน่ ! ’
‘เยี่ยงไรเสียเขาก็เป็นถึงเทพที่ลงมายังโลกมนุษย์’
‘มีตบะบารมีที่ลึกล้ำ สายตากว้างไกลมิมีใครเทียบได้’
‘ในเมื่อเขาเอ่ยเช่นนี้ ก็หมายความว่าต้องการให้ข้าตัดใจเสียเป็นแน่’
หลังจากเงียบไปพักหนึ่ง สีหน้าของมู่หรงลี่จูก็หม่นหมองลง ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ที่ข้ามาในวันนี้มิได้มีความหมายใดแอบแฝง ข้าเพียงแค่อยากจะมาส่งท่านเย่เพียงเท่านั้นเจ้าค่ะ”
เย่ฉางชิงพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม “ลำบากคุณหนูมู่หรงแล้ว”
ทว่ามิว่าจะเป็นการที่มู่หรงลี่จูตามมาอย่างรีบร้อน หรือว่าสีหน้าสับสนวุ่นวายใจที่เผยออกมา
ล้วนแต่ตกอยู่ในสายตาของเยี่ยนหยางเหนียนและถานไถชิงเสวี่ยทั้งสิ้น ทำให้รู้ถึงสิ่งที่อยู่ในใจยอดสตรีที่มีชาติกำเนิดที่มิธรรมดา และคุณสมบัติสูงส่งผู้นี้ได้อย่างง่ายดาย
ทว่าในความคิดของพวกเขาสองคน
ในโลกเซียนแห่งนี้แม้แต่สตรีที่ทุกคนต่างก็ต้องตกตะลึงอย่างมู่หรงลี่จู ก่อนที่นางจะได้บรรลุเป็นเซียนมิว่าเยี่ยงไร ก็ยังต้อยต่ำกว่าคนเช่นผู้อาวุโสเย่อยู่ดี
หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า… มิคู่ควรก็ว่าได้ !
เช่นนั้นพวกเขาทั้งสองจึงมิคิดที่จะเอ่ยสิ่งใดออกมา เพียงแค่พยักหน้าให้ในตอนที่มู่หรงลี่จูปรากฏตัวขึ้นเท่านั้น
หลังจากทักทายกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว
หัวหน้าองครักษ์ที่ประจำการอยู่ที่นี่ก็เดินเข้ามาอย่างรีบร้อย ก่อนจะกระซิบกับเยี่ยนหยางเหนียนว่า “ฝ่าบาท ค่ายกลห้วงเวลาถูกเปิดแล้วสามารถใช้งานได้ในทันทีพะยะค่ะ”
เยี่ยนหยางเหนียนพยักหน้ารับรู้ ก่อนจะหันไปเอ่ยกับเย่ฉางชิง “ท่านเย่ ทุกอย่างเตรียมพร้อมแล้ว สามารถใช้งานค่ายกลห้วงเวลาได้แล้วขอรับ”
เย่ฉางชิงได้ยินเช่นนั้นก็ประสานมือให้แก่มู่หรงลี่จู พลางเอ่ยว่า “คุณหนูมู่หรง ถ้าเช่นนั้นพวกเราก็จากกันตรงนี้ก็แล้วกันนะ”
มู่หรงลี่จูลังเลเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยว่า “ท่านเย่ วันหน้าพวกเราจะยังมีโอกาสจะได้พบกันอีกหรือไม่เจ้าคะ?”
เย่ฉางชิงยิ้มให้อย่างอ่อนโยน พร้อมกับพยักหน้า “หลังจากนี้ข้าจะพักอยู่ที่เมืองเสี่ยวฉือ หากคุณหนูมู่หรงมีเรื่องอันใด ก็สามารถไปหาข้าได้ตลอด”
เอ่ยจบเย่ฉางชิงที่อุ้มจิ้งจอกแนบอก และมีราชันทมิฬเดินตามอยู่ด้านหลัง ก็เดินเข้าไปยังค่ายกลห้วงเวลาพร้อมกับถานไถชิงเสวี่ย
“ท่านเยี่ยน เริ่มค่ายกลห้วงเวลาเถอะ”
เย่ฉางชิงสบตากับมู่หรงลี่จูเล็กน้อย จากนั้นจึงเอ่ยกับเยี่ยนหยางเหนียน
เยี่ยนหยางเหนียนพยักหน้ารับ จากนั้นก็ส่งสัญญาณให้หัวหน้าองครักษ์เปิดค่ายกลห้วงเวลา พร้อมกับประสานมือคาราวะให้แก่เย่ฉางชิง “เยี่ยนหยางเหนียนน้อมส่งท่านเย่ขอรับ”
“เปรี้ยง ! ”
สิ้นเสียงสัญลักษณ์และลวดลายโบราณบนค่ายกลห้วงเวลาพลันสว่างวาบ
ขณะเดียวกันพลังมหาศาลของห้วงอากาศพลันปะทุขึ้น
วินาทีต่อมา แสงอันเจิดจ้าสายหนึ่งก็สว่างขึ้นมาจากด้านล่างของค่ายกลห้วงเวลา
ก่อนที่บริเวณค่ายกลจะเกิดการสั่นสะเทือนและมีพลังเวทย์โหมซัดขึ้นมา
เพียงพริบตาพวกเย่ฉางชิงก็หายตัวไปจากค่ายกลห้วงเวลาในทันใด
เมื่อเห็นว่าบนค่ายกลห้วงเวลาไร้คนอยู่แล้ว ในที่สุดเยี่ยนหยางเหนียนก็ได้ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
ทว่าระหว่างที่เขาหมุนตัวกลับนั้น
ก็เห็นมู่หรงลี่จูยืนอยู่ตรงนั้นด้วยท่าทางที่เต็มไปด้วยความสับสน
เยี่ยนหยางเหนียนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินมาตรงหน้ามู่หรงลี่จูแล้วประสานมือคารวะให้ “คุณหนูมู่หรง พวกท่านเย่ได้จากไปแล้วขอรับ”
มู่หรงลี่จูนิ่งงัน ใบหน้าพริ้มพราวเย็นชาลงในทันที กลับมามีท่าทางเย่อหยิ่งเช่นนางคนเดิมอีกครา
นางปรายตามองเยี่ยนหยางเหนียนเล็กน้อย จากนั้นก็หมุนตัวเหาะขึ้นไปบนฟ้า พุ่งไปทางเมืองหลวงทันที
ต่อมาเมื่อเยี่ยนหยางเหนียนกลับมาถึงเมืองหลวงแล้ว
ก็ได้เรียกประชุมขุนนาง เริ่มวางกำลังชายแดนระหว่างแคว้นเยี่ยนและแคว้นเฉินทันที เพื่อเตรียมโจมตีแคว้นเฉิน
ซึ่งหมายความว่าจงหยวนกำลังจะเริ่มเข้าสู่ยุคแห่งความโกลาหลอีกครั้ง !
และในวันเดียวกันนี้เอง ณ ดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิง
ซือถูเจิ้นผิงที่บำเพ็ญเพียรอยู่ข้างใต้ภาพอักษรพู่กันภาพนั้นมาหลายวัน ในที่สุดก็ได้ลืมตาขึ้นมา
“อักษรพู่กันภาพนี้ช่างเยี่ยมยอดจริง ๆ คาดมิถึงว่าจะแฝงเจตจำนงแท้จริงของกระบี่เอาไว้มากมายเพียงนี้ น่าเสียดายที่สุดท้ายข้าก็ยังมิอาจพัฒนาก้าวสู่อีกระดับได้”
เอ่ยเพียงเท่านั้น ซือถูเจิ้นผิงก็ได้ลุกขึ้นยืน ทันใดนั้นไอกระบี่ที่ปกคลุมทั่วทั้งจัตุรัสก็หายไปในความว่างเปล่า
ฉับพลันศิษย์มากมายที่นั่งสมาธิอยู่ในจัตุรัสก็ลืมตาขึ้นมา พร้อมกับหยุดการบำเพ็ญเพียรอย่างช่วยมิได้
“เกิดอะไรขึ้น เหตุใดจู่ ๆ ไอกระบี่นั่นถึงหายไปได้ ? ”
“ใช่ หากให้เวลาข้าอีกสองวัน ข้าก็จะสามารถก้าวเข้าสู่อีกขั้นของวิถีกระบี่ได้แล้ว”
“พวกเจ้าดูนั่นสิ เป็นผู้อาวุโสท่านนั้น”
ระหว่างที่เหล่าศิษย์ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิงกำลังวิพากษ์วิจารณ์กันอยู่นั้น
ซือถูเจิ้นผิงก็เดินเอามือไพล่หลังออกมาอย่างมิรีบร้อน
ขณะเดียวกัน สวีฉิงเทียนก็เดินนำคนกลุ่มหนึ่งเข้ามาอย่างเร่งรีบ
“ผู้อาวุโสซือถู ท่านบำเพ็ญเพียรเป็นเช่นไรบ้างขอรับ ? ”
สวีฉิงเทียนรีบเดินมาประสานมือคารวะ พร้อมกับยิ้มให้แก่ซือถูเจิ้นผิง
ซือถูเจิ้นผิงพยักหน้ารับ “หลายวันมานี้เกิดความเข้าใจขึ้นบ้าง แต่ข้าก็ยังมิสามารถบรรลุได้อยู่ดี”
เหล่าผู้อาวุโสแห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิงได้ยินเช่นนั้นก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที ก่อนจะกระซิบกระซาบกัน
“เอ่อ…”
“ผู้อาวุโสซือถูท่านนี้มีตบะบารมีในวิถีกระบี่อยู่ระดับใดกัน ถึงยังมิอาจบรรลุได้”
“น่าเหลือเชื่อ ความแตกฉานในวิถีกระบี่จะมากเพียงใดกัน ขนาดบำเพ็ญเพียรด้วยอักษรพู่กันภาพนั้นแล้วยังมิสามารถบรรลุได้อีก”
“หากเป็นเช่นนั้นจริง ก็เท่ากับว่าเขาแข็งแกร่งพอที่จะต่อสู้กับผู้อาวุโสเย่ได้น่ะสิ ? ”
“อืม มีความเป็นไปได้”
ตอนนั้นเองสวีฉิงเทียนก็ได้เอ่ยถามขึ้น “ผู้อาวุโสซือถู ผู้น้อยยังสามารถช่วยอะไรท่านได้หรือไม่ขอรับ ? ”
ซือถูเจิ้นผิงมิได้แสดงสีหน้าใด ๆ ออกมา เขานิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยว่า
“เจ้าสำนักจื่อชิง ท่านยังมีอักษรพู่กันภาพอื่นที่แฝงเจตจำนงที่แท้จริงของกระบี่อีกหรือไม่ ? ”
สวีฉิงเทียนผงะไปเล็กน้อย เพียงพริบตาก็อดมิได้ที่จะรู้สึกหน้าชาขึ้นมา
‘ผู้อาวุโสซือถู นี่มิใช่ผักปลาที่ขายตามข้างถนนนะ ! ’
‘การจะขอภาพอักษรพู่กันสักภาพหนึ่งจากผู้อาวุโสเย่ ใช่เรื่องง่าย ๆ ที่ไหนกัน ? ’
‘ยิ่งกว่านั้นภายในอักษรพู่กันของผู้อาวุโสเย่ ล้วนแฝงเอาไว้ด้วยเจตจำนงที่แท้จริงของวิถีเต๋านับอนันต์’
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง
“เอาเช่นนี้ก็แล้วกัน”
สวีฉิงเทียนก็ได้เอ่ยขึ้นอีกครา “ผู้อาวุโสซือถู ท่านลองไปที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนดู บางที… อาจจะได้พบผู้อาวุโสท่านนั้นก็เป็นได้”
“ห๊ะ ? ”
ซือถูเจิ้นผิงมีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที ก่อนจะเอ่ยพร้อมขมวดคิ้วมุ่น “เจ้าหมายถึงผู้ที่เขียนอักษรพู่กันภาพนี้งั้นหรือ ? ”
สวีฉิงเทียนพยักหน้ารับน้อย ๆ