เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน - ตอนที่ 254 ศิษย์เหอฉางเสวียนขอพบท่านเย่
ตอนที่ 254 ศิษย์เหอฉางเสวียนขอพบท่านเย่
“เรื่องนี้ง่ายมาก ! ”
ต้วนฉางเต๋อยกมือข้างหนึ่งลูบที่หนวดของตนเอง พลางเอ่ยด้วยใบหน้ามั่นอกมั่นใจว่า “บัดนี้ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ต้าหลัวเทศนาแพ้ นั่นก็หมายความว่าเหลือเพียงพวกเราสามดินแดนศักดิ์สิทธิ์ใหญ่เท่านั้น ที่ยังสามารถถ่วงเวลาให้กับพี่ฉางเสวียนได้”
“อีกทั้งเจ้าโล้นเสวียนเต๋อผู้นั้น ยังมีความแตกฉานในพุทธศาสนาที่สูงส่งถึงเพียงนี้ เช่นนั้นหากพวกเราต้องการที่จะถ่วงเวลา ก็อย่าได้หวังว่าจะฉวยโอกาสในระหว่างการเทศน์ได้”
ทุกคนได้ยินเช่นนั้นก็ส่งสายตาสื่อสารกันเล็กน้อย จากนั้นจึงพยักหน้าเห็นด้วย
สวีฉิงเทียนขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย เอ่ยอย่างสงสัยว่า “ในเมื่อมิสามารถถ่วงเวลาในระหว่างที่เทศน์ได้ เช่นนั้นจะต้องทำเช่นไรเล่า ? ”
สิ้นเสียงคนอื่น ๆ ต่างก็หันไปมองต้วนฉางเต๋อจนเป็นตาเดียว
“ทุกท่านอย่าได้ใจร้อนไป ในเมื่อข้าเกริ่นมาขนาดนี้ย่อมต้องมีวิธีอยู่แล้ว”
ต้วนฉางเต๋อโบกมือไปมา ก่อนเอ่ยต่อว่า “หากมิมีสิ่งใดผิดพลาดล่ะก็ ที่ต่อไปที่เจ้าโล้นจะไปก็คือดินแดนศักดิ์สิทธิ์กู่หัว”
เอ่ยถึงตรงนี้ต้วนฉางเต๋อก็เอ่ยถามนักพรตไท่หัว “พี่ไท่หัว เมื่อเจ้าโล้นนั่นมาถึงดินแดนศักดิ์สิทธิ์กู่หัวของท่าน ท่านก็บอกเขาว่าคนเทศน์ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์กู่หัวกำลังเข้าฌานอยู่ อีกหลายวันถึงจะออกฌานมาเทศน์ได้”
ได้ยินเช่นนั้นนักพรตไท่หัวก็มุมปากกระตุกขึ้นมาทันที ก่อนจะเอ่ยช้า ๆ ว่า “ทำเช่นนี้สำนักของข้าต้องเสื่อมเสียชื่อเสียเป็นแน่ ! ”
ขณะเดียวกัน สีหน้าของคนที่เหลือก็ดูมิสู้ดีไปตาม ๆ กัน
เพราะคำพูดของต้วนฉางเต๋อ เท่ากับว่าขณะที่มีคนมาขอท้าดวล พอตัวเองสู้มิได้ก็เลยคิดจะหลบเลี่ยง และมิยอมรับว่าตัวเองนั้นสู้มิได้อีกด้วย
การกระทำเช่นนี้จะต่างอะไรกับพวกมนุษย์ที่หยาบช้ากัน ?
ยิ่งกว่านั้นห้าดินแดนศักดิ์สิทธิ์ใหญ่ ยังเป็นหน้าตาของลัทธิเต๋าในจงหยวน จะมาเล่นแง่เช่นนี้ได้เยี่ยงไรกัน ?
ทันใดนั้นคนที่เหลือต่างก็แสดงความคิดเห็นออกมา
“ทำเช่นนี้ข้ายอมเห็นห้าดินแดนศักดิ์สิทธิ์ใหญ่เทศน์แพ้เสียยังดีกว่า ! ”
“ใช่แล้ว แม้หลวงจีนเสวียนเต๋อผู้นั้นจะมีความแตกฉานในพุทธศาสนาสูงล้ำ แต่ว่าการทำเช่นนี้มิต่างอะไรกับการป่าวประกาศให้ทั่วทั้งใต้หล้ารู้ว่า ลัทธิเต๋าของเราสู้ศาสนาพุทธมิได้ ! ”
“มิได้ ! ลัทธิเต๋าของเราจะทำเช่นนั้นมิได้เด็ดขาด”
“……”
ขณะที่ทุกคนกำลังแสดงความคิดเห็นกันอย่างเดือดดาลนั้น
ทว่าต้วนฉางเต๋อยังคงมีสีหน้าเรียบนิ่ง ก่อนจะแค่นหัวเราะออกมาแล้วเอ่ยต่อ
“ต้องยอมรับว่าวิธีนี้ของข้ามิดีเท่าไรนัก แต่เพื่ออนาคตของลัทธิเต๋า ข้าคิดว่าวิธีนี้ใช่ว่าจะเป็นไปมิได้”
ตอนนั้นเอง
“ข้าว่าที่พี่ต้วนกล่าวมาก็มีเหตุผล”
นักพรตจิ่วจวีที่นั่งอยู่มิไกลนักลูบหนวดของตนเองพลางเอ่ยว่า “ผู้เทศน์ของแต่ละดินแดนศักดิ์สิทธิ์ใหญ่ ย่อมเป็นผู้ที่มีความอาวุโสสูงสุด และเป็นผู้ที่เข้าใจวิถีเต๋าอย่างลึกซึ้งทั้งนั้น อีกทั้งบุคคลเช่นนี้ย่อมเลี่ยงมิได้ที่จะต้องเข้าฌานบำเพ็ญเพียร”
“เช่นนั้นเมื่อแจ้งแก่หลวงจีนเสวียนเต๋อ เรื่องนี้ก็ถือว่ามีเหตุผลอยู่มิน้อย”
สิ้นเสียงนักพรตชิงเย่ก็ได้เอ่ยขึ้นบ้าง “ทุกท่าน ข้าคิดว่าวิธีนี้มิเลวเลย แต่ว่าต้องทำให้หลวงจีนเสวียนเต๋อจับพิรุธมิได้เป็นอันขาด”
ได้ยินเช่นนั้นเจ้าสำนักดินแดนศักดิ์สิทธิ์ใหญ่ทั้งสามก็สบตากันเล็กน้อย แต่กลับมิได้เอ่ยสิ่งใดออกมาอีก
บัดนี้การเทศน์ของลัทธิเต๋าและศาสนาพุทธจะสำเร็จหรือไม่ คงต้องพึ่งผู้อาวุโสเย่ท่านนั้นแล้ว อีกทั้งหลวงจีนเสวียนเต๋อยังมีความแตกฉานในพุทธศาสนาสูงส่งอีกด้วย
เช่นนั้นหากอยากจะถ่วงเวลาไว้แล้วล่ะก็ คงมีเพียงวิธีของต้วนฉางเต๋อวิธีนี้เท่านั้น
ตอนนั้นเองต้วนฉางเต๋อก็ได้เอ่ยขึ้นอีกว่า “ในเมื่อทุกคนคิดเห็นเช่นนี้ ข้ารับปากว่าดินแดนศักดิ์สิทธิ์หยินหยางจะพยายามถ่วงเวลาให้พี่ฉางเสวียนให้ได้มากที่สุดอย่างน้อย 2 เดือน ส่วนดินแดนศักดิ์สิทธิ์กู่หัวและดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิงนั้น คงต้องดูท่าทีของพวกเขาเสียก่อน”
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง
นักพรตไท่หัวก็ค่อย ๆ เอ่ยขึ้นว่า “เอาเช่นนี้ก็แล้วกัน ดินแดนศักดิ์สิทธิ์กู่หัวของข้าจะพยายามถ่วงเวลาให้ได้มากที่สุดอย่างน้อย 1 เดือน”
เมื่อเห็นนักพรตไท่หัวเอ่ยเช่นนี้ เจ้าสำนักจื่อชิง สวีฉิงเทียน ก็เอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งเครียดว่า “ข้าเจ้าสำนักจื่อชิงก็จะพยายามถ่วงเวลาให้ได้มากที่สุดสัก 1 เดือนก็แล้วกัน”
สิ้นเสียงทุกคนต่างก็หันไปมองทางนักพรตฉางเสวียน
“พี่ฉางเสวียน เวลา 4 เดือน ท่านเห็นเป็นเช่นไรบ้าง ? ”
นักพรตไท่หัวเอ่ยถามกับนักพรตฉางเสวียน
นักพรตฉางเสวียนชั่งใจเล็กน้อย ก่อนจะลุกขึ้นเอ่ยว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนั้นหลังจากนี้ 4 เดือน ข้าจะไปเชิญท่านบรรพจารย์เย่ไปเทศน์ประชันกับหลวงจีนเสวียนเต๋อเอง”
จนเวลาผ่านไปประมาณ 1 ชั่วยาม
หลังจากที่เจ้าสำนักของทั้งห้าดินแดนศักดิ์สิทธิ์ใหญ่วางแผนกันอย่างรอบคอบแล้ว จึงได้ทยอยกลับไป
จากนั้นเวลา 4 เดือนก็ผ่านไปเร็วราวกับติดปีก
วันนี้
เย่ฉางชิงที่บำเพ็ญเพียรมาต่อเนื่องเกือบ 2 ชั่วยาม ก็เดินออกมาจากห้องด้วยใบหน้ามิสบอารมณ์
“นี่มันเรื่องอะไรกันแน่ ! ”
เย่ฉางชิงขมวดคิ้วแน่น พร้อมกับเอ่ยด้วยความสงสัย “ข้าบำเพ็ญเพียรมานานขนาดนี้ ใช้หินหุนหยวนไปก็มาก เหตุใดตบะบารมีจึงมิมีความก้าวหน้าขึ้นเล่า ? ”
“เป็นเพราะการบำเพ็ญเพียรเกิดปัญหา หรือว่าคุณภาพของรากวิญญาณจะมิดี จึงทำให้ตบะบารมีมิก้าวหน้าขึ้นเลยแม้แต่น้อย…”
เย่ฉางชิงครุ่นคิดไปพลางค่อย ๆ เดินมาตรงหน้าโต๊ะชา
“ใช่แล้ว… ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน ! ”
หลังจากเย่ฉางชิงดื่มชาอันเย็นชืดไปหนึ่งจอก ดวงตาก็มีประกายบางอย่างพาดผ่าน
ครั้งก่อนตอนที่ไปดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนค่อนข้างเร่งรีบ จึงมิได้คิดถึงเรื่องทดสอบคุณภาพของรากวิญญาณตัวเอง
หากเป็นปัญหาที่รากวิญญาณจริง เช่นนั้นการที่เขาบำเพ็ญเพียรได้ช้าจึงมีความเป็นไปได้สูง
แต่หากรากวิญญาณในกายของเขามีคุณภาพดี เช่นนั้นปัญหาคงเป็นเพราะการบำเพ็ญเพียรอย่างแน่นอน
เช่นนั้นเวลานี้จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องทดสอบคุณภาพของรากวิญญาณให้ได้เสียก่อน
แต่ปัญหาก็คือ !
ก่อนหน้านี้ตอนที่กลับมาจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน เขาได้กำชับทุกคนเอาไว้ว่าอย่าได้มารบกวนความสงบของเขา
แล้วเวลานี้เขาจะหาข้ออ้างอะไรไปที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน เพื่อทดสอบรากวิญญาณของตัวเองกันเล่า ?
เย่ฉางชิงคิดแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจออกมา “เฮ้อ ถ้ารู้ว่าจะเป็นเช่นนี้ ก่อนหน้านี้ก็คงมิพูดตัดรอนไปเช่นนั้นหรอก”
หลังจากใคร่ครวญอยู่พักใหญ่ เย่ฉางชิงก็วางมือทั้งสองข้างลงบนหัวเข่า ก่อนจะยันตัวลุกขึ้นยืน
เนื่องจากหลายเดือนมานี้เขาเอาแต่จมดิ่งอยู่กับการบำเพ็ญเพียร
มาบัดนี้ หินหุนหยวนที่มีก็ถูกใช้จนเกือบจะหมดแล้ว
ซึ่งหมายความว่าต่อจากนี้ไป เขาจำเป็นต้องหยุดการบำเพ็ญเพียรเอาไว้ก่อน
อีกทั้งสิ่งที่ทำให้เขาหงุดหงิดมากที่สุดก็คือ
บำเพ็ญเพียรมานานขนาดนี้ นอกจากหินหุนหยวนที่ใช้มากขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว ตบะบารมีของเขากลับมิก้าวหน้าขึ้นเลยแม้แต่น้อย
สิ่งที่เขาคิดได้ในเวลานี้มีเพียงการใช้อักษรพู่กัน และภาพวาดช่วยระบายความอัดอั้นตันใจเท่านั้น
ขณะเดียวกันสมองของเขาก็บังเอิญนึกขึ้นได้ถึงกลอนโบราณบทหนึ่งในโลกเดิม
ปีนสู่ที่สูง !
ก่อนที่เย่ฉางชิงจะเดินมายังด้านหน้าของโต๊ะยาว พร้อมกางกระดาษแผ่นหนึ่งออกและจรดพู่กันลงไปทันที
ทันใดนั้น พู่กันที่โบกสะบัดอย่างรวดเร็ว ราวกับน้ำในแม่น้ำที่ซัดสาด เปี่ยมไปด้วยพลังอันมหาศาล
จนเวลาผ่านไปมิกี่อึดใจ
เย่ฉางชิงก็เขียนกลอนบทนี้จนเสร็จ
ทว่าขณะที่เขามองอักษรพู่กันภาพนี้อีกครั้งนั้น สีหน้าของเขาก็ต้องเปลี่ยนไปทันที
แม้ว่าหลายเดือนมานี้เขาจะยุ่งอยู่กับการบำเพ็ญเพียร จนทำให้ต้องวางเรื่องการฝึกเขียนอักษรพู่กันและวาดภาพไป
แต่บัดนี้กลับดูเหมือนว่าอักษรพู่กันภาพนี้ ดูยอดเยี่ยมกว่าอักษรพู่กันภาพอื่น ๆ ที่ผ่านมาเสียอีก
‘นี่มันเรื่องอะไรกัน ? ’
‘หรือว่าการที่ข้าบำเพ็ญเพียร ทำได้เพียงแค่เพิ่มความแตกฉานในด้านอักษรพู่กันและภาพวาดเท่านั้นหรอกหรือ ? ’
‘มิจริงน่า ! ’
ขณะที่เย่ฉางชิงกำลังรู้สึกอยากจะร้องไห้อยู่นั้น
ก็มีเสียงอันคุ้นเคยเสียงหนึ่งดังมาจากด้านนอกลาน
“ศิษย์เหอฉางเสวียนขอพบท่านเย่ขอรับ ! ”
เห็นได้ชัดว่าคนที่มาก็คือนักพรตฉางเสวียน ที่ก่อนหน้านี้ได้แต่ยืนอยู่ด้านนอกเมืองเสี่ยวฉือมาหนึ่งวันหนึ่งคืนเต็ม ๆ