เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน - ตอนที่ 247 ปีศาจจิ้งจอกที่ถูกซึมซับ
ตอนที่ 247 ปีศาจจิ้งจอกที่ถูกซึมซับ
ทันใดนั้นเมื่อปทุมสูติค่อย ๆ ลอยขึ้น ข้างกายของเขาก็ปรากฏเจดีย์หวงเซวียนหลิงหลงที่มีไอพลังหวงเซวียนสองสายพันรอบตัวเจดีย์ และสัญลักษณ์โบราณลอยวนอยู่
รวมกับลักษณะท่าทางของเย่ฉางชิงที่พิเศษเหนือคนธรรมดาด้วยแล้ว
เวลานี้ต่อให้เย่ฉางชิงบอกกับทุกคน
ว่าความจริงแล้วเขาหาใช่ท่านบรรพจารย์เย่อะไรนั่นไม่ เป็นแค่ผู้เริ่มบำเพ็ญเพียรผู้หนึ่งเท่านั้น เกรงว่าก็คงมิมีผู้ใดเชื่ออย่างแน่นอน
ขณะเดียวกันแม้สีหน้าของเย่ฉางชิงจะเรียบนิ่ง แต่ว่าภายในใจกลับตื่นเต้นยินดีอย่างมิมีสิ่งใดเปรียบได้
บัดนี้แม้มิอาจยืนยันได้ว่าดอกบัวใต้ฝ่าเท้านี้ คือปทุมสูติในตำนานหรือไม่ แต่อย่างน้อยก็รับประกันได้ว่าต่อไปมิว่าเขาจะไปที่ใด ก็มิต้องลำบากเดินเท้าอีกแล้ว
อีกทั้งดอกบัวดอกนี้ยังมีรูปทรงเป็นเอกลักษณ์ มีเมฆและหมอกแสงลอยวนรอบ ๆ เกรงว่าต่อให้สมบัติศักดิ์สิทธิ์ของสำนักบำเพ็ญเพียรบางสำนักก็ยังมิอาจเทียบเคียงได้
เช่นนั้นวันหน้าหากเขาเหยียบดอกบัวออกไปข้างนอก บวกกับลักษณะท่าทางของเขาที่มีมาแต่กำเนิดแล้วล่ะก็ มิว่าจะเดินทางไปที่ใดจะต้องดึงดูดสายตาจนคนอิจฉาอย่างแน่นอน
นี่มันอาวุธเทพสำหรับอวดอ้างบารมีชัด ๆ !
แน่นอนต้องบอกว่านับตั้งแต่เย่ฉางชิงมายังโลกเซียนแห่งนี้ เขาก็ติดแหงกอยู่ที่เมืองเสี่ยวฉือมาโดยตลอด
จนถึงวันนี้ก็เป็นเวลากว่าห้าปีแล้ว
ห้าปีมานี้แม้นิสัยของเขาจะเปลี่ยนแปลงไปมิน้อย
แต่เยี่ยงไรเสียเขาก็ยังเป็นคนหนุ่มคนหนึ่ง
ก่อนหน้านี้เป็นเพราะมิมีของวิเศษที่พอจะอวดอ้างกับเขาได้ ทว่าตอนนี้มีแล้วแต่หากมิเอามาใช้ เช่นนั้นแล้วจะต่างอะไรกับไอ้ขี้แพ้กันเล่า?
อีกทั้งการเดินทางไปเมืองหลวงก่อนหน้านี้ ถูกผู้คนเข้าใจผิดคิดว่าเป็นท่านเทพฉางชิงที่ลงมาท่องบนโลกมนุษย์ มาบัดนี้ก็ถูกปฏิบัติราวกับท่านบรรพจารย์
แม้ว่าระหว่างนั้นจะมีอันตรายซ่อนอยู่มากมาย ทำให้เขาต้องคอยรับมือด้วยความระวัง แต่ความรู้สึกที่ถูกผู้คนสนใจและชื่นชมนั้น อดที่จะติดใจมิได้เลยจริง ๆ
แต่ว่าเย่ฉางชิงก็เข้าใจเหตุผลข้อหนึ่งเป็นอย่างดี
นั่นก็คือ
ก่อนที่จะมีตบะบารมีสูงส่งระดับหนึ่ง ทั้งหมดที่เขามีตอนนี้เป็นเพียงแค่หมอกควันอันบางเบาเท่านั้น และสามารถมลายหายไปได้ตลอดเวลา
คิดเช่นนั้นแล้ว เย่ฉางชิงก็ได้เหลือบมองกลุ่มคนที่ก้มหมอบอยูเบื้องล่าง พร้อมเอ่ยเบา ๆ ว่า
“ทุกท่าน ในเมื่อพิธีแต่งตั้งจบลงแล้ว คงได้เวลาที่ข้าจะต้องกลับไปแล้ว”
“อีกอย่าง… ภายภาคหน้าหากดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนมิได้ตกอยู่ในอันตรายล่ะก็ ทุกท่านอย่าได้มารบกวนความสงบของข้าอีก”
ที่เย่ฉางชิงเอ่ยขึ้นเช่นนั้น
เป็นเพราะเขาตัดสินใจแล้ว
ครั้งนี้หลังกลับถึงเมืองเสี่ยวฉือ เขาจะทุ่มเทเวลาทั้งหมดไปกับการบำเพ็ญเพียร พยายามอย่างเต็มที่เพื่อเพิ่มระดับตบะบารมีของตน
อีกทั้งหัวหน้าของสำนักบำเพ็ญเพียรทั่วทั้งจงหยวนต่างก็อยู่ในที่นี้ด้วย ซึ่งทุกคนต่างคิดว่าเขานั้นคือท่านบรรพจารย์เย่ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนไปแล้ว
เช่นนี้ก็ถือโอกาสนี้ประกาศให้ทุกคนได้รู้ไปเลย วันหน้าเมื่อเขาบำเพ็ญเพียรจะได้มิต้องมีใครวิ่งมาขออักษรพู่กันหรือภาพวาดอีก
สิ้นเสียงผู้คนที่หมอบอยู่เบื้องล่างก็สื่อสารกันทางสายตาเล็กน้อย จากนั้นก็ค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมองเย่ฉางชิงที่อยู่ด้านบน
ทว่าวินาทีที่พวกเขาเห็นปทุมสูติลอยอยู่ใต้ฝ่าเท้าของเย่ฉางชิง
ทันใดนั้นทุกคนต่างก็มีสีหน้าเปลี่ยนไป ท่าทางเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกในทันที
ก่อนหน้านี้ท้องฟ้าปรากฏนิมิต
โดยเฉพาะหลังจากอสนีบาตมากมายแปลงกายเป็นมังกรสายฟ้าตัวนั้น
ทันใดนั้นก็มีพลังอันน่าสะพรึงกลัวกดดันลงมาราวกับภูผานับมิถ้วน ทำให้จิตวิญญาณของพวกเขาต่างก็สั่นไหว ร่างกายพลางสั่นเทา
เช่นนั้นพวกเขาจึงทำได้เพียงใช้พลังวิญญาณที่มี พร้อมปล่อยเคล็ดวิชา เพื่อใช้พลังทั้งหมดในการต้านทาน
เช่นนี้แล้วย่อมมิได้สังเกตถึงตอนที่ปทุมสูติปรากฏขึ้น
ตอนนั้นเองหลังจากเสียงของเย่ฉางชิง จึงทำให้พวกเขาได้สติขึ้นมาอีกครั้ง
เมื่อได้เห็นดอกบัวอันน่าอัศจรรย์ใต้ฝ่าเท้าของเย่ฉางชิง และสัมผัสได้ถึงไอพลังเต๋าที่แผ่ออกมาจากภายในของดอกบัว
พวกเขาจึงมั่นใจว่าดอกบัวที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าของเย่ฉางชิง ก็คือดอกบัวแห่งลัทธิเต๋าในตำนานโบราณ
เช่นนี้ดูก็รู้แล้วว่าพวกเขาในตอนนี้รู้สึกตื่นตระหนกมากเพียงใด
“ไอพลังเต๋าแผ่ออกมาจากภายใน หรือว่านี่คือดอกบัวแห่งลัทธิเต๋าในตำนานโบราณ ? ”
“ไอพลังเต๋าต่าง ๆ แผ่ออกมา มีไอพลังอันปั่นป่วนลอยวนรอบ ๆ กลีบดอกบัวปรากฏรอยประทับโบราณที่ซับซ้อน ทั้งหมดนี้ต่างตรงกับดอกบัวแห่งลัทธิเต๋าในตำนานโบราณทั้งสิ้น”
“มิผิดแน่ ดอกบัวใต้ฝ่าเท้าของผู้อาวุโสเย่ก็คือดอกบัวแห่งลัทธิเต๋าในตำนานโบราณ ! ”
“แต่ว่าผู้อาวุโสเย่มีตบะบารมีระดับใดกันแน่ จึงสามารถควบคุมดอกบัวเช่นนี้ได้ ? ”
“น่าเหลือเชื่อ คาดมิถึงจริง ๆ ! ”
“ดูท่าก่อนหน้านี้พวกเราจะประเมินผู้อาวุโสเย่ต่ำเกินไปจริง ๆ ต่อให้อยู่บนสวรรค์ เขาก็คงเป็นผู้ที่ไร้เทียมทานเป็นแน่ ! ”
“มิน่าเล่า นับแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน แทบจะมิมีผู้ใดสามารถเดินทางไปมาระหว่างทั้งสองโลกได้ บัดนี้ดูแล้วเกรงว่าคงมีเพียงผู้อาวุโสเย่ที่สามารถทำได้กระมัง”
“จริงสิ ผู้อาวุโสเย่บอกว่าเขาจะไปแล้วนี่นา อีกทั้งนับจากนี้ต่อไปพวกเราอย่าได้ไปรบกวนความสงบของเขาด้วย”
ผู้คนที่หมอบอยู่ด้านล่างกระซิบกระซาบกันอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะรับคำโดยพร้อมเพรียง
“ผู้น้อยน้อมส่งผู้อาวุโสเย่ ! ”
“ผู้น้อยน้อมส่งท่านบรรพจารย์เย่ ! ”
ทันใดนั้นเสียงอันกึกก้องราวกับฟ้าคำรามก็ดังไปทั่วทั้งเขาไท่เสวียน
เย่ฉางชิงได้ยินเช่นนั้นก็พยักหน้ารับ จากนั้นก็เพ่งสมาธิควบคุมปทุมสูติเหาะไปทางยอดเขาฉางหมิงทันที
ก่อนหน้านี้เพราะต้องเข้าร่วมพิธีแต่งตั้ง เขาจึงทิ้งจิ้งจอกน้อยเอาไว้ที่ยอดเขาฉางหมิง
ตอนนี้ในเมื่อจะกลับแล้ว จึงต้องไปรับจิ้งจอกน้อยกลับไปด้วย
ผ่านไปมิถึงครึ่งก้านธูป
เย่ฉางชิงก็ลอยมาถึงท้องฟ้าเหนือยอดเขาฉางหมิง
ตอนนั้นเองถูสือซานที่รออยู่ที่ยอดเขาฉางหมิง เมื่อเห็นเย่ฉางชิงลอยมาพร้อมปทุมสูติ ที่ดูราวกับเทพสวรรค์มาเยือน
นางจึงแปลงเป็นลำแสงสีขาว พุ่งขึ้นไปหาเย่ฉางชิงในทันที
เมื่อได้เห็นภาพประหลาดตรงหน้า
เย่ฉางชิงก็ดวงตาเบิกโพลง สีหน้าเปลี่ยนไปในทันที
ทว่าในระหว่างที่เขากำลังสงสัยในลำแสงสีขาวสายนี้อยู่นั้น จู่ ๆ จิ้งจอกน้อยสีขาวโพลนตัวหนึ่งก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าของเขาพอดี
แต่สิ่งที่น่าเหลือเชื่อที่สุดก็คือ
จิ้งจอกน้อยตัวนี้สามารถลอยอยู่กลางอากาศได้
หมายความว่าจิ้งจอกน้อยสามารถเหาะเหินเดินอากาศได้งั้นหรือ
ทันใดนั้นสีหน้าของเย่ฉางชิงก็เต็มไปด้วยความตกตะลึง ได้ยินเพียงเสียงวิ๊งดังขึ้นในโสตประสาทเท่านั้น
‘นี่มันอะไรกันอีกเนี่ย ? ’
‘หรือว่าจิ้งจอกน้อยตัวนี้จะเป็นปีศาจจริง ๆ ? ’
‘ทว่าก่อนหน้านี้จิ้งจอกน้อยก็มักจะหมอบอยู่บนหลังของราชันทมิฬเป็นประจำ’
‘หรือว่าราชันทมิฬจะยอมศิโรราบให้แก่นางงั้นหรือ ? ’
‘แต่ว่าผ่านมาตั้งนานแล้ว เหตุใดนางถึงมิได้ลงมือกับข้าเล่า ? ’
‘คงมิใช่เพราะถูกใจข้าเข้าหรอกกระมัง ? ’
เย่ฉางชิงคิดได้เช่นนั้นก็รู้สึกเคร่งเครียดขึ้นมาทันทีอย่างอดมิได้
‘แต่ว่ามิน่าใช่นี่นา ! ’
‘เท่าที่เขาเข้าใจ กายของปีศาจจิ้งจอกมักจะมีไอปีศาจแผ่ออกมา สำหรับเหล่าผู้บำเพ็ญเพียรพวกนั้น ครู่เดียวก็สามารถรู้ตัวตนที่แท้จริงของนางได้แล้ว’
‘แล้วเหตุใดกลับมิมีใครเตือนข้าเล่า ? ’
วินาทีต่อมา เย่ฉางชิงก็ตบที่หน้าผากของตนเองอย่างระอา
จนถึงตอนนี้เหล่าผู้นำของสำนักบำเพ็ญเพียรทั้งหลายล้วนคิดว่าเขาคือยอดฝีมืออะไรนั่นไปแล้ว
ในสายตาของพวกเขาต่อให้ข้างกายของเขามีปีศาจจิ้งจอกอยู่เป็นเพื่อน ก็ถือว่าเป็นเรื่องสมเหตุสมผลแล้วสินะ
เย่ฉางชิงคิดแล้วก็รู้สึกอยากจะร้องไห้ขึ้นมา
‘แล้วต่อไปจะทำเช่นไรดีเล่า ? ’
‘พาจิ้งจอกตัวนี้กลับไปด้วยอีกงั้นหรือ ? ’
หลังจากไตร่ตรองอยู่สักพัก ดวงตาของเย่ฉางชิงพลันเกิดประกายบางอย่างพาดผ่าน เขากลั้นใจจ้องเข้าไปยังดวงตาดำขลับของจิ้งจอกน้อย
เหล่าผู้บำเพ็ญเพียรก่อนหน้านี้ล้วนคิดว่าเขาเป็นผู้อาวุโสเย่ เป็นยอดฝีมืออะไรนั่น
ทว่าที่ผ่านมาปีศาจจิ้งจอกตัวนี้กลับอยู่ข้างกายเขาอย่างเงียบ ๆ มาโดยตลอด
เช่นนั้นหรือว่าปีศาจจิ้งจอกตัวนี้ก็ซึมซับพลังเข้าไปด้วย คิดว่าเขาเป็นผู้แข็งแกร่งที่ไร้เทียมทานอะไรนั่น ?
คิดได้เช่นนั้น
“ก่อนหน้านี้ข้ายังมิเคยถามเลย เจ้าชื่ออะไรงั้นหรือ ? ”
เย่ฉางชิงพยายามข่มใจให้สงบ แล้วเอ่ยถามด้วยเสียงเรียบนิ่ง
สิ้นเสียง ถูสือซานที่อยู่ในร่างจริงของตัวเองก็ผงะไปเล็กน้อย จากนั้นจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “เรียนผู้อาวุโส ผู้น้อยมีนามว่าถูสือซาน เป็นปีศาจเผ่าจิ้งจอกวิญญาณแห่งเทือกเขาแดนใต้เจ้าค่ะ”
‘ผู้อาวุโส ? ’
เมื่อได้ยินคำตอบเช่นนั้น เย่ฉางชิงก็ชะงักไปเล็กน้อย เพียงพริบตาใบหน้าของเขาก็ปรากฏรอยยิ้มที่มีเลศนัยขึ้น
‘ปีศาจจิ้งจอกตัวนี้ซึมซับพลังเข้าไปจริง ๆ ด้วย ! ’
‘เยี่ยม ! ’
‘เยี่ยมมาก ! ’
‘เยี่ยมสุด ๆ ไปเลย ! ’