เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน - ตอนที่ 233 ศิษย์พี่ฉางเสวียน ท่านหมายความเช่นไร ?
ตอนที่ 233 ศิษย์พี่ฉางเสวียน ท่านหมายความเช่นไร ?
ตามที่แผนที่ของหอเก็บตำราบอกเอาไว้
หอเก็บตำราชั้นที่หนึ่ง จะเป็นตำราต่าง ๆ ที่เตรียมไว้สำหรับศิษย์ที่เพิ่งเริ่มบำเพ็ญเพียร
จะมีทั้งตำราที่เกี่ยวกับระบบการบำเพ็ญเพียรทั้งหมด มีเคล็ดวิชาขั้นเริ่มต้น วิธีปรุงยา เคล็ดกลั่นอาวุธ
หอเก็บตำราชั้นที่สอง จะเป็นบันทึกประวัติศาสตร์ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนทั้งหมด
ส่วนหอเก็บตำราชั้นที่สาม จะเป็นเคล็ดวิชาต่าง ๆ วิธีปรุงยา เคล็ดกลั่นขั้นต้นที่ต้องใช้ในการการบำเพ็ญเพียรและอื่น ๆ
ทว่าทั้งหมดนี้สำหรับเย่ฉางชิงที่ในที่สุดก็สามารถเข้ามาในหอเก็บตำราได้ดั่งที่หวังเอาไว้
เวลานี้สิ่งที่เขาสนใจยิ่งกว่าก็คือการสามารถหาตำราเกี่ยวกับการบำเพ็ญเพียรทั้งหมด
เพราะฐานะของเขาในตอนนี้เป็นทั้ง ท่านเทพฉางชิงของคนในเมืองหลวง และยังเป็นท่านบรรพจารย์เย่ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนด้วย
และทั้งสองฐานะนี้ล้วนเป็นฐานะที่สูงส่งทั้งคู่
เวลานี้แม้เขาจะยังมิแน่ใจว่า เหตุใดยอดฝีมือในการบำเพ็ญเพียรเหล่านี้ถึงมั่นใจว่าเขาเป็นบรรพจารย์ท่านนั้น
แต่มิว่าจะเพื่อรับมือกับสถานการณ์ตรงหน้า หรือเพื่อใช้ในการบำเพ็ญเพียรของตนเอง เขาก็จำเป็นจะต้องเข้าใจระบบการบำเพ็ญเพียรของโลกเซียนแห่งนี้เสียก่อน
จนเวลาผ่านไปหนึ่งก้านธูป
เย่ฉางชิงได้ค้นหนังสือในชั้นหนึ่งของหอเก็บตำราเกือบทั้งหมด ในที่สุดเขาก็เจอตำราที่มีฝุ่นเกาะหนาเตอะเล่มหนึ่งอยู่ที่มุมกำแพง
‘คู่มือพัฒนาผู้บำเพ็ญเพียร’
หลังจากเจอตำราเกี่ยวกับระบบการบำเพ็ญเพียรแล้ว เย่ฉางชิงก็รีบนั่งลงหน้าโต๊ะตัวยาวเพื่อตั้งหน้าตั้งตาอ่านทันที
มิทันรู้ตัวฟ้าก็ค่อย ๆ มืดลงเสียแล้ว
เนื่องจากบนกำแพงของหอเก็บตำราได้มีมุกราตรีฝังเอาไว้จำนวนมาก เช่นนั้นต่อให้ราตรีมาเยือน ภายในหอเก็บตำราก็ยังคงสว่างราวกับตอนกลางวันก็มิปาน
จนเวลาผ่านไปเกือบหนึ่งชั่วยาม
ในที่สุดเย่ฉางชิงก็ได้รู้เกี่ยวกับการบำเพ็ญเพียรดั่งที่หวังเอาไว้
อาทิ ในโลกเซียนแห่งนี้ระดับของผู้บำเพ็ญเพียรจะแบ่งเป็น สร้างรากฐานวิญญาณ รวมรวมชีพจร จินตาน หยวนอิง แดนเทวา ถ้ำสวรรค์ มหายาน
อีกทั้งแต่ละระดับยังจะแบ่งเป็น ขั้นต้น ขั้นกลาง สำเร็จ สมบูรณ์ รวมทั้งลักษณะเฉพาะของแต่ละระดับ และแต่ละระดับควรใส่ใจเรื่องใดบ้าง
แน่นอนว่ายังมีประเภทและขั้นของยาวิเศษ รวมทั้งของวิเศษ
เย่ฉางชิงรู้สึกพอใจในเรื่องนี้เป็นอย่างมาก
ทว่าเมื่อเย่ฉางชิงปิดตำราโบราณเล่มนั้นแล้ว เขาก็อดมิได้ที่จะยกมือขึ้นนวดขมับ
“มิใช่นี่นา ! ”
เย่ฉางชิงเอ่ยอย่างครุ่นคิด “ตามที่เขียนเอาไว้ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานวิญญาณจะเกิดพายุหมุนขึ้นภายในจุดตันเถียน อีกทั้งพายุหมุนนี้ยังเกิดจากพลังปราณ ปราณวิญญาณฟ้าดินอันบริสุทธิ์จะเปลี่ยนแปลง ทำให้เกิดพายุหมุนเป็นสิ่งที่เรียกว่าพลังวิญญาณ”
“เช่นนี้แล้วก็หมายความว่าพายุหมุนภายในตันเถียนมีรูปร่างแต่ไร้สีสัน”
เย่ฉางชิงว่าแล้วก็เปิดตำราขึ้นอีกครั้ง ก่อนเปิดไปที่บทสร้างรากฐานปราณ
มิกี่อึดใจต่อมา
“นี่มันเรื่องอะไรกัน ! ”
เย่ฉางชิงกวาดตามองบทสร้างรากฐานปราณคร่าว ๆ ก่อนจะขมวดคิ้วแน่น “เหตุใดพายุหมุนของข้าจึงปรากฏแสงสีม่วงทองเล่า รอบพายุหมุนยังมีแสงสีเงินปรากฏขึ้นอีกด้วยแม้จะเลือนลาง ? ”
“อีกทั้งตามที่เขียนเอาไว้ หลังจากที่ผู้บำเพ็ญเพียรหลอมรวมจินตานได้แล้ว จินตานจะทำให้สีปรากฏขึ้นตามธาตุของรากวิญญาณ…”
หลังจากพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว
เย่ฉางชิงก็ถอนหายใจออกมายาว ๆ ก่อนจะเอ่ยอย่างเอือมระอาว่า “แม้ตอนนี้จะยังมิรู้ว่าการที่พายุหมุนปรากฏสีออกมานั้นหมายความเช่นไร แต่ตอนนี้ก็สามารถยืนยันได้แล้วว่าข้าเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานวิญาณตัวจริงเสียงจริง”
“ขอเพียงวันหนึ่งข้าสามารถหลอมรวมชีพจรได้ ถึงตอนนั้นคำถามเหล่านี้ก็คงจะได้คำตอบเองสินะ”
พูดถึงตรงนี้เย่ฉางชิงก็เพ่งสมาธิ หยิบเจดีย์หวงเซวียนหลิงหลงที่บังเอิญได้มาจากเมืองหลวง ออกมาจากแหวนเก็บสมบัติ
จากนั้นเขาก็เปิดไปยังบทของวิเศษ ของตำราโบราณเล่มนี้อย่างรวดเร็ว
เห็นได้ชัดว่าในเมื่อตำราโบราณละเอียดถึงเพียงนี้ เขาจึงอยากรู้ว่าเจดีย์หวงเซวียนหลิงหลงนี้ จะมีระดับขั้นเช่นไร
ทว่าจนเวลาผ่านไปหนึ่งก้านธูป
มุมปากของเย่ฉางชิงก็ต้องกระตุกขึ้นอย่างอดมิได้
ตามคำอธิบายด้านบน มิมีสมบัติปราณขั้นใดที่ตรงกับเจดีย์หวงเซวียนหลิงหลงชิ้นนี้ของเขาเลย
สุดท้าย
“เจดีย์หวงเซวียนหลิงหลงหลังนี้เป็นของที่ท่านเทพฉางชิงมอบให้ข้า ยอดฝีมืออย่างท่านเทพฉางชิงคงมิขี้เหนียวหรอกกระมัง”
เย่ฉางชิงถอนหายใจออกมา ก่อนปิดตำราโบราณเล่มหนานี้ลง จากนั้นก็ลุกขึ้นนำไปเก็บบนชั้นตามเดิม
เขามองว่าตำราเช่นนี้มิควรถูกฝังเอาไว้ ผู้ที่เริ่มเรียนเช่นเขาทุกคนควรอ่านมันอย่างละเอียด
วินาทีต่อมา ระหว่างที่เย่ฉางชิงกำลังหมุนตัวนั้น
สายตาของเขาบังเอิญมองไปทางชั้นหนังสือ ก่อนปะทะเข้ากับเคล็ดกระบี่ระดับเริ่มต้นเล่มหนึ่งเข้าพอดี
‘เคล็ดกระบี่แสงทอง’
ทันใดนั้นเย่ฉางชิงที่คิดจะขึ้นไปดูบันทึกประวัติศาสตร์ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนที่ชั้นสอง ก็ได้หยุดลงกะทันหัน
แม้ตอนนี้เขาจะสามารถบำเพ็ญเพียรได้แล้ว แต่กลับยังมิมีวิชาโจมตีใด ๆ ที่จะเรียนได้
อีกทั้งในเมื่อเคล็ดกระบี่แสงทองเล่มนี้ปรากฏอยู่ตรงนี้ ก็อธิบายความสำคัญของเคล็ดกระบี่แสงทองได้แล้ว
อีกอย่างในเมื่อเป็นเคล็ดกระบี่ระดับเริ่มต้น คนของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนคงมิสนใจเท่าไรนัก
เย่ฉางชิงคิดแล้วดวงตาพลันเกิดประกายบางอย่างแวบผ่าน ใบหน้าปรากฏรอยยิ้มยินดีขึ้น จากนั้นก็หยิบเคล็ดกระบี่แสงทองเล่มนี้ออกมา และนั่งลงหน้าโต๊ะตัวยาวเพื่อศึกษาอย่างละเอียด
ขณะเดียวกันนี้ ลู่อู๋ซวงและศิษย์ที่ประจำการอยู่ที่หอเก็บตำรา ก็ยังคงเฝ้ารออยู่ข้างนอกหอเก็บตำราเช่นเดิม
“ท่านบรรพจารย์เย่เข้าไปสองชั่วยามแล้ว เหตุใดจึงยังมิออกมาอีก ? ”
ลู่อู๋ซวงขมวดคิ้วเบา ๆ ภายในใจอดที่จะสงสัยมิได้ ‘ตบะบารมีเช่นท่านบรรพจารย์เย่ ต่อให้อ่านบันทึกทั้งหมดบนชั้นสองของหอเก็บตำรา ก็มิน่าใช้เวลานานเพียงนี้นี่นา ? ’
เวลาผ่านไปอีกครึ่งชั่วยาม
ลู่อู๋ซวงจึงลุกขึ้นด้วยความรู้สึกมิสบายใจ
“ศิษย์น้องหลู พวกเจ้าจงรออยู่ที่นี่ ข้าจะรีบไปรับกลับ”
ลู่อู๋ซวงเอ่ยเบา ๆ
สิ้นเสียงลู่อู๋ซวงก็แปลงกายเป็นเงาสายหนึ่ง พุ่งไปทางตำหนักไท่เสวียนอีกครั้ง
เมื่อลู่อู๋ซวงปรากฏตัวที่ตำหนักไท่เสวียนอีกครั้ง เหล่าผู้อาวุโสของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนต่างทยอยลุกขึ้นยืน
“อู๋ซวง เหตุใดเจ้าจึงกลับมาอีกเล่า ? ”
นักพรตหยวนเจี้ยนเอ่ยถามลู่อู๋ซวงอย่างสงสัย
คิ้วของลู่อู๋ซวงขมวดขึ้นเล็กน้อย ก่อนตอบด้วยสีหน้ายุ่งยากใจว่า “อาจารย์ ตั้งแต่ที่ท่านบรรพจารย์เย่เข้าไปในหอเก็บตำราจนถึงบัดนี้ เขาก็ยังมิออกมาเลยเจ้าค่ะ”
“ห๊ะ ! ”
เหล่าผู้อาวุโสของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนได้ยินเช่นนั้นก็มีสีหน้าฉงนขึ้นมาทันที
เห็นได้ชัดว่าพวกเขาและลู่อู๋ซวง ต่างก็คิดว่าด้วยตบะบารมีรวมทั้งอิทธิฤทธิ์ของท่านบรรพจารย์เย่ท่านนั้น มิน่าจะอยู่ภายในหอเก็บตำรานานถึงเพียงนี้
ตอนนั้นเองนักพรตฉางเสวียนก็ส่ายหน้าพร้อมรอยยิ้ม
“พวกเจ้ามิต้องตกใจไป ท่านบรรพจารย์เย่อยู่ในหอเก็บตำรานานขนาดนี้ย่อมต้องมีจุดประสงค์ของเขา”
นักพรตฉางเสวียนเอ่ยด้วยความมั่นใจ
นักพรตหยวนเจี้ยนได้ยินเช่นนั้นก็ถามด้วยความสงสัยขึ้นว่า “ศิษย์พี่ฉางเสวียน ท่านหมายความเช่นไรกัน ? ”
ทันใดนั้นทุกคนต่างก็หันไปมองนักพรตฉางเสวียนที่ยืนเอามือไพล่หลังอยู่จนเป็นตาเดียว