เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน - ตอนที่ 211 หญ้าต้นเดียวก็ฟันตะวัน จันทรา และดวงดาวได้
ตอนที่ 211 หญ้าต้นเดียวก็ฟันตะวัน จันทรา และดวงดาวได้
ขอถามท่านเย่ว่า วิถีกระบี่คืออะไรหรือขอรับ ?
เย่ฉางชิงนิ่งเงียบไปทันทีที่ได้ยินซือถูเจิ้นผิงเอ่ยถามเช่นนี้ จนรู้สึกได้ถึงเสียงวิ๊งที่ดังขึ้นในโสตประสาท
‘วิถีกระบี่คืออะไร ? ’
‘เจ้าแน่ใจหรือว่านี่คือการขอคำชี้แนะ ? ’
‘หรือว่าเจ้าตั้งใจมากลั่นแกล้งข้ากันแน่ ? ’
‘เจ้าคงเสียสติไปแล้วกระมัง ! ’
‘ข้าเย่ฉางชิงมาอยู่ที่โลกเซียนแห่งนี้เป็นเวลากว่าห้าปีแล้ว’
‘หากมิใช่เพราะการเดินทางไปเมืองหลวงครานี้ ได้กล่าวหลักการคำสอนผู้คนแทนท่านเทพฉางชิงท่านนั้น จึงได้รับประทานรากวิญญาณจากท่านเทพฉางชิงมา’
‘มิเช่นนั้นชั่วชีวิตนี้ก็คงเป็นได้เพียงคนขี้แพ้คนหนึ่งเท่านั้น’
‘ทว่าบัดนี้เพิ่งจะได้เริ่มบำเพ็ญเพียร เจ้ากลับมาถามคำถามที่ลึกซึ้งกับข้าว่าวิถีกระบี่คืออะไร’
‘ข้าว่าเจ้าต้องเสียสติไปแล้วแน่ ๆ ! ’
ขณะที่เย่ฉางชิงพร่ำบ่นในใจอยู่นั้น
นักพรตฉางเสวียนที่นั่งอยู่ด้านข้างซือถูเจิ้นผิงก็มีสีหน้าเปลี่ยนไป ก่อนที่มุมปากจะกระตุกขึ้น
‘ซือถูเจิ้นผิงตาเฒ่าที่อยู่มาหลายพันปีเช่นเจ้า คงแก่กะโหลกกะลาจริง ๆ ’
‘เจ้ากำลังทำอะไรอยู่กันแน่ ! ’
‘เหตุใดน้ำเสียงของเจ้าเหมือนกับตั้งใจกลั่นแกล้งท่านบรรพจารย์เย่เช่นนี้ได้ ! ’
‘เจ้าคิดว่าท่านบรรพจารย์เย่มิเข้าใจวิถีกระบี่งั้นหรือ ? ’
‘หรือคิดว่าความแตกฉานในวิถีกระบี่ของเจ้าอยู่เหนือกว่าท่านบรรพจารย์เย่ ? ’
‘เช่นนั้นเจ้าจะให้ข้าพามาพบท่านบรรพจารย์เย่ อยากขอให้ท่านบรรพจารย์เย่ช่วยชี้แนะในวิถีกระบี่ให้เจ้าทำไมกัน ? ’
‘เจ้าไร้มารยาทถึงเพียงนี้ แล้วยังจะให้ท่านบรรพจารย์เย่ช่วยชี้แนะเจ้าอีกงั้นหรือ ? ’
‘อีกอย่างข้าก็อยู่ตรงนี้ด้วย มิหนำซ้ำยังมีหน้าที่แบกรับดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนอันยิ่งใหญ่เอาไว้ ! ’
‘เจ้าต้องการที่จะลากดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนลงเหวไปด้วยหรือเยี่ยงไร ! ’
‘เจ้าแอบวางแผนชั่วเอาไว้ ! ’
‘เจ้าคนหน้าเนื้อใจเสือ ! ’
‘จิตใจต่ำช้า ! ’
‘เจ้าต้องมิตายดี ! ’
‘หากรู้ว่าจะเป็นเช่นนี้ อย่าว่าแต่มาเป็นแขกของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนเลย ต่อให้มากวาดพื้นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน ข้าก็จะมิตอบตกลงกับเจ้าเป็นอันขาด ! ’
ต้องบอกว่าเวลานี้นักพรตฉางเสวียนนั้นรู้สึกเสียใจเป็นอย่างมาก
ขณะเดียวกันเย่ฉางชิงก็ยังคงพร่ำบ่นอยู่ภายในใจ
ทว่ามินานเขาก็นึกถึงเรื่องบางอย่างขึ้นมาได้
นั่นก็คือตาเฒ่านามว่าซือถูเจิ้นผิงผู้นี้จะต้องได้ยินอะไรบางที่เมืองหลวงมาแน่อย่างแน่นอน ถึงได้เข้าใจผิดว่าเขาคือท่านเทพฉางชิงท่านนั้น
เช่นนั้นจึงได้เอ่ยถามคำถามเช่นนี้ออกมา
เย่ฉางชิงคิดได้เช่นนั้นก็ใคร่ครวญอยู่หลายตลบ
หลังจากไตร่ตรองอยู่พักใหญ่ มินานเขาก็คิดคำตอบของคำถามนี้ขึ้นมาได้
“วิถีกระบี่คืออันใด ? ”
เย่ฉางชิงทำเป็นวางท่าขมวดคิ้วเล็กน้อย พร้อมเอ่ยทวนคำถามขึ้นมาอีกครา
ตอนนั้นเองนักพรตฉางเสวียนที่มีรอยยิ้มแห้ง ๆ ก็ได้รีบเอ่ยขออภัยกับเย่ฉางชิง “ท่านเย่ พี่ซือถูเป็นคนตรงไปตรงมา ใจร้อนพูดมิคิด ขอท่านได้โปรดอย่าตำหนิเขาเลยนะขอรับ”
ซือถูเจิ้นผิงได้ยินเช่นนั้นก็อดมิได้ที่จะขมวดคิ้วมุ่น ภายในใจเต็มไปด้วยความฉงน ?
สองวันก่อนหนานกงเสวียนจีได้กำชับเขาหลายต่อหลายครั้ง
ต่อหน้าผู้อาวุโสเย่ท่านนี้ ขอเพียงแค่จริงใจและเปิดเผยก็พอ
แต่ความหมายในคำพูดของเจ้าสำนักไท่เสวียน เหมือนกับว่าเขามิควรถามคำถามเช่นนี้ออกไป
หรือว่าคำถามที่ขอคำชี้แนะ มีปัญหาอันใดเยี่ยงนั้นหรือ !
มิน่าใช่ !
ในเมื่อผู้อาวุโสเย่ท่านนี้สามารถผสานเจตนาแท้จริงของกระบี่เข้าไปภายในภาพอักษรพู่กันได้ แสดงว่าต้องรู้แจ้งในวิถีกระบี่อย่างแน่นอน
ส่วนที่เขาถามว่าวิถีกระบี่คืออันใด
คำถามนี้แม้จะดูเป็นนามธรรมไปหน่อย แต่สำหรับผู้อาวุโสเย่แล้วก็มิน่าจะยากเกินไป !
ในตอนนั้นเองถานไถชิงเสวี่ยที่นั่งอยู่ใต้ต้นหลิว ก็อดมิได้ที่จะกดสายพิณเพื่อหยุดเล่น
แม้นางจะบำเพ็ญเพียรวิถีดนตรีเป็นสายหลัก ทว่าเยี่ยงไรเสียนางก็เป็นศิษย์ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิง ย่อมมีความเข้าใจในวิถีกระบี่อยู่บ้าง
เช่นนั้นเมื่อได้ยินซือถูเจิ้นผิงเอ่ยคำถามเช่นนี้ออกมา
นางเองก็อยากรู้เช่นกันว่ายอดฝีมืออย่างท่านเย่ จะตอบคำถามนี้ว่าเยี่ยงไร
ในระหว่างที่ซือถูเจิ้นผิง นักพรตฉางเสวียน รวมถึงถานไถชิงเสวี่ยกำลังเฝ้ารอคำตอบอยู่นั้น
เย่ฉางชิงก็ได้เอ่ยขึ้น
ใช่แล้ว !
ครั้งนี้เย่ฉางชิงได้เอ่ยคำตอบออกมาจริง ๆ !
เพียงแต่ก่อนที่เขาจะเอ่ยออกมานั้น ท่าทางของเขากลับนิ่งสงบ สายตาทอดมองออกไป บุคลิกท่าทางของเขาในตอนนี้เปลี่ยนไปราวกับคนละคนภายในพริบตา ก่อนจะเอ่ยอย่างใช้ความคิดว่า
“วิถีกระบี่คืออะไร ? ”
“ขั้นสูงสุดของกระบี่ ใจไร้กระบี่ ในมือไร้กระบี่”
ทว่าเมื่อเอ่ยออกมาด้านหลังของเย่ฉางชิงพลันเกิดนิมิตขึ้น
แต่ทว่านิมิตในครานี้หาได้งดงามและอัศจรรย์เช่นก่อนหน้านี้ไม่
แต่กลับให้ความรู้สึกราวกับเปลี่ยนสิ่งที่เสื่อมโทรมให้กลายเป็นสิ่งอัศจรรย์ขึ้นมา
นิมิตนั้นเห็นเป็นบุรุษหนุ่มสวมชุดคลุมสีเขียวที่มิสามารถมองเห็นใบหน้าที่แท้จริงได้ชัดนัก กำลังยืนเอามือไพล่หลังอยู่บนทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่
มีสายลมบางเบาพัดผ่าน ผมของบุรุษหนุ่มที่สวมอาภรณ์สีเขียวปลิวไสว ดูเหนือกว่าเหล่ามนุษย์ธรรดาทั่วไปอย่างน่าประหลาด
ในตอนนั้นเองเย่ฉางชิงก็เอ่ยขึ้นเรียบ ๆ อีกคราว่า “ข้ามองว่าสิ่งที่เรียกว่าขั้นสูงสุดของวิถีกระบี่ ก็คือการที่หญ้าเพียงต้นเดียวก็ฟันตะวัน จันทรา และดวงดาวได้”
หลังสิ้นเสียงนิมิตที่อยู่ด้านหลังเย่ฉางชิงก็เปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน
เป็นภาพบุรุษหนุ่มสวมอาภรณ์สีเขียว ทว่าจู่ ๆ ร่างของเขาก็มีพลังดุดันก่อนจะระเบิดออกมา
มิใช่ !
พูดให้ถูกก็คือ น่าจะเป็นไอกระบี่มากกว่า !
ใช่แล้ว !
เป็นไอกระบี่ !
วินาทีนี้บุรุษที่สวมอาภรณ์สีเขียวดูราวกับยอดเซียนกระบี่ ยืนตระหง่านอยู่บนทุ่งหญ้ากว้างใหญ่
เวลาผ่านไปมิกี่อึดใจ
ตรงหน้าของบุรุษที่สวมอาภรณ์สีเขียว ก็มีหญ้าต้นหนึ่งลอยขึ้นมา
ทว่าในวินาทีที่บุรุษที่สวมอาภรณ์สีเขียวคว้าหญ้าต้นนั้นเอาไว้
“เพล้งงงงงงง ! ”
เสียงที่ฟังแล้วบาดหูก็ดังสนั่นขึ้นมาในทันที
ขณะเดียวกันฟ้าดินก็เกิดการสั่นสะเทือน ทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่พังทลายลงและห้วงอากาศรัศมีหลายพันลี้ก็เกิดการถล่มลงมา เป็นปรากฏการณ์ที่น่าสะพรึงกลัว ราวกับวันสิ้นโลกมาเยือน
ส่วนด้านบนศีรษะของบุรุษที่สวมอาภรณ์สีเขียว
กลับมีดวงดาวนับร้อยล้านดวงคล้อยต่ำลงมา ดวงตะวัน และจันทราสั่นสะเทือนราวกับกำลังเผชิญหน้ากับศัตรูที่ร้ายกาจ
เมื่อได้เห็นภาพอันน่ากลัวเช่นนี้
ซือถูเจิ้นผิง นักพรตฉางเสวียน รวมทั้งถานไถชิงเสวี่ยที่อยู่ในที่นั้นต่างก็ชุ่มไปด้วยเหงื่อกาฬเย็นเหยียบ ดวงตาเบิกโพลง ท่าทางเต็มไปด้วยความสะพรึงกลัว
‘น่ากลัวยิ่งนัก ! ’
‘ช่างน่ากลัวจริง ๆ ! ’
‘นี่คือขั้นสูงสุดของวิถีกระบี่งั้นหรือ ? ’
‘หญ้าต้นเดียวก็ฟันตะวัน จันทรา และดวงดาวได้ ! ’
‘วิถีกระบี่เช่นนี้ อย่าว่าแต่ในโลกมนุษย์เลย แม้แต่บนสวรรค์เองก็ยังยากที่จะพบยอดผู้แข็งแกร่งในวิถีกระบี่เช่นนี้ได้ ! ’
‘ใช่แล้ว’
‘ผู้อาวุโสเย่สามารถอธิบายความเข้าใจในวิถีกระบี่ได้เช่นนี้ มิหนำซ้ำด้านหลังของเขาก็ยังปรากฏนิมิตที่เหมือนจริงได้ถึงเพียงนี้’
‘หรือว่าผู้อาวุโสเย่จะอยู่ในระดับสูงสุดของวิถีกระบี่แล้วเยี่ยงนั้นหรือ ? ’
‘เป็นไปได้ ! ’
‘มิใช่สิ ! ’
‘ต้องเป็นเช่นนั้นอย่างแน่นอน ! ’
‘ผู้อาวุโสเย่เป็นยอดฝีมือเช่นนี้นี่เอง ! ’
จากนั้นเมื่อเห็นว่าซือถูเจิ้นผิงและเหอฉางเสวียนมิมีการตอบสนองใด ๆ เย่ฉางชิงจึงจำต้องถอนสายตากลับมา และหันไปมองคนทั้งคู่
ทันทีที่เห็นใบหน้าซีดเซียว เหงื่อชุ่มโชก และท่าทางที่เต็มไปด้วยความสะพรึงกลัวของคนทั้งคู่
เย่ฉางชิงก็ต้องขมวดคิ้วขึ้น ใบหน้าเผยให้เห็นถึงความสงสัย
‘นี่มันเรื่องอะไรกันอีกล่ะนี่ ? ’
‘หรือว่าเมื่อครู่ตอนที่เอ่ยประโยคนี้ออกมา จะเกิดนิมิตอะไรที่ทำให้พวกเขาตกใจขึ้นงั้นหรือ ? ’
‘แต่ยอมรับว่าประโยคเมื่อครู่ช่างน่าตกใจจริง ๆ ’
‘หญ้าต้นเดียวก็ฟันตะวัน จันทรา และดวงดาวได้ ! ’
‘ฝีมือเช่นนั้น แม้แต่ในโลกเซียนแห่งนี้ ต่อให้บำเพ็ญเพียรวิถีกระบี่จนถึงขั้นสูงสุดแล้ว จะสามารถใช้หญ้าต้นเดียวก็ฟันตะวัน จันทรา และดวงดาวได้จริงงั้นหรือ ? ’
ความจริงแล้วตัวเย่ฉางชิงเองยังมิอยากจะเชื่อคำกล่าวนี้เช่นเดียวกัน
เย่ฉางชิงคิดเช่นนั้นแล้วจึงยกชาขึ้นจิบเบา ๆ ก่อนจะเอ่ยถามขึ้นยิ้ม ๆ ว่า “ท่านทั้งสองตอนนี้พอจะทราบแล้วใช่หรือไม่ ว่าวิถีกระบี่คืออันใด ? ”
นักพรตฉางเสวียนและซือถูเจิ้นผิงจึงได้สติขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อได้ยินคำถามนั้น
วินาทีต่อมา ในขณะที่นักพรตฉางเสวียนยังมิทันได้ตอบโต้ใด ๆ
ซือถูเจิ้นผิงกลับลุกขึ้นยืน จากนั้นก็ก้าวถอยหลังไปสองก้าว แล้วโค้งคาราวะให้แก่เย่ฉางชิง พร้อมเอ่ยอย่างนอบน้อมว่า
“ท่านเย่ช่างมีความรู้ที่ลึกซึ้งยิ่งนัก ชั่วชีวิตนี้เกรงว่าผู้น้อยคงมิอาจเข้าใจได้ แต่ต้องยอมรับว่าข้านั่นได้ความรู้เพิ่มขึ้นจริง ๆ ”
เย่ฉางชิงได้ยินเช่นนั้นมิเพียงมิมีท่าทียินดีใด ๆ แต่กลับเผยสีหน้าสับสนวุ่นวายใจออกมาอีกด้วย