เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน - ตอนที่ 259 ข้าก็คือเต๋า เสวียนเต๋อเกิดความเคียดแค้น
ตอนที่ 259 ข้าก็คือเต๋า เสวียนเต๋อเกิดความเคียดแค้น
เห็นได้ชัดว่าเมื่อเย่ฉางชิงเอ่ยคำพูดนี้ออกไป
ในสายตาของทุกคน ผู้อาวุโสเย่เหมือนจะมีความเข้าใจในพระธรรมมิน้อย
แต่ปัญหาก็คือ !
นับแต่โบราณมาแม้ว่าลัทธิเต๋าแห่งจงหยวนและศาสนาพุทธแห่งซีม่อจะมิใช่อริกัน แต่เนื่องด้วยหลักคำสอนที่ต่างกัน จึงทำให้ลัทธิเต๋าและศาสนาพุทธมิค่อยไปมาหาสู่กัน
แต่ความเข้าใจในพระธรรมของผู้อาวุโสเย่นี่มันอะไรกัน ?
ใช่แล้ว !
ผู้อาวุโสเย่นั้นมาจากสวรรค์
บางทีบนสวรรค์ ความสัมพันธ์ของลัทธิเต๋าและศาสนาพุทธอาจจะปรองดองกันก็เป็นได้
คงด้วยเหตุนี้ผู้อาวุโสเย่ถึงมีความเข้าใจในศาสนาพุทธด้วย
อืม !
หากมิมีสิงใดผิดพลาด คงจะเป็นเช่นนี้แน่
และในครั้งนี้การที่ผู้อาวุโสเย่เป็นตัวแทนลัทธิเต๋า มาประชันการเทศน์กับเสวียนเต๋อ
หากเข้าใจในพระธรรมอย่างลึกซึ้ง เช่นนั้นการประชันการเทศน์ในวันนี้ พวกเสวียนเต๋อจะต้องพ่ายแพ้อย่างมิต้องสงสัย
คิดถึงตรงนี้ คนของลัทธิเต๋าต่างก็สบตากันด้วยรอยยิ้ม
ในตอนนั้นเอง เย่ฉางชิงก็เอ่ยกับเสวียนเต๋ออีกว่า “แม้คำตอบนี้ของท่านจะมิผิด แต่ยังนับว่ามิถูกต้อง”
เสวียนเต๋อได้ยินเช่นนั้นก็ขมวดคิ้วมุ่น ใบหน้าขาวใสปรากฏสีหน้าประหลาดใจออกมา
ต้องยอมรับว่าผู้แข็งแกร่งแห่งลัทธิเต๋าตรงหน้าผู้นี้ มีตบะที่ลึกล้ำสุดจะหยั่งจริง ๆ แม้แต่เขาเองก็ยังมิอาจสัมผัสได้ถึงการเคลื่อนที่ของพลังปราณของคนผู้นี้แม้แต่น้อย
แต่อีกฝ่ายเป็นเพียงคนของลัทธิเต๋า หาใช่คนของศาสนาพุทธไม่
มิหนำซ้ำบัดนี้อีกฝ่ายกลับคิดว่าความเข้าใจที่เขามีต่อพระธรรมนั้นมิถูกต้อง ?
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง เสวียนเต๋อก็เอ่ยปากถามเย่ฉางชิงขึ้นว่า “ขอถามโยมว่า มิถูกต้องเยี่ยงไรงั้นหรือ ? ”
เย่ฉางชิงจึงยิ้มออกมา
“พระพุทธเจ้าไร้รูปร่าง รูปร่างเกิดจากสรรพสิ่ง”
เย่ฉางชิงเอ่ยขึ้น
เพราะตอนที่อยู่โลกนั้น เย่ฉางชิงเคยอ่านคัมภีร์ของศาสนาพุทธมามากมาย
หนึ่งในนั้นได้มีคัมภีร์หนึ่งกล่าวเอาไว้ว่า
สรรพสัตว์และพระพุทธเจ้าล้วนเท่าเทียม เมื่อรู้แจ้งแล้ว สรรพสัตว์ก็คือพระพุทธเจ้า
ขณะเดียวกันพระโคตมพุทธเจ้ายังกล่าวว่า การที่สรรพสัตว์กลายเป็นพระพุทธเจ้า ถือเป็นระดับสูงสุด
เช่นนั้นเย่ฉางชิงจึงมองว่าในคำถามแรกนั้น เขาเป็นฝ่ายชนะแล้ว
หลังจากเงียบไปพักใหญ่เสวียนเต๋อก็พนมมือขึ้นแล้วเอ่ยเรียบ ๆ ว่า “โยมกล่าวได้ถูกต้อง ครานี้อาตมาแพ้แล้ว”
เย่ฉางชิงได้ยินเช่นนั้นก็มิได้แสดงสีหน้าใด ๆ ออกมา เพียงแค่พยักหน้ารับเบา ๆ เท่านั้น
ทว่าเมื่อเหล่าคนของลัทธิเต๋าได้ยินคำพูดของเสวียนเต๋อ ต่างก็ยิ้มออกมาด้วยความดีใจ
ก่อนหน้านี้ในการประชันการเทศน์ของทั้งสามดินแดนศักดิ์สิทธิ์ใหญ่ ก็เป็นการถามตอบทั้งหมดสิบครั้งเช่นกัน ทว่าเสวียนเต๋อกลับมิเคยแพ้มาก่อน
บัดนี้ได้มาประชันกับผู้อาวุโสเย่ เพียงคำถามแรกก็แพ้เสียแล้ว
แค่จินตนาการดูก็รู้แล้วว่าตอนนี้ทุกคนนั่นตื่นเต้นมากเพียงใด
ในตอนนั้นเองเย่ฉางชิงก็ได้ยื่นมือออกไป พร้อมกับเอ่ยว่า “เชิญ”
เสวียนเต๋อครุ่นคิดเล็กน้อย จากนั้นจึงเอ่ยถามเย่ฉางชิง
“ในเมื่อคำถามแรกโยมถามว่าพระพุทธเจ้าคือสิ่งใด เช่นนั้นอาตมาก็อยากรู้ว่า เต๋าคือสิ่งใด?”
ทันทีที่ได้ยินคำถาม แม้เย่ฉางชิงจะยังมิได้เอ่ยสิ่งใด ทว่าคนของลัทธิเต๋าที่อยู่ทางด้านหลังตอนนี้กลับรู้สึกนั่งมิติดขึ้นมาทันที
‘เสวียนเต๋อผู้นี้ช่างร้ายกาจยิ่งนัก ! ’
‘เมื่อครู่ผู้อาวุโสเย่ถามว่าพระพุทธเจ้าคือสิ่งใด และเสวียนเต๋อก็เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ไป’
‘บัดนี้เสวียนเต๋อกลับถามกลว่าเต๋าคือสิ่งใด เช่นนั้นคำตอบที่เป็นไปได้มากที่สุดก็คือ ทุกสรรพสิ่งมีเต๋า สรรพสัตว์เป็นเต๋าได้’
‘เช่นนี้แล้วมิก็เท่ากับเป็นการแสดงว่าลัทธิเต๋า และศาสนาพุทธมีต้นกำเนิดเดียวกันเยี่ยงนั้นหรือ ? ’
‘และหากผู้อาวุโสเย่ตอบกลับไปเช่นนี้จริง ความพ่ายแพ้ของเสวียนเต๋อก็ไร้ซึ่งความหมายน่ะสิ’
คิดได้เช่นนั้น ต้วนฉางเต๋อผู้มีนิสัยมุทะลุจึงอดมิได้ที่จะสบถออกมา
“บัดซบ !…”
ระหว่างที่เย่ฉางชิงหันไปมองนั้น
วินาทีต่อมา มิเพียงต้วนฉางเต๋อที่มีสีหน้าเปลี่ยนไป แม้แต่คนอื่น ๆ เองก็อดมิได้ที่จะก้มหน้าลงด้วยความละอายใจ
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เย่ฉางชิงก็เอ่ยกับเสวียนเต๋อช้า ๆ ทีละคำว่า “ข้า… ก็… คือ… เต๋า ! ”
ทันทีที่สิ้นเสียง ทั่วทั้งลานก็เงียบสงัดลงทันที
ทุกคนที่อยู่ในที่นั้นต่างก็มีสีหน้าที่เต็มไปด้วยความตื่นตระหนก
อึดใจต่อมา
เหมือนกับว่าคำสี่คำของเย่ฉางชิง ได้ไปทำลายความลับบางอย่างของสวรรค์เข้า
“เปรี๊ยง ! ”
“เปรี๊ยง ! ”
“เปรี๊ยง ! ”
ทันใดนั้น พลันก็เกิดเสี่ยงฟ้าร้องดังสนั่นหวั่นไหวขึ้น
ขณะเดียวกัน ท้องฟ้าด้านบนจู่ ๆ ก็เกิดสั่นสะเทือน และมีรอยแตกร้าวอันน่าสะพรึงกลัวปรากฏขึ้นกลางอากาศ
มินานรอยแตกร้าวนี้ก็เริ่มขยายออกมากขึ้น ก่อนจะกระจายไปทั่ว
จากนั้นก็มีไอพลังปั่นป่วนปะทุออกมา
เพียงพริบตาท้องนภาพลันถูกปกคลุมด้วยไอพลังปริศนา เป็นภาพอันน่าสะพรึงกลัวราวกับบรรยากาศตอนที่โลกนี้ถือกำเนิดขึ้นก็มิปาน
ขณะเดียวกัน หลังมีเสียงฟ้าร้องดังขึ้นเป็นระลอก แสงสีขาวค่อย ๆ กระพริบขึ้นมา ส่องให้ฟ้าดินบริเวณนั้นสว่างไสวไปทั่ว
เวลาผ่านไปมิกี่อึดใจ
ลำแสงอันเจิดจ้ามากมายก็ส่องทะลุกลุ่มมวลพลังนั้นลงมา
ทุกคนราวกับเห็นว่ามีดอกบัวสีทองระยิบระยับหลายดอกอยู่ในมวลพลังนั้นแม้จะเลือนรางก็ตาม ขณะเดียวกันก็ยังได้แผ่ไอพลังเต๋าที่แตกต่างกันออกมาอีกด้วย
แน่นอนว่าเวลานี้สิ่งที่น่าเหลือเชื่อมากที่สุดก็คือ
กายของเย่ฉางชิงได้มีไอพลังเต๋าหลากหลายรูปแบบไหลออกมาจากภายใน อีกทั้งยังบริสุทธิ์เป็นอย่างมาก
มิเพียงเท่านั้นเหล่าผู้ที่มีตบะบารขั้นสูงที่อยู่ ณ ที่นั้น ยังเห็นว่าไอที่แผ่ออกมาจากร่างของเย่ฉางชิงนั้น มีการเชื่อมต่อและสะท้อนกับเหล่าดอกบัวสีทองมากมายอีกด้วย
‘นี่มัน ! ’
‘นี่มัน ! ’
‘นี่มัน ! ’
‘ช่างน่าเหลือเชื่อจริง ๆ ! ’
‘เขาเป็นใครกันแน่ ถึงสามารถสะท้อนพลังกับดอกบัวทองแห่งเต๋ามากมายเช่นนี้ได้’
‘หรือว่าผู้อาวุโสเย่คือร่างอวตารแห่งเต๋า ? ’
‘มิน่าจะเป็นไปได้ ! ’
‘หากเป็นร่างอวตารแห่งเต๋าจริง เช่นนั้นผู้อาวุโสเย่จะมาปรากฏตัวในโลกมนุษย์เช่นนี้ทำไมกัน ? ’
‘ก่อนหน้านี้ยังได้มีการเสริมวิถีแห่งเต๋าของโลกนี้ แต่กลับล้มเหลวอีกต่างหาก ? ’
‘มิใช่ ! ’
‘ผู้อาวุโสเย่คงจะเกิดความรู้แจ้งบางอย่าง จึงได้เกิดนิมิตเช่นนี้ขึ้น ! ’
‘แต่ว่าเขามีตบะบารมีแก่กล้าเพียงใดกัน ? ’
‘น่าเหลือเชื่อ ! ’
‘คาดมิถึงจริง ๆ ! ’
ขณะเดียวกัน เสวียนเต๋อเองก็เริ่มรู้สึกปล่อยวาง
เพราะในที่สุดเขาก็รู้แล้วว่า ผู้แข็งแกร่งแห่งลัทธิเต๋าตรงหน้า เหตุใดจึงมีสมบัติพิสุทธิ์ถึง 2 ชิ้น
สามารถสะท้อนพลังแห่งเต๋าได้ ผู้ที่เก่งกาจระดับนี้ต่อให้เขาบำเพ็ญเพียรอีกล้านปี ก็คงทำได้เพียงเฝ้ามองเท่านั้น
ต้องยอมรับว่าคำถามของเสวียนเต๋อนั้น คำตอบเช่นนี้ของเย่ฉางชิงถือว่าสมบูรณ์แบบยิ่งแล้ว
เขาก็คือเต๋า !
นั่นหมายความว่าทุกสิ่งในโลก ล้วนเป็นไปตามแก่นแท้ของเต๋า
หลังจากเงียบไปพักใหญ่ นิมิตที่ปกคลุมรอบกายเย่ฉางชิงก็ค่อย ๆ มลายหายไป
เสวียนเต๋อจึงได้พนมมือขึ้นอีกครั้ง พร้อมกับก้มหน้าให้กับเย่ฉางชิง “โยมเป็นผู้ที่ฉลาดปราดเปรื่องจริง ๆ ครานี้อาตมาก็แพ้อีกแล้ว”
เย่ฉางชิงยิ้มออกเรียบ ๆ จากนั้นก็พยักหน้ารับ
ครั้งนี้เสวียนเต๋อได้เป็นผู้ถามก่อนบ้าง
“พระบรมศาสดาสอนว่า มนุษย์ที่เกิดมาล้วนมีทุกข์อยู่ 8 อย่าง คือการเกิด การแก่ การเจ็บ การตาย การพลัดพรากจากความรัก ความเคียดแค้น ร้องขอแต่มิได้รับ และทุกข์จากขันธ์ทั้งห้า”
“แน่นอนว่าศาสนาพุทธของข้า สามารถทำให้คนหลุดพ้นจากทุกข์เหล่านี้ได้”
“เช่นนั้นเสวียนเต๋อจึงอยากถามว่า ลัทธิเต๋ามีวิธีใดที่จะทำให้คนหลุดพ้นจากทุกข์ทั้งแปดนี้หรือไม่ ? ”
เสวียนเต๋อเรียบเรียงคำพูดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยถามเย่ฉางชิงออกไป
เย่ฉางชิงแม้จะได้ยินเช่นนั้น ทว่าใบหน้าก็ยังคงเรียบนิ่งเช่นเดิม ก่อนที่เขาจะเอ่ยเรียบ ๆ ว่า
“ลัทธิเต๋าปฏิบัติตามกฎแห่งธรรมชาติ”
เสวียนเต๋อจึงเอ่ยว่า “กฎแห่งธรรมชาติคือสิ่งใด ? ”
เย่ฉางชิงจึงเอ่ยโดยมิต้องหยุดคิดว่า “ให้ทุกสิ่งเป็นไปตามธรรมชาติ”
เสวียนเต๋อจึงเอ่ยว่า “ให้ทุกสิ่งเป็นไปตามธรรมชาติคือสิ่งใด ? ”
“วิถีฟ้าคือการมิกระทำ วิธีเต๋าคือวิถีแห่งธรรมชาติ สิ่งนี้ก็คือกฎแห่งธรรมชาติ”
เย่ฉางชิงเอ่ยเรียบ ๆ ว่า “ความทุกข์ทั้งแปดที่ศาสนาพุทธของพวกท่านเอ่ยถึง ข้ามองว่าแท้จริงแล้วก็คือชีวิตธรรมดาของมนุษย์”
“การหลุดพ้นของพุทธศาสนา คือทำให้คนลืมทุกข์ทั้งแปด แต่ลัทธิเต๋านั้นต่างกัน การทำให้คนได้สัมผัสทุกข์ทั้งแปด จดจำทุกข์ทั้งแปด รับเข้ามาจากนั้นถึงจะปล่อยวาง ให้เป็นไปตามธรรมชาติ”
หลังสิ้นเสียง เหล่าคนที่นั่งอยู่ด้านหลังของเย่ฉางชิงก็เผยสีหน้าปลื้มใจออกมาทันที ก่อนจะหันมามองหน้ากันแล้วพยักหน้าเห็นด้วย
‘สมแล้วที่เป็นผู้อาวุโสเย่ ตบะบารมียิ่งสูงส่ง ความเข้าใจในวิถีเต๋าก็ยิ่งลึกซึ้งตามไปด้วย’
‘อีกทั้งผู้อาวุโสเย่ยังอธิบายหลักคำสอนของลัทธิเต๋า โดยอาศัยคำถามของเสวียนเต๋อได้อย่างสมบูรณ์แบบ’
‘คำตอบเช่นนี้เกรงว่าแม้แต่พระพุทธเจ้าที่มรณภาพไปแล้วลุกขึ้นมา ก็ยังมิสามารถแก้ได้กระมัง ? ’
หลังจากเงียบไปพักหนึ่ง
แล้วก็เป็นดังที่คนของลัทธิเต๋าคาดเอาไว้ เสวียนเต๋อต้องยอมรับความพ่ายแพ้อีกครั้ง
แต่ในตอนนั้นเอง ผู้แข็งแกร่งของลัทธิเต๋าหลายคนก็สัมผัสได้ว่า กายของเสวียนเต๋อตอนนี้ได้แผ่ความเคียดแค้นอันน่าสะพรึงกลัวออกมา
ทันใดนั้นคนในลัทธิเต๋าที่อยู่ด้านหลังของเย่ฉางชิง พลันมีสีหน้าเข้มขึ้นทันที ก่อนจะลุกขึ้นยืน
ขณะเดียวกัน พวกเขาก็อดมิได้ที่จะแอบดีใจอยู่ลึก ๆ