เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน - ตอนที่ 24 ท่านเย่ ข้ามิไปแล้ว !
ตอนที่ 24 ท่านเย่ ข้ามิไปแล้ว !
เย่ฉางชิงสังเกตเห็นแววตาที่ลู่อู๋ซวงมองตนมีร่องรอยของความผิดหวัง ก็อดที่จะลอบขมวดคิ้วขึ้นมามิได้
หรือว่านางจะคิดอะไรกับเขาจริง ๆ ?
หรือว่านางอยากบำเพ็ญเพียรร่วมกับเขา ?
แต่คำเรียกขานว่า ผู้อาวุโสเย่ ฟังดูแล้วห่างเหินชอบกล
เย่ฉางชิงคิดดูแล้วก็รู้สึกจนใจ
เวลานี้นักพรตฉางเสวียนและหลิวฉางเหอก็ค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมา ใบหน้าของชายชราทั้งสองเต็มไปด้วยความปลื้มปิติ
ก่อนจะสบสายตากันอีกครั้งเมื่อเห็นลู่อู๋ซวงและเยี่ยนปิงซินกำลังดื่มชาอยู่เช่นกัน
ช่างสมกับที่เป็นผู้อาวุโสเย่จริง ๆ ไม่ว่าจะกับผู้อาวุโสเช่นพวกเขาสองคน หรือแม้แต่ผู้เยาว์คนนั้น ล้วนแต่ให้ความเท่าเทียมกัน
ถึงกับมอบชาที่ต้มจากใบแจ้งรู้ให้ผู้เยาว์สองคนนั้นง่าย ๆ นี่ถือเป็นวาสนาที่ยิ่งใหญ่ในชีวิตของพวกนางโดยแท้
“ทั้งสองท่าน ชาของข้าเป็นเยี่ยงไรบ้างขอรับ ? ” เย่ฉางชิงเอ่ยถามนักพรตฉางเสวียนและหลิวฉางเหอด้วยรอยยิ้มที่ประดับอยู่บนใบหน้า
‘ผู้อาวุโสเย่หมายถึงอะไรกันนะ ? ’
‘หรือว่าต้องการจะทดสอบการบำเพ็ญตบะเยี่ยงนั้นหรือ ? ’
นักพรตฉางเสวียนและหลิวฉางเหอต่างก็ตระหนักถึงความเป็นไปได้ข้อนี้
นักพรตฉางเสวียนเหลือบมองหลิวฉางเหอเล็กน้อย และไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงปรุงแต่งถ้อยคำ ก่อนจะเอ่ยออกมาพร้อมรอยยิ้มว่า “รสชาหวานล้ำ คละคลุ้งไม่จางหาย พอดื่มเข้าไปแล้วรู้สึกสบายราวกับแช่อยู่ในน้ำพุร้อน จิตใจรู้สึกสดชื่นและปลอดโปร่ง ช่างล้ำเลิศยิ่งนัก”
‘ชาเพียงถ้วยเดียว ให้ความรู้สึกมากมายเพียงนี้เชียวหรือ ? ’
‘นี่แค่พูดประจบเฉย ๆ หรือว่าชาของเรารสชาติดีจริง ๆ กันแน่นะ ? ’
‘หากว่าชาของเรารสชาติดีจริง ๆ ต่อไปจะเปิดร้านน้ำชาเล็ก ๆ ด้วยดีหรือไม่นะ ? ’
‘ถือเป็นโอกาสทางการธุรกิจเลยนะนี่ ! ’
เย่ฉางชิงมองดูท่าทางจริงจังของนักพรตฉางเสวียนแล้วก็ทำได้เพียงพยักหน้ายิ้ม ๆ
แต่ในตอนที่เขาหันไปมองทางหลิวฉางเหอนั้น อีกฝ่ายกลับมีสีหน้าที่เปลี่ยนไปดูผิดปกติอย่างชัดเจน
“เรียนท่านเย่ ชานี่เป็นชาที่ดีที่สุดนับตั้งแต่ที่ข้าเคยดื่มมาเลยขอรับ”
หลิวฉางเหอระมัดระวังคำพูดของตนเองอย่างมาก เริ่มต้นด้วยการเอ่ยประจบหนึ่งคำรบ แล้วจึงเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่จริงจังว่า “มิเพียงเท่านั้นชานี้นอกจากทำให้รู้สึกสดชื่น จิตใจปลอดโปร่งแล้ว ยังทำให้รู้สึกราวกับว่าได้ชำระล้างจิตวิญญาณอีกด้วย ช่างน่าอัศจรรย์โดยแท้”
เย่ฉางชิงฟังจบก็อดที่จะจ้องมองหลิวฉางเหอ และเหลือบมองนักพรตฉางเสวียนอีกครั้งมิได้
‘ตาเฒ่าสองคนนี้คงมิได้ล้อข้าเล่นหรอกนะ ? ’
‘ใช่แล้ว ! ’
‘ต้องเป็นเช่นนี้แน่ ๆ ! ’
หลังจากได้ฟังคำวิจารณ์ของทั้งสองคน เย่ฉางชิงก็ได้ตัดสินใจบางอย่าง
‘ในเมื่อตาเฒ่าสองคนนี้กล้าล้อข้าเล่น วันนี้ข้าจะต้องหาทางเอาคืนให้จงได้ ! ’
เย่ฉางชิงไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่งก็ผุดแผนการบางอย่างขึ้นภายในใจ
แต่ในตอนนั้นเองหลิวฉางเหอก็ได้หยิบกล่องผ้าไหมรูปทรงโบราณกล่องหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ และยื่นไปด้านหน้าเย่ฉางชิง
“ท่านหลิว นี่มันอะไรกันขอรับ ? ”
เย่ฉางชิงที่กำลังจะเอ่ยปากเชิญตาเฒ่าทั้งสองประชันหมากล้อม เพื่อจะได้ข่มอีกฝ่ายเสียหน่อย แต่เมื่อเห็นการกระทำของอีกฝ่ายแล้ว ดูเหมือนจะเป็นการให้ของขวัญเสียมากกว่า
เมื่อเย่ฉางชิงเห็นกล่องผ้าไหมรูปทรงโบราณที่ทำมาอย่างประณีตนั้น ความหงุดหงิดภายในใจก็ลดลงไปเกินครึ่งทันที
‘หรือว่าเมื่อครู่ที่อีกฝ่ายพูดจะความจริงกันนะ ? ’
‘ว่าแต่ของขวัญที่ให้มาคือสิ่งใดกัน ? ’
หลายวันมานี้เยี่ยนปิงซินอยู่ฟรีกินฟรีที่บ้านของเขามาตลอด ภายในใจของเย่ฉางชิงจึงเต็มไปด้วยความประหลาดใจ และหวังว่าคงมิทำให้เขาผิดหวัง
“ภายในกล่องผ้าไหมนี้มีไข่มุกเหมันต์อยู่ 1 เม็ด น้ำใจเล็กน้อยหวังว่าท่านเย่จะรับเอาไว้ และอย่าได้ปฏิเสธเลยนะขอรับ” หลิวฉางเหอเอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้ม
“ไข่มุกเหมันต์ ? ”
เย่ฉางชิงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะค่อย ๆ เปิดกล่องออกดู
ทันใดนั้นก็มีไอความเย็นแผ่ออกมา
ด้านในเป็นไข่มุกขนาดเท่ากำปั้นเด็กสีขาวโพลน มีไอหิมะล่องลอยอยู่รอบ ๆ
นักพรตฉางเสวียนและลู่อู๋ซวงเห็นดังนั้นดวงตาก็หรี่ลงทันที พร้อมสีหน้าประหลาดใจ
ไข่มุกเหมันต์เป็นสมบัติล้ำค่าที่เกิดในดินแดนที่มีอากาศหนาวเย็นมาหลายแสนปี
แม้ไข่มุกเหมันต์จะมีฤทธิ์ที่เย็นจัด แต่กลับเป็นยาวิเศษในการรักษาที่หาได้ยากยิ่ง
โดยเฉพาะผู้บำเพ็ญเพียรที่มีธาตุน้ำแข็ง หากได้ไข่มุกเหมันต์มาก็เท่ากับว่าได้วาสนาครั้งใหญ่เลยทีเดียว
แน่นอนว่าดินแดนศักดิ์สิทธิ์เองก็มีของล้ำค่าเช่นนี้อยู่เช่นกัน
แต่สิ่งที่นักพรตฉางเสวียนและลู่อู๋ซวงคาดมิถึงก็คือ หลิวฉางเหอยอมมอบไข่มุกเหมันต์ที่มีขนาดใหญ่เพียงนี้ให้กับเย่ฉางชิง
ไข่มุกเหมันต์ขนาดเพียงปลายนิ้วก้อยก็มีมูลค่าเกินบรรยายแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงไข่มุกเหมันต์ที่มีขนาดเท่ากับกำปั้นเด็กตรงหน้าเลย ว่าจะมีมูลค่ามากมายเพียงใด
‘ดูท่าแล้วแคว้นต้าเยี่ยนที่มีภูมิหลังห่างชั้นจากดินแดนไท่เสวียน บัดนี้เกรงว่าอาจจะเท่าเทียมหรือเหนือกว่าเสียแล้ว’
นักพรตฉางเสวียนที่เห็นไข่มุกเหมันต์ตรงหน้าอดที่จะครุ่นคิดอยู่ในใจมิได้
เย่ฉางชิงมองนักพรตฉางเสวียนและลู่อู๋ซวงที่มีท่าทีประหลาดใจอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหยิบไข่มุกเหมันต์ออกมาจากกล่อง
ทันทีที่ไข่มุกเหมันต์อยู่ในมือ เย่ฉางชิงก็รู้สึกราวกับมีน้ำแข็งก้อนหนึ่งอยู่บนฝ่ามือมิมีผิด
‘ไข่มุกนี้แผ่ไอความเย็นออกมา ช่วงปลายหน้าร้อนเช่นนี้หากใช้ไข่มุกนี่แช่ผลไม้เย็น ๆ ก็คงจะดีมิน้อย’
เย่ฉางชิงมองไข่มุกเหมันต์ในมือด้วยความยินดี ก่อนจะพยักหน้าอย่างพึงพอใจ
หลังจากทั้งสี่คนเห็นเย่ฉางชิงวางไข่มุกเหมันต์ไว้บนฝ่ามือด้วยท่าทีสบาย ๆ ก็อดที่จะตกตะลึงขึ้นมาอีกครั้งมิได้
เพราะไข่มุกเหมันต์นั้นถือกำเนิดมาจากดินแดนที่หนาวเหน็บ จึงมีคุณสมบัติเย็นอย่างยิ่ง
หากเป็นคนธรรมดาเพียงแค่สัมผัสก็อาจจะแข็งตายภายในพริบตาก็เป็นได้ แม้แต่ผู้ที่บำเพ็ญเพียรตบะแก่กล้าเช่นนักพรตฉางเสวียน ก็ยังมิกล้าที่จะวางไว้บนฝ่ามือเช่นนี้ด้วยซ้ำ
เมื่อใดที่ไอความเย็นที่หนาวเหน็บซึ่งแฝงอยู่ในไข่มุกเหมันต์เข้าสู่ร่างกาย หากผู้บำเพ็ญเพียรผู้นั้นมิมีรากวิญญาณธาตุน้ำแข็งแล้วล่ะก็ ไม่ต่างอะไรกับการเจอหายนะเลยทีเดียว !
แม้แต่ผู้ที่แข็งแกร่งจากแดนเทวาก็ยังไม่อาจที่จะดูแคลนสิ่งนี้ได้
ชั่วขณะหนึ่งสายตาของทุกคนที่จ้องมองเย่ฉางชิงจึงเต็มไปด้วยความอิจฉา
ผู้อาวุโสเย่เป็นผู้บำเพ็ญตนชั้นสูงจริง ๆ เป็นยอดคนที่มีตบะแก่กล้า
หลิวฉางเหอเห็นท่าทางสนใจของเย่ฉางชิงที่มีต่อไข่มุกเหมันต์เช่นนั้น จึงเหลือบมองไปยังเยี่ยนปิงซินพลางเอ่ยพร้อมรอยยิ้มว่า “ผู้อาวุโสเย่ หลายวันมานี้คุณหนูของข้าได้มารบกวนท่านมิน้อย วันนี้ข้าจึงตัดสินใจมาพานางกลับไป…”
“จะไปแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
หลิวฉางเหอพูดยังมิทันจบ เย่ฉางชิงก็เงยหน้าขึ้นมองหลิวฉางเหอ
แม้เขาจะอยากไล่เยี่ยนปิงซินไปตั้งนานแล้ว และบัดนี้คนในครอบครัวของนางก็ได้มารับแล้ว อีกทั้งยังมอบไข่มุกให้เขาอีกด้วย อย่างน้อยเขาก็ควรจะแสดงท่าทีอาลัยอาวรณ์พอเป็นพิธีสักเล็กน้อย
“เฮ้อ…”
เย่ฉางชิงถอนหายใจออกมาเบา ๆ ก่อนจะเอ่ยกับเยี่ยนปิงซินราวกับกำลังเสียใจว่า “คุณหนูเยี่ยน คิดมิถึงว่าเราจะต้องลาจากกันเสียแล้ว”
ไม่เพียงแต่คนที่ไม่อยากจากไปเช่นเยี่ยนปิงซินที่ตกตะลึง นักพรตฉางเสวียนและอีกสองคนที่เหลือเองก็เกร็งตัวขึ้นมาทันใด
หรือว่าองค์หญิงเก้าผู้นี้จะมีสิ่งที่พิเศษ จนทำให้ผู้อาวุโสเย่รู้สึกชื่นชอบจนมิอยากให้นางจากไปเยี่ยงนั้นหรือ ?
“ท่านเย่ ข้ามิกลับไปแล้วเจ้าค่ะ ! ”
หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่งเยี่ยนปิงซินก็หันไปเอ่ยกับหลิวฉางเหอด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ท่านหลิว เอาเยี่ยงนี้ก็แล้วกัน ท่านกลับไปบอกท่านพ่อกับท่านแม่ข้าว่ามิต้องเป็นกังวล ข้าจะอยู่กับท่านเย่ที่นี่อีกสักพัก แล้วค่อยกลับไป ข้าอยากกลับไปเมื่อใดจะส่งข่าวไปแจ้งอีกครา”
“…….” ได้ยินดังนี้ เย่ฉางชิงก็รู้สึกเสียใจกับคำพูดที่พูดออกไปเมื่อครู่นี้