เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน - ตอนที่ 227 แผนการของนักพรตหยวนเจี้ยน
ตอนที่ 227 แผนการของนักพรตหยวนเจี้ยน
สิ้นเสียง เด็กน้อยที่มีใบหน้าเยาว์วัย ทว่าแววตากลับฉายแววเฉียบแหลมก็ลุกขึ้นมา
อาจเป็นเพราะบำเพ็ญเพียรวิถีกระบี่ เด็กน้อยน้ำมูกย้อยคนนั้น เวลานี้จึงแผ่รัศมีดุดันออกมาได้อย่างน่าตกใจ
นักพรตหยวนเจี้ยนเห็นเช่นนั้นก็ผงะไปเล็กน้อย ทว่ากลับเต็มไปด้วยความปลื้มปิติ
หากเด็กคนนี้สามารถเข้าใจเคล็ดกระบี่ที่สมบูรณ์ทั้งเจ็ดรูปแบบบนรอยกระบี่ได้จริง เช่นนั้นภายภาคหน้าความแตกฉานในวิถีกระบี่ของเขาก็คงมิอาจประมาณได้
ตอนนั้นเองว่าหลี่ชุนเฟิงก็ขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย ขณะเดียวกันก็ค่อย ๆ เคลื่อนพลัง
วินาทีต่อมาเมื่อพลังวิญญาณภายในเคลื่อนที่ รอบกายก็เกิดพลังปราณทะลักออกมา
กระบี่สั้นเล่มหนึ่งที่หลี่ชุนเฟิงพกเอาไว้ก็ได้คำรามออกมา ก่อนจะพุ่งออกจากฝักอย่างรุนแรง
“ฟิ้ว ! ”
ประกายกระบี่สายหนึ่งพุ่งขึ้น หมุนคว้างกลางอากาศหนึ่งรอบ แล้วจู่ ๆ ก็พุ่งลงมา
หลี่ชุนเฟิงหรี่ตาลง ก่อนจะกระโดดขึ้นไป
เพียงชั่วประกายไฟ ในวินาทีที่เขากุมด้ามกระบี่เอาไว้ ก็ยกกระบี่ขึ้นทันใด
วินาทีต่อมาประกายกระบี่อันงดงามก็สะท้อนไปทั่วตัวกระบี่ ไอกระบี่อันดุดันคำรามออกมามิหยุด ขณะเดียวกันพลังกระบี่อันมหาศาลก็พุ่งลงมาเช่นกัน
กระบี่นี้เรียกว่าเป็นการหลอมรวมไอกระบี่ และพลังกระบี่ได้อย่างสมบูรณ์
แค่ดูก็รู้แล้วว่าพลังของกระบี่นี้มิอาจจะประมาณได้
แน่นอนว่าสิ่งที่ทำให้ทุกคนตื่นตระหนกก็คือ เด็กน้อยคนนี้ตั้งแต่บำเพ็ญเพียรวิถีกระบี่มา เวลาเพิ่งจะผ่านมิกี่เดือนเท่านั้น !
เมื่อได้เห็นกระบี่ของหลี่ชุนเฟิงด้วยตาของตัวเอง
มิเพียงแค่ลู่อู๋ซวงและอวิ๋นเฉินเจี้ยนเท่านั้นที่ตกตะลึงจนอ้าปากค้าง แม้แต่นักพรตหยวนเจี้ยนเองก็อ้าปากค้างเช่นกัน
‘เจ้าเด็กคนนี้ ช่างน่าทึ่งจริง ๆ ! ’
‘พึ่งจะบำเพ็ญเพียรได้มิเท่าไร ก็มีความแตกฉานในวิถีกระบี่ถึงเพียงนี้แล้ว’
‘หากบำเพ็ญเพียรเช่นนี้ต่อไป มิถึงร้อยปีจะต้องกลายเป็นมือกระบี่แห่งยุคอย่างแน่นอน’
ในที่สุดนักพรตหยวนเจี้ยนและลู่อู๋ซวง ก็เข้าใจความรู้สึกของอวิ๋นเฉินเจี้ยนในช่วงที่ผ่านมาแล้ว
เพราะตอนที่ทั้งเจ็ดคนนี้ยังมิได้เข้ามาอยู่ยอดเขากระบี่วิญญาณนั้น ความสามารถในวิถีกระบี่ของอวิ๋นเฉินเจี้ยนถือเป็นอันดับต้น ๆ ของยอดเขากระบี่วิญญาณก็ว่าได้
ทว่าบัดนี้เพียงแค่กระบี่นี้ของหลี่ชุนเฟิง เกรงว่าด้วยความแตกฉานในวิถีกระบี่ของอวิ๋นเฉินเจี้ยนในเวลานี้ยังมิสามารถทำเช่นนี้ได้ด้วยซ้ำ
ตบะบารมีและระดับบำเพ็ญเพียรต้องใช้เวลาในการสะสม แต่ความเข้าใจในวิถีกระบี่นั้นตัดสินกันด้วยพรสวรรค์
แค่คิดก็รู้แล้วว่าการต้องเจออะไรเช่นนี้ จะทำให้อวิ๋นเฉินเจี้ยนผู้ถูกเรียกว่าอัจฉริยะวิถีกระบี่ผู้นี้เกิดความหดหู่มากเพียงใด
ยิ่งไปกว่านั้นตามการทดสอบคุณสมบัติที่เมืองเสี่ยวฉือก่อนหน้านี้ คุณสมบัติของหลี่ชุนเฟิงยังด้อยกว่าคนอื่น ๆ อีกด้วย
ตอนนั้นเองอวิ๋นเฉินเจี้ยนที่ยืนอยู่ข้างลู่อู๋ซวง ก็ได้คร่ำครวญออกมาว่า
“ศิษย์พี่ลู่ ตอนนี้ท่านก็เห็นแล้ว ถ้าให้ข้าสอนเด็กประหลาดพวกนี้ต่อไป คาดว่าอีกมินานท่านก็คงมิได้เห็นศิษย์น้องอย่างข้าอีกแล้ว ! ”
ลู่อู๋ซวงเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าเห็นด้วย “ศิษย์น้องเหล่านี้มีคุณสมบัติที่มิธรรมดาจริง ๆ หากเจ้าสอนต่อไป อาจจะส่งผลกระทบต่อการบำเพ็ญเพียรวิถีกระบี่ในภายภาคหน้าก็เป็นได้”
อวิ๋นเฉินเจี้ยนได้ยินเช่นนั้นก็มีน้ำตาคลอออกมาด้วยความปลาบปลื้ม “ศิษย์พี่ลู่ ท่านเข้าใจข้าที่สุด ! ”
เวลาผ่านไปเกือบหนึ่งก้านธูป
หลี่ชุนเฟิงก็ได้แสดงเคล็ดกระบี่ที่สมบูรณ์ทั้งเจ็ดรูปแบบที่เขาทำความเข้าใจได้จากรอยกระบี่แสดงออกมาจนหมด
ต้องบอกว่าเคล็ดกระบี่ที่สมบูรณ์ทั้งเจ็ดรูปแบบนี้ แต่ละรูปแบบล้วนเรียกได้ว่ายอดเยี่ยมไร้ที่ติ
แต่ละรูปแบบล้วนหลอมรวมไอกระบี่และพลังกระบี่เอาไว้ได้อย่างสมบูรณ์
ไอกระบี่ดุดันไร้ที่ติ พลังกระบี่โหมกระหน่ำ ทั้งยังมีพลังทำลายล้างสูง เฉกเช่นมังกรจากอเวจี
หากมิใช่เพราะหลี่ชุนเฟิงอายุน้อย ตบะบารมีในตอนนี้ยังอยู่เพียงระดับสร้างรากฐานปราณ บวกกับยังมิได้เข้าใจในเจตจำนงของกระบี่ มิฉะนั้นแล้วเกรงว่ากระบี่เมื่อครู่นี้คงเพียงพอที่จะแยกภูเขาลูกนี้ออกจากกันได้แล้ว
ดูก็รู้แล้วว่าเคล็ดกระบี่ที่แฝงเอาไว้ภายในรอยกระบี่นั้นทรงพลังเพียงใด !
ตอนนั้นเองเด็กน้อยที่มีชื่อจริงว่าเว่ยจงเสียนก็ค่อย ๆ ขยับมาอยู่ข้าง ๆ หลี่ชุนเฟิง แล้วใช้ข้อศอกกระทุ้งเบา ๆ ไปที่แขนของหลี่ชุนเฟิง
“หมาน้อย มองมิออกเลยว่าเจ้าจะเก่งกาจถึงเพียงนี้”
หลี่ชุนเฟิงส่งยิ้มให้ พร้อมกับกล่าวออกมา
“ข้าบอกกี่ครั้งแล้วว่าอย่าเรียกหมาน้อย ให้เรียกชื่อจริงของข้า ! ”
หลี่ชุนเฟิงมุมปากกระตุกเล็กน้อย พลางกล่าวอย่างมิสบอารมณ์ว่า “เจ้าแซ่เว่ย หากต่อไปเจ้ายังกล้าเรียกข้าว่าหมาน้อยอีก ข้าจะแล่เนื้อเจ้าให้ดู ? ”
“ตกลง หมาน้อย ! ” เว่ยจงเสียนเอ่ยด้วยท่าทางจริงจัง
หลี่ชุนเฟิง “……”
เวลาผ่านไปมิกี่อึดใจ
จ้าวกวงอี้ที่เป็นหัวหน้ากลุ่มลังเลอยู่สักครู่ ก่อนจะเอ่ยกับนักพรตหยวนเจี้ยนอย่างนอบน้อมว่า “อาจารย์ พวกเราขึ้นเขามาบำเพ็ญเพียรก็หลายเดือนแล้ว พวกเราขอกลับเมืองเสี่ยวฉือไปเยี่ยมท่านพ่อท่านแม่ แล้วก็ท่านเย่ได้หรือไม่ขอรับ ? ”
จ้าวกวงอี้เอ่ยจบที่เหลืออีกหกคนก็สบตากันเล็กน้อย ก่อนจะมีสีหน้าสลดลงแทบจะพร้อม ๆ กัน
เยี่ยงไรเสียพวกเขาก็ยังคงเป็นเด็กอยู่ อีกทั้งยังบำเพ็ญเพียรอยู่ที่นี่มาได้หลายเดือนแล้ว จึงอดมิได้ที่จะคิดถึงบ้าน
วินาทีต่อมาลู่อู๋ซวงก็ขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย พร้อมกล่าวกับพวกจ้าวกวงอี้ว่า “ศิษย์น้องจ้าว หรือว่าพวกเจ้า ลืมสิ่งที่ข้าบอกพวกเจ้าตอนเข้าสำนักมาแล้วงั้นหรือ ? ”
ได้ยินเช่นนั้นทั้งเจ็ดคนก็นิ่งอึ้งไป ก่อนใบหน้าจะแดงก่ำและก้มลงด้วยความอับอาย
นักพรตหยวนเจี้ยนจึงหันไปมองลู่อู๋ซวง พร้อมกับยิ้มออกมา “เอาเยี่ยงนี้ก็แล้วกัน กฏระเบียบย่อมเปลี่ยนแปลงได้ตามสถานการณ์”
“เวลานี้พวกเจ้ายังเด็กนัก เป็นเรื่องยากที่จะมิคิดถึงบิดามารดา วันนี้อาจารย์จะยอมแหกกฎสักครา อนุญาตให้พวกเจ้าลงเขา…”
“อาจารย์ ! ”
ลู่อู๋ซวงเอ่ยขัดด้วยความโมโหทันที
“อู๋ซวง เจ้าอย่าเพิ่งร้อนใจไป รอให้อาจารย์พูดให้จบก่อน”
นักพรตหยวนเจี้ยนโบกมือเบา ๆ พร้อมเอ่ยต่อด้วยรอยยิ้มว่า “แต่ว่าอาจารย์มีข้อแม้นั่นก็คือ ก่อนที่พวกเจ้าจะลงเขาไป พวกเจ้าทั้งเจ็ดคนจะต้องบำเพ็ญเพียรจนถึงระดับสร้างรากฐานให้ได้ทุกคนเสียก่อน”
“อาจารย์ ขอเพียงพวกเราก้าวเข้าสู่ระดับสร้างรากฐาน ก็สามารถลงเขากลับไปเยี่ยมบ้านได้จริง ๆ หรือขอรับ ? ”
จ้าวกวงอี้เงยหน้าขึ้นถาม พร้อมดวงตาเป็นประกาย
นักพรตหยวนเจี้ยนพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม “อาจารย์พูดคำไหนคำนั้น แต่ว่านับจากนี้ไปแต่ละปีจะมีโอกาสเพียงคราเดียวเท่านั้นนะ”
ทันใดนั้นพวกจ้าวกวงอี้ก็มีท่าทางตื่นเต้นดีใจขึ้นมาทันที
“เฉินเจี้ยน เจ้าพาพวกเขากลับไปก่อนไป”
นักพรตหยวนเจี้ยนก้าวไปลูบที่หัวของจ้าวกวงอี้และหลี่ชุนเฟิงเบา ๆ จากนั้นจึงหันไปบอกกับอวิ๋นเฉินเจี้ยน
“อาจารย์ นี่มัน…”
อวิ๋นเฉินเจี้ยนมีท่าทางลำบากใจ พลางหันไปมองลู่อู๋ซวงอย่างอดมิได้
ลู่อู๋ซวงจึงพยักหน้าให้กับอวิ๋นเฉินเจี้ยน
มินานอวิ๋นเฉินเจี้ยนก็พาทั้งเจ็ดคนจากไป
หลังจากพวกอวิ๋นเฉินเจี้ยนจากไปแล้ว
รอยยิ้มบนใบหน้าของนักพรตหยวนเจี้ยนก็ค่อย ๆ จางหายไป ก่อนเอ่ยออกมานิ่ง ๆ ว่า
“อู๋ซวง ความสามารถของเด็กเจ็ดคนนี้ เจ้าเองก็คงจะเห็นแล้วใช่หรือไม่ ? ”
ลู่อู๋ซวงมิได้แสดงสีหน้าใด ๆ ออกมามากนัก พร้อมกับเอ่ยเสียงเรียบว่า “อาจารย์ ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ท่านก็มิควรทำเช่นนี้นี่เจ้าคะ ? ”
นักพรตหยวนเจี้ยนโบกมือไปมา “หากมิมีสิ่งใดผิดพลาด ข้าว่าเมื่อพวกเขาทั้งเจ็ดคน มีอายุพอ ๆ กับเจ้าในตอนนี้ มิเพียงจะมีตบะบารมีที่มิอ่อนด้อยไปกว่าเจ้า อีกทั้งความแตกฉานในวิถีกระบี่เกรงว่าจะเหนือกว่าเจ้าเสียด้วยซ้ำ”
ลู่อู๋ซวงชะงักงัน ก่อนจะขมวดคิ้วแน่นแล้วถามว่า “อาจารย์ ท่านหมายความว่าเช่นไรหรือเจ้าคะ ? ”
นักพรตหยวนเจี้ยนหัวเราะออกมา “เยี่ยงไรเสียดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนของเราก็มิใช่สำนักบำเพ็ญเพียรที่สืบทอดวิถีกระบี่ต่อกันมา เช่นนั้นการให้พวกเขาบำเพ็ญเพียรอยู่แต่ภายในยอดเขากระบี่วิญญาณ มีแต่จะเหนี่ยวรั้งพรสวรรค์ในวิถีกระบี่ของพวกเขาเอาไว้”
“รอเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมแล้ว ข้าจะให้พวกเขาลงเขาไปหาประสบการณ์ รวมทั้งท้าดวลกับศิษย์ในสำนักที่บำเพ็ญเพียรวิถีกระบี่ เพื่อสะสมสมบัติที่ใช้ในการบำเพ็ญเพียร เช่นนั้นจึงมิมีความจำเป็นที่จะต้องปฏิเสธการที่พวกเขาจะลงเขาไปเยี่ยมครอบครัว”
ลู่อู๋ซวงตกตะลึง พลางเอ่ยอย่างกังวลว่า “อาจารย์ ทำเช่นนี้จะดีจริง ๆ หรือเจ้าคะ ? ”
นักพรตหยวนเจี้ยนส่ายหน้ายิ้ม ๆ
จนเวลาผ่านไปหนึ่งชั่วยาม
ลู่อู๋ซวงก็ออกจากเขาด้านหลังไปเพียงลำพัง ทิ้งนักพรตหยวนเจี้ยนเอาไว้แต่เพียงผู้เดียว
“เจ็ดศิษย์ไท่เสวียน อืม ฉายานี้ก็แล้วกัน ! ”
“เมื่อถึงเวลานั้น หลังจากที่พวกเขาเจ็ดคนลงเขาไป มินานพวกเขาทั้งเจ็ดจะต้องมีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วจงหยวนเป็นแน่…”
เอ่ยจบ ดวงตานักพรตหยวนเจี้ยนก็คลอไปด้วยน้ำตา พร้อมกับหัวเราะออกมา “ถึงตอนนั้นข้าคงจะมิเสียดายชีวิตอีกแล้ว”