เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน - ตอนที่ 239 ชี้แนะวิถีกระบี่ให้หลี่ฉางหมิง
ตอนที่ 239 ชี้แนะวิถีกระบี่ให้หลี่ฉางหมิง
หลังจากพร่ำบ่นอยู่ในใจครู่หนึ่ง เมื่อเห็นหลี่ฉางหมิงยังคงมิมีท่าทางไหวติงใด ๆ
ได้แต่เงียบอยู่เช่นนั้น
“การบำเพ็ญเพียรหมื่นวิถี สุดท้ายก็เป็นเพียงแค่การค้นหารากฐาน กลับสู่ธรรมชาติ วิถีกระบี่เองก็เช่นกัน”
เย่ฉางชิงเหลือบมองหลี่ฉางหมิงที่โค้งคำนับให้เขาด้วยใบหน้าเคารพเลื่อมใส แล้วเอ่ยเสียงเรียบว่า “เช่นนี้ก็แล้วกัน เคล็ดกระบี่แสงทองเป็นเคล็ดกระบี่ขั้นเริ่มต้น เจ้าช่วยแสดงให้ข้าดูสักสามสี่ท่าสิ”
ความจริงแล้วเวลานี้เย่ฉางชิงรู้สึกเอือมระอาอย่างมาก
ตอนนี้แม้เขาจะสามารถบำเพ็ญเพียรได้แล้ว แต่เยี่ยงไรเสียก็ยังเป็นเพียงน้องใหม่เท่านั้น
แต่ผู้สืบทอดของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนผู้นี้ กลับต้องการให้เขาชี้แนะการฝึกวิถีกระบี่ให้
แล้วจะสอนอย่างไรเล่า ?
คิดไปคิดมาเย่ฉางชิงจึงตัดสินใจว่า ในเมื่อหลี่ฉางหมิงยืนกรานเช่นนี้เขาก็จะทำให้หลี่ฉางหมิงได้สมปรารถนา
อีกอย่างในสายตาของหลี่ฉางหมิง เขาเป็นถึงท่านบรรพจารย์เย่ที่มีตบะบารมีอันสูงส่งและสามารถทำได้ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่แล้วนี่
เช่นนั้นต่อให้เขาจะพูดมั่วซั่ว หลี่ฉางหมิงก็คงเชื่ออย่างมิมีข้อสงสัยแน่นอน
ในเมื่อเป็นเช่นนั้นเขาจึงทำได้เพียงเอาสิ่งที่เพิ่งเรียนมาใช้เท่านั้น ชี้แนะหลี่ฉางหมิงว่าควรฝึกเคล็ดกระบี่แสงทองเช่นไร
ส่วนอีกเหตุผลหนึ่งก็เพราะตั้งแต่เย่ฉางชิงเริ่มบำเพ็ญเพียรมาจนถึงวันนี้ เขาเชี่ยวชาญเพียงเคล็ดกระบี่นี้เท่านั้น
อีกด้านหนึ่ง
เพราะเคล็ดกระบี่แสงทองเป็นเพียงวิชากระบี่ระดับเริ่มต้น ต่อให้สอนมั่วเยี่ยงไรก็มิมีผลกระทบต่อการบำเพ็ญเพียรในภายภาคหน้าของหลี่ฉางหมิงเป็นแน่
ยอดเยี่ยม !
คิดถึงตรงนี้ ใบหน้าหล่อเหลาของเย่ฉางชิงก็ปรากฏรอยยิ้มอ่อนโยนขึ้นมา
ทว่าเวลานี้สีหน้าของหลี่ฉางหมิงกลับเปลี่ยนไป ท่าทางของเขาเต็มไปด้วยความปิติยินดี
‘การค้นหารากฐาน ! ’
‘กลับสู่ธรรมชาติ ! ’
‘สองประโยคนี้มิเหมือนกับประโยคที่ว่า หลักเต๋าอันยิ่งใหญ่คือความเรียบง่าย ที่เขียนเอาไว้ในตำราโบราณมากมาย ทว่ากลับมีความหมายที่มิต่างกัน’
‘มิน่าเชื่อ ! ’
‘นี่ก็คือความคิดอันลึกซึ้งของท่านบรรพจารย์เย่นี่เอง ! ’
หลังจากลังเลเล็กน้อยหลี่ฉางหมิงก็เงยหน้าขึ้นเอ่ยกับเย่ฉางชิง “ศิษย์น้อมรับคำสั่งขอรับ”
เอ่ยจบ หลี่ฉางหมิงก็ก้าวถอยหลังไปหลายก้าว
ในวินาทีที่เขาหยุดฝีเท้าลงนั้น แสงสีทองอันดุดันอย่างหาที่เปรียบมิได้สายหนึ่งจู่ ๆ ก็พุ่งออกมาตรงหน้าของเขา
วินาทีต่อมาหลี่ฉางหมิงก็ได้เพ่งสมาธิ ลำแสงสีทองนี้ตวัดอยู่กลางอากาศ ก่อนจะตกลงสู่มือของเขาภายในพริบตา และแปลงเป็นกระบี่โบราณสีทองเล่มหนึ่ง
ขณะเดียวกันแววตาของหลี่ฉางหมิงก็แปรเปลี่ยนเป็นเฉียบคมขึ้นในทันที
เห็นเพียงผมของเขาที่ยาวสยาย อาภรณ์พลิ้วไหว ใต้ฝ่าเท้าเกิดระลอกคลื่นเป็นชั้น ๆ ราวกับเซียนกระบี่ยื่นตระหง่านอยู่
หลังจากนั้นหลี่ฉางหมิงก็เงยหน้าขึ้นสบตากับเย่ฉางชิง ก่อนที่ร่างของเขาจะขยับและเริ่มแสดงเคล็ดกระบี่แสงทองอันเป็นเคล็ดกระบี่ขั้นเริ่มต้น
ทันใดนั้นพลังปราณโดยรอบก็เกิดการสั่นสะเทือนขึ้น พลังปราณพลุ่งพล่าน ปรากฏเงากระบี่มากมาย ไอกระบี่ส่งเสียงคำราม เกิดเป็นนิมิตที่น่าตกใจยิ่งนัก
เวลานี้เย่ฉางชิงที่ยืนอยู่หน้าตำหนักโบราณแววตาลุกโชน มองดูการแสดงเคล็ดกระบี่แสงทองของหลี่ฉางหมิงอย่างตั้งอกตั้งใจ
เพราะเพิ่งจะสัมผัสเคล็ดกระบี่แสงทองได้มินาน เช่นนั้นสำหรับเย่ฉางชิงแล้ว
มิว่าจะเป็นเคล็ดวิชาของเคล็ดกระบี่แสงทอง หรือว่าท่าทางที่ใช้ สำหรับเขาแล้วยังคงเป็นเพียงทฤษฎีเท่านั้น
บัดนี้การได้เห็นการแสดงเคล็ดกระบี่แสงทองของหลี่ฉางหมิง จึงมิต่างอะไรกับการยืนยันความเข้าใจของตนก่อนหน้านี้
จนเวลาผ่านไปหนึ่งก้านธูป
หลี่ฉางหมิงก็ค่อย ๆ เก็บกระบี่ลง ในที่สุดการแสดงเคล็ดกระบี่แสงทองก็จบลง
“ท่านเย่ ศิษย์ได้แสดงกระบวนท่าของเคล็ดกระบี่แสงทองออกมาจนหมดแล้วขอรับ”
หลี่ฉางหมิงโค้งคำนับให้เย่ฉางชิงอีกครั้ง พร้อมกับเอ่ยออกมาอย่างนอบน้อม “รบกวนท่านเย่ช่วยชี้แนะด้วยขอรับ”
เย่ฉางชิงได้ยินเช่นนั้นก็เริ่มรู้สึกลำบากใจขึ้นมา
ต้องบอกว่าตอนที่หลี่ฉางหมิงแสดงกระบวนท่าทั้งหมดของเคล็ดกระบี่แสงทองนั้น นอกจากบางท่าที่แตกต่างไปบ้างแล้ว ที่เหลือแทบมิต่างกับที่เขาจินตนาการเอาไว้เลย
เช่นนี้แล้วเขาควรชี้แนะเช่นไรดี ?
สอนอย่างไรดี !
หลังจากเงียบอยู่ครู่หนึ่ง เย่ฉางชิงก็ลอบขมวดคิ้วเล็กน้อย จากนั้นก็เอ่ยออกมาอย่างสบาย ๆ
“กระบวนท่าแม้จะนับว่าสอดประสานกัน แต่พลังกระบี่กลับแค่พอไปวัดไปวาได้เท่านั้น นี่จึงแสดงให้เห็นว่าจิตใจของเจ้านั่นยังหนักแน่นมิมากพอ”
เอ่ยถึงตรงนี้เย่ฉางชิงก็วางจิ้งจอกน้อยที่อุ้มอยู่ลงกับพื้น จากนั้นก็เดินเอามือไพล่หลังลงบันไดไป
ก่อนจะหยุดลงตรงหน้าของหลี่ฉางหมิง
เย่ฉางชิงยื่นมือข้างหนึ่งไปหาหลี่ฉางหมิง อีกฝ่ายจึงชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะรีบใช้สองมือประคองกระบี่โบราณสีทองในมือขึ้นมา
“เจ้าต้องจำเอาไว้ว่าผู้บำเพ็ญเพียรวิถีกระบี่ควรมีจิตใจที่กล้าหาญ มีพลังที่มิมีผู้ใดเทียบเคียงได้”
เย่ฉางชิงพูดไปพลางยื่นมือไปจับด้ามกระบี่เอาไว้
ทว่าในวินาทีต่อมามิเพียงเย่ฉางชิงเท่านั้นที่นิ่งอึ้งไป แม้แต่หลี่ฉางหมิงเองก็เช่นกัน
“เปรี้ยง ! ”
ในจังหวะที่เย่ฉางชิงจับกระบี่สีทองนั้นขึ้นมา แสงอันแสบตาก็เปล่งออกมาจากลวดลายสลับซับซ้อนที่สลักอยู่บนตัวกระบี่แทบจะทันที
มินานขณะที่ตัวกระบี่ส่งเสียงคำรามออกมามิหยุด คลื่นกระบี่อันรุนแรงก็เกิดการไหลเวียนขึ้น
วินาทีนี้กระบี่โบราณราวกับมีชีวิตก็มิปาน
‘นี่ ! ’
‘นี่ ! ’
‘นี่ ! ’
ทันใดนั้นแม้ใบหน้าของเย่ฉางชิงจะมิได้แสดงสีหน้าใด ๆ ออกมา แต่ว่าภายในใจกลับรู้สึกสับสนวุ่นวายไปหมด
หากมิใช่เพราะหลี่ฉางหมิงอยู่ตรงนี้ด้วย และเพราะฐานะของตัวเองในตอนนี้ เกรงว่าเขาคงโยนกระบี่เล่มนี้ทิ้งไปนานแล้ว
‘กระบี่เล่มนี้ช่างน่ากลัวจริง ๆ ! ’
‘แต่ว่า… กระบี่เล่มนี้มันอะไรกันแน่?’
‘เหตุใดจู่ ๆ ราวกับมีชีวิตก็มิปาน ? ‘
ทว่าเวลานี้หลังจากที่หลี่ฉางหมิงได้เห็นภาพตรงหน้าด้วยตาของตัวเอง ร่างทั้งร่างก็แข็งค้างราวกับหิน ท่าทางของเขาเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ
กระบี่โบราณเล่มนี้มีระดับเช่นไร เขาย่อมรู้ดีอยู่แก่ใจ
แต่บัดนี้ท่านบรรพจารย์เย่เพียงแค่จับเอาไว้เบา ๆ กระบี่เล่มนี้ก็ราวกับเป็นอาวุธวิญญาณที่ถูกปลุกขึ้นมาก็มิปาน
‘หรือว่าในวินาทีที่ท่านบรรพจารย์เย่จับลงไปนั้นได้ใช้อิทธิฤทธิ์วิเศษบางอย่าง ทำให้กระบี่เล่มนี้กลายเป็นอาวุธวิญญาณขึ้นมา ? ’
‘ใช่แล้ว ! ’
‘ใช่แล้ว ! ’
‘ใช่แล้ว ! ’
‘ต้องเป็นเพราะท่านบรรพจารย์เย่ใช้อิทธิฤทธิ์บางอย่าง จึงทำให้ระดับของกระบี่เล่มนี้เกิดการพัฒนาขึ้น’
‘น่าเหลือเชื่อ ! ’
‘นี่ช่างน่าเหลือเชื่อจริง ๆ ! ’
‘นี่ก็คือความเก่งกาจของท่านบรรพจารย์เย่ ! ’
ตอนนั้นเองเย่ฉางชิงก็ได้สงบสติอารมณ์ลง จากนั้นจึงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “ข้าจะแสดงกระบวนท่าเคล็ดกระบี่แสงทองให้ดู เจ้าจงตั้งใจดูให้ล่ะ”
หลี่ฉางหมิงได้ยินเช่นนั้นก็ได้สติขึ้นมาทันที ก่อนพยักหน้าให้เย่ฉางชิงแรง ๆ
จากนั้นเย่ฉางชิงก็ส่งสัญญาณให้หลี่ฉางหมิงถอยหลังไป แล้วจึงหลับตาทั้งสองข้างลง ก่อนจะหวนนึกถึงกระบวนท่าที่หลี่ฉางหมิงได้แสดงไปก่อนหน้านี้
จนเวลาผ่านไปชั่วอึดใจ
ดวงตาเรียวยาวของเย่ฉางชิงก็ลืมขึ้น
ทว่าวินาทีนั้นรังสีของเขาที่แผ่ออกมาก็เปลี่ยนแปลงไปราวกับหน้ามือเป็นหลังมือ
หาได้สุภาพอ่อนโยนเช่นก่อนหน้านี้ไม่ ดูหยิ่งทะนงและมิแยแสผู้ใด บวกกับกระบี่โบราณสีทองที่มีลวดลายสลักเอาไว้ ได้เปล่งแสงออกมาเป็นประกายระยิบระยับ และมีคลื่นกระบี่สะท้อนแสงในมือเล่มนั้น
วินาทีนี้หลี่ฉางหมิงมองว่าท่านบรรพจารย์เย่ราวกับเซียนกระบี่ตัวจริงมายืนอยู่ตรงหน้า ก็มิปาน แผ่อำนาจที่ทรงพลังยากจะต้านทานออกมาโดยมิรู้ตัว
ทันใดนั้นขาทั้งสองข้างของเขาก็มีอาการสั่นเทา เหงื่อเย็นเหยียบไหลชุ่ม ท่าทางเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
“เคล็ดกระบี่แสงทอง ท่าที่เจ็ด หิ่งห้อยเพลิง ! ”
เย่ฉางชิงเอ่ยขึ้นอย่างแผ่วเบา
สิ้นเสียงจิตแท้จริงจำนวนมหาศาลราวกับคลื่นในมหาสมุทรก็ซัดสาดไปทั่วทุกทิศทุกทางอย่างรวดเร็วและรุนแรง
ขณะเดียวกันเย่ฉางชิงก็ยกกระบี่ขึ้น
ทันใดนั้นหลังจากประกายกระบี่อันแข็งแกร่งทะยานขึ้นฟ้า พลังกระบี่มหาศาลก็ปะทุขึ้นจากพื้นดินราวกับขุนเขา ก่อนจะพุ่งสู่ท้องนภาแทบจะภายในพริบตา
เกิดเป็นนิมิตอันงดงามตระการตายิ่งนัก
ทันทีที่เห็นภาพอันน่ากลัวตรงหน้า หลี่ฉางหมิงที่ยืนอยู่มิไกลถึงกับตาเบิกโพลง ท่าทางเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก แม้แต่หายใจก็ยังรู้สึกยากลำบาก
หลังเวลาผ่านไปมิกี่อึดใจ
ทั่วทั้งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนก็เกิดความโกลาหลขึ้น