เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน - ตอนที่ 245 ครั้งนี้ดูจะเล่นใหญ่ไปหน่อยกระมัง
ตอนที่ 245 ครั้งนี้ดูจะเล่นใหญ่ไปหน่อยกระมัง
สิ้นเสียงทุกคนที่อยู่เบื้องล่างเกาะลอยฟ้าก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที ก่อนจะสบตากันอย่างห้ามมิได้
จนเวลาผ่านไปชั่วอึดใจ
ทั่วทั้งลานพิธีพลันเกิดความโกลาหลขึ้น
“คุณธรรมยิ่งใหญ่รองรับทุกสรรพสิ่ง ? ”
“ท่านบรรพจารย์เย่หมายความว่า ให้พวกเราปฎิบัติต่อคนรุ่นหลังด้วยคุณธรรม มิว่าคุณสมบัติจะเป็นเช่นไรก็ควรได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกัน”
“ประโยคนี้ของท่านบรรพจารย์เย่เป็นการชี้แนะเพื่อความรุ่งเรืองในระยะยาวของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนของเราโดยแท้”
“คิดมิถึงว่าท่านบรรพจารย์เย่มิเพียงมีฝีมือที่ไร้เทียมทาน ทว่าคุณธรรมยังสูงส่งถึงเพียงนี้ สูงส่งจนคนอย่างพวกเรามิอาจเทียบได้”
“ใช่แล้ว ก่อนหน้าข้ายังสงสัยว่าเหตุใดตอนท่านบรรพจารย์เย่อยู่เมืองหลวง จึงถูกผู้คนคิดว่าเป็นเทพที่ลงมาท่องยังโลกมนุษย์ วันนี้ดูแล้วเป็นข้าเองที่มีสายตาตื้นเขินนัก ! ”
“มิน่าเล่าตอนที่ท่านบรรพจารย์เย่พักผ่อนอยู่ที่เมืองเสี่ยวฉือ มิว่าจะเป็นคนธรรมดาหรือว่าพวกเราก็ล้วนได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียม นี่คือความสูงส่งของท่านบรรพจารย์เย่โดยแท้ ! ”
“……”
ในระหว่างที่เหล่าผู้อาวุโสกำลังวิพากษ์วิจารณ์กันอยู่นั้น
มิไกลนักทั้งศิษย์สายหลักหรือศิษย์สายตรง แม้แต่ศิษย์นอกสำนัก
พวกเขาหาได้โค้งคำนับอย่างเดิมไม่ ทว่าต่างพากันคุกเข่าลงคำนับกับพื้น
เมื่อทอดมองออกไป ศิษย์นับหมื่นของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนที่หมอบลงกับพื้นจึงดูราวกับคลื่นมหาสมุทรที่ค่อย ๆ กระเพื่อมขึ้นลงเป็นจังหวะก็มิปาน
“ผู้น้อยจะปฏิบัติตามคำสอนของท่านบรรพจารย์เย่ขอรับ ! ”
ขณะเดียวกัน เหล่าผู้อาวุโสของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนต่างก็ทยอยลุกขึ้นยืน หันหน้าไปทางเกาะลอยฟ้าพร้อมกับก้มลงกราบในทันใด
“ผู้น้อยจะปฏิบัติตามคำสอนของท่านบรรพจารย์เย่ขอรับ ! ”
ทันใดนั้นเสียงก็ดังกึกก้องไปทั่วทั้งเขาไท่เสวียน
ทว่าในตอนนั้นเองเย่ฉางชิงที่ยืนตระหง่านอยู่ด้านข้างของเกาะลอยฟ้า กลับขมวดคิ้วขึ้นด้วยความงุนงง
‘เพียงแค่ประโยคนี้ของเรา สามารถทำให้เกิดภาพที่อลังการได้ขนาดนี้เชียวหรือ’
‘ยิ่งไปกว่านั้นผู้คนที่อยู่เบื้องล่างล้วนแต่เป็นผู้บำเพ็ญเพียรทั้งสิ้น’
‘เวลานี้ควรที่จะบังเกิดนิมิต เพื่อทำให้บรรพจารย์อย่างเราโดดเด่นขึ้นมิใช่หรือเยี่ยงไร?’
‘น่าแปลก ! ’
‘หรือว่าประตูที่ปล่อยนิมิตออกมา มีการปรับให้สูงขึ้นโดยมิบอกมิกล่าว ? ’
‘ใช่แล้ว คงเป็นเพราะข้าพูดหลักการน้อยเกินไป ? ’
เย่ฉางชิงคิดได้เช่นนั้นแล้วก็มองไปยังกลุ่มคนที่อยู่เบื้องล่าง ก่อนจะเอ่ยขึ้นอีกครั้ง
“ฟ้ามั่นคงแข็งแกร่ง สุภาพชนทำตามวิถีฟ้า อุตสาหะมิย่อท้อ ดินราบรื่นคล้อยตามฟ้า คุณธรรมมากล้นจึงรองรับสรรพสิ่งได้”
แล้วก็เป็นดังเช่นที่เย่ฉางชิงคาดการณ์เอาไว้จริง ๆ คงเป็นเพราะประตูที่ปล่อยนิมิตมีการปรับระดับให้สูงขึ้น
ในวินาทีที่เขาเอ่ยจบนั้น นิมิตก็พลันปรากฏขึ้น
“เปรี้ยง ! ”
“เปรี้ยง ! ”
ทันใดนั้นท้องฟ้าทั่วทั้งเขาไท่เสวียนก็เกิดการสั่นสะเทือนขึ้น เกิดเสียงดังกึกก้องไปทั่ว
มินานลำแสงหลากสีสันได้ทะลุผ่านท้องนภา และส่องลงบนร่างของเย่ฉางชิง
ตอนนั้นเองลำแสงอันงดงามที่ส่องลงมา ก็ทำให้เย่ฉางชิงดูราวกับสุดยอดเทพสวรรค์ จนทุกคนต้องคุกเข่ากราบไหว้ด้วยความศรัทธา
ผ่านไปมิกี่อึดใจ
ทั่วทั้งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนก็เกิดการสั่นสะเทือนขึ้น
มิว่าจะเป็นเทือกเขาที่ทอดยาว หรือว่ายอดเขาอันสูงตระหง่าน ต่างก็เปล่งแสงอันเจิดจ้าออกมาทันที ทั้งยังมีหมอกอันงดงามหลายสายส่องออกมาอีกด้วย
ทันใดนั้นทั่วทั้งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนก็มีสิ่งมงคลปรากฏขึ้นมากมาย ราวกับเป็นแดนเซียนบนโลกมนุษย์ก็มิปาน
ตอนนั้นเองเย่ฉางชิงที่นิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก็ได้เอ่ยขึ้นอีกว่า
“มังกรหมอบ อดทนเฝ้ารอโอกาส”
“เมื่อพบโอกาส ก็จงรักษาเอาไว้”
“ทุกคนจงไตร่ตรองความผิดพลาด แม้เจ็บปวดแต่วันหน้าจะได้มิพลาดพลั้งอีก”
“เมื่อได้โอกาสแสดงฝีมือก็จงทำอย่างเต็มที่”
“ในที่สุดก็มีเวทีของตัวเอง หากมิแสดงความสามารถออกมาแล้ว ยังจะต้องการสิ่งใดอีก”
“อย่าได้โอ้อวดถือดี เพราะมันมิจีรัง”
เย่ฉางชิงได้นำหลักการของวิชาอี้จิง1 มาเอ่ยทีละคำทีละประโยค
เพราะตอนอยู่โลกนั้น วิชาอี้จิงถือว่ามีความลึกซึ้งกว้างไกล และมีประวัติศาสตร์อันยาวนาน
ฉักลักษณ์2 ทั้งหมดเผยให้เห็นถึงพลังดั้งเดิมของสรรพสิ่ง รวมทั้งกฎการเปลี่ยนแปลง
ในโลกเซียนเช่นนี้สิ่งที่ผู้บำเพ็ญเพียรทุกคนปรารถนา ก็คือการค้นหาและสำรวจมิใช่หรือ ?
เช่นนั้นในโอกาสเช่นนี้ การท่องหลักการของตำราอี้จิงออกมา จึงเหมาะสมที่สุดแล้ว
ทว่าทันทีที่สิ้นเสียงของเย่ฉางชิง
นิมิตก็แปรเปลี่ยน !
มิเพียงเท่านั้นตัวเย่ฉางชิงเองก็รู้สึกได้ว่าครั้งนี้ เขาเหมือนจะเล่นใหญ่ไปหน่อย
“เปรี้ยงงงงงง ! ”
ทันใดนั้นก็เกิดเสียงดังกึกก้องลอยลงมาจากท้องฟ้า ราวกับกลองรบสมัยโบราณที่ดังมาจากอีกฟากหนึ่งของแม่น้ำแห่งกาลเวลา
ทำให้คนอดมิได้ที่จะรู้สึกจิตใจสั่นไหว จิตวิญญาณสั่นสะท้าน
ขณะเดียวกันเมฆบนท้องฟ้าก็ลอยต่ำลง พร้อมกันนั้นยังแผ่หมอกสีเทาจำนวนมหาศาลออกมาด้วย
“เปรี้ยง ! ”
ผ่านไปชั่วอึดใจ
สายฟ้าอสนีบาตทำลายล้างสีขาวสายหนึ่ง จู่ ๆ ก็ทะลุหมอกสีเทาจำนวนมหาศาลลงมา
มินานภาพอันน่าสะพรึงกลัวพลันปรากฏ !
ภายในพริบตาที่อัสนีบาตทำลายล้างสีขาวสายนี้ฟาดลงมา ทั่วท้องนภาเกิดรอยแยกขึ้นอย่างรวดเร็ว กลายเป็นภาพที่น่าสะพรึงกลัวอย่างมาก ราวกับวันสิ้นโลกก็มิปาน
วินาทีนี้ราวกับจะมีสิ่งลึกลับบางอย่างคืบคลานเข้ามาก็มิปาน
เมื่อได้เห็นภาพที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้
รวมถึงถึงไอพลังอันน่ากลัวที่แผ่อยู่บนอากาศ
ทำให้ผู้บำเพ็ญเพียรมากมายที่อยู่เบื้องล่าง ต่างก็ตื่นตระหนกขึ้นมาอย่างอดมิได้
“นี่มันเรื่องอะไรกันแน่ ! ”
“น่ากลัว ทั้งหมดนี้ช่างน่ากลัวยิ่งนัก ! ”
“ท้องฟ้าถูกไอพลังที่ปั่นป่วนจำนวนมหาศาลเช่นนี้ปกคลุมไว้ กลางอากาศเกิดรอยแยกขึ้น ราวกับฟ้าจะถล่มลงมาอย่างไรอย่างนั้น ! ”
“หรือว่าประโยคใดประโยคหนึ่งของผู้อาวุโสเย่ไปกระทบกับกฎข้อห้ามเอาไว้ ทำให้เกิดทัณฑ์สวรรค์ขึ้น”
“อาจจะ… เป็นไปได้”
“คำพูดนี้ของผู้อาวุโสเย่แฝงหลักของเต๋าอันลึกซึ้งเอาไว้มากมาย มิแน่อาจทำให้เกิดทัณฑ์สวรรค์จริง ๆ ก็ได้”
“มิรู้ว่าตบะบารมีของผู้อาวุโสเย่ จะสามารถต้านทานความน่ากลัวที่กำลังจะมาเยือนนี้ได้หรือไม่”
“มาถึงตอนนี้ข้าเพิ่งจะรู้ตัวว่าแท้จริงแล้วตนเองนั้นต้อยต่ำเพียงใด ! ”
ขณะเดียวกันระหว่างที่เหล่าผู้บำเพ็ญเพียรของสำนักต่าง ๆ กำลังทอดถอนใจออกมานั้น
เย่ฉางชิงก็เหมือนจะสัมผัสได้ถึงวิกฤตครั้งใหญ่เช่นกัน
แม้เขาจะรู้ว่านี่เป็นนิมิตที่ตนเป็นผู้ทำให้เกิดขึ้น ทว่านิมิตนี้ดูเหมือนจะเกินจริงไปหน่อยกระมัง
ในโลกนั้น
เขาเคยได้ยินตำนานมามากมาย อย่างเช่นเรื่องราวของเทพเจ้าโบราณที่สร้างโลก
อีกทั้งนิมิตที่ปรากฏขึ้นด้านบนในเวลานี้ ราวกับฟ้าจะถล่มก็มิปาน
แค่คิดดูก็รู้ว่าทั้งหมดนี้สร้างความกดดันขึ้นภายในใจของเย่ฉางชิงมากเพียงใด
ในตอนนั้นเอง จู่ ๆ ท้องฟ้าก็เกิดสั่นสะเทือนขึ้นอย่างรุนแรง
ในวินาทีที่ท้องฟ้าเกิดรอยแยกมากมายขึ้น
อสนีบาตพิฆาตสีขาวหลายสายก็ได้ฟาดลงมาแทบจะพร้อมกัน
วินาทีนี้ทั่วท้องนภาได้แปรเปลี่ยนเป็นมหาสมุทรแห่งอสนีบาต ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นช่างน่าสะพรึงกลัวอย่างถึงที่สุด
ภาพทั้งหมดปรากฎขึ้นอย่างต่อเนื่องอยู่มิกี่อึดใจ
ไอพลังอันปั่นป่วนที่ปกคลุมท้องฟ้าเอาไว้กลับทวีความรุนแรงขึ้น ทำให้แสงที่เปล่งออกมาจากอสนีบาตพิฆาตมากมายจางลง ราวกับดวงไฟที่กำลังสั่นไหว
“โฮก ! ”
ชั่วพริบตาจู่ ๆ เสียงคำรามของมังกรอันน่าตกใจก็ดังก้องไปทั่วท้องฟ้า
มินานมังกรสายฟ้าที่ยิ่งใหญ่ดุจภูผาตัวหนึ่งก็โผล่หัวออกมาจากไอพลังที่ปั่นป่วนนั้น
ดวงตาที่น่าสะพรึงกลัว แสงอสนีบาตอันรุนแรง ช่างทำให้อกสั่นขวัญแขวนยิ่งนัก
ถูกต้อง มังกรสายฟ้าตัวนี้เกิดจากการหลอมรวมของอสนีบาตพิฆาตมากมาย !
อีกทั้งสิ่งที่น่าเหลือเชื่อที่สุดก็คือ
เมื่อมังกรสายฟ้าตัวนี้อ้าปากกว้างขึ้น พลันกลับปล่อยลูกไฟขนาดยักษ์ ที่แผ่ไอพลังทำลายล้างสูงลูกหนึ่งออกมาทันที
เมื่อเห็นภาพประหลาดตรงหน้า
เย่ฉางชิงถึงกับต้องกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ก่อนจะบ่นภายในใจว่า ‘คงมิใช่เพราะท่องฉักลักษณ์ แล้วไปกระทบข้อห้ามเข้าจริง ๆ หรอกนะ ? ’
“เอ๊ะ ? ”
ตอนนั้นเองจู่ ๆ เย่ฉางชิงก็สัมผัสถึงบางสิ่งได้อย่างชัดเจน เจดีย์หวงเซวียนหลิงหลงที่ลอยอยู่ภายในแหวนเก็บสมบัติ เหมือนกับมีจิตสำนึกของตัวเองขึ้น
อีกทั้งตัวเจดีย์ยังเกิดการสั่นสะเทือน แผ่ไอพลังหวงเซวียนออกมาบางเบา
เย่ฉางชิงนิ่งอึ้งไปเล็กน้อย
เกือบจะลืมไปแล้ว !
ตอนที่ได้รับเจดีย์หวงเซวียนหลิงหลงขณะอยู่เมืองหลวง ตามคำแนะนำได้บอกเอาไว้ว่าคุณสมบัติที่แข็งแกร่งที่สุดของเจดีย์หวงเซวียนหลิงหลงก็คือการป้องกัน
บัดนี้เมื่อนิมิตที่ปรากฏบนฟ้าแปลกประหลาดเพียงนี้ หากเกิดอะไรขึ้นมาจริง ๆ ต้องแย่แน่
เยี่ยงไรเสียตอนนี้เขาก็ยังเป็นเพียงผู้บำเพ็ญเพียรที่ไร้ฝีมืออยู่เท่านั้น
เมื่อเย่ฉางชิงคิดได้เช่นนั้นก็เพ่งสมาธิ เพียงพริบตาเจดีย์หวงเซวียนหลิงหลงก็พุ่งออกมาจากแหวนเก็บสมบัติ
1 คัมภีร์อี้จิง หมายถึง เป็นปรัชญาว่าด้วย หลักวัฏจักรแห่งธรรมชาติ และเป็นที่มาของวิชาฮวงจุ้ย
2 ฉักลักษณ์ หมายถึง เครื่องหมายที่มีหกเส้นในคัมภีร์พยากรณ์อี้จิง ใช้ในการสื่อความหมายของสิ่งที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลง โดยมีทั้งหมด 64 รูปแบบ แต่ละรูปแบบจะสื่อความหมายแตกต่างกันออกไป