เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน - ตอนที่ 261 ศิษย์เข้าใจแล้ว
ตอนที่ 261 ศิษย์เข้าใจแล้ว
“เปรี้ยง ! ”
ทันใดนั้น แสงที่ดูสงบเยือกเย็นอย่างหาที่เปรียบมิได้ ก็ปกคลุมร่างของเย่ฉางชิงเอาไว้ภายในพริบตา
ขณะเดียวกันเย่ฉางชิงก็สั่นสะท้านขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนจะเกิดระลอกคลื่นเป็นชั้น ๆ ขึ้นรอบกาย
มินานก็มีหมอกอันน่าสะพรึงกลัวแผ่ออกมาอย่างรวดเร็ว รวมทั้งลำแสงอันเจิดจ้านับมิถ้วนที่เปล่งออกมา…
จนเวลาผ่านไปมิกี่อึดใจ
ภาพเงาอันลึกลับเงาหนึ่งค่อย ๆ ปรากฏขึ้นภายใต้หมอกระยิบระยับ
เงานี้มีขนาดสูงใหญ่ราวกับภูเขาลูกหนึ่ง ที่ตั้งตระหง่านอยู่ด้านบนของเย่ฉางชิง
อีกทั้งด้านหลังยังมีคลื่นแสงที่ปล่อยออกมาเป็นชั้น ๆ ช่างดูศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก
แต่ว่าในวินาทีต่อมา มิว่าจะเป็นเหล่าคนของลัทธิเต๋า หรือว่าพวกเสวียนเต๋อที่เป็นคนของศาสนาพุทธ ต่างก็มีท่าทีที่เปลี่ยนไป สีหน้าของแต่ละคนเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกอย่างถึงที่ขีดสุด
เพราะหลังจากคลื่นแสงแผ่ออกมา รอบกายของเงาร่างนั้นก็ปรากฏแสงสว่างเป็นดวง ๆ ขึ้นมามิหยุด
ขณะเดียวกันแสงสว่างมากมายเหล่านั้น ก็ค่อย ๆ ร่วงหล่นลงบนพื้นน้ำราวกับสายฝนที่โปรยปราย จนเกิดเป็นระลอกคลื่น ช่างดูสงบร่มเย็นยิ่งนัก
ทว่าเพียงพริบตาแสงสว่างมากมายเหล่านั้นก็ได้ขยายใหญ่ขึ้น ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นตราพระพุทธสีทองอร่าม
เพียงแค่คิดก็รู้แล้วภาพที่เกิดขึ้นนี้หมายความถึงสิ่งใด !
‘ตราพระพุทธ ! ’
‘บวกกับไอพลังอันสงบเยือกเย็นเช่นนี้’
‘นั่นหมายความภาพเงานี้เป็นไปได้สูงว่าจะเป็นศาสดาของศาสนาพุทธ’
‘แต่มันมิสมเหตุสมผลเลย ! ’
‘ผู้อาวุโสเย่เป็นบรรพจารย์ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน เป็นปรัชญาเมธีของลัทธิเต๋าทั่วทั้งใต้หล้า’
‘แต่ปัญหาก็คือ ! ’
‘เหตุใดด้านบนของเขาจึงมีภาพเงาศาสดาของศาสนาพุทธได้ ? ’
‘ในโลกนี้นับแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ลัทธิเต๋าและศาสนาพุทธมิอาจที่จะอยู่ร่วมกันได้ มิเช่นนั้นพวกเสวียนเต๋อก็คงมิเหาะมาประชันการเทศนาถึงจงหยวนเช่นนี้’
‘และหากชนะ จากนั้นก็ให้ลัทธิเต๋าอนุญาตให้ศาสนาพุทธเข้าสู่ดินแดนจงหยวนได้’
‘เช่นนี้แล้วก็หมายความว่าก่อนที่ผู้อาวุโสเย่จะบรรลุขึ้นสวรรค์ ก็มิได้ศึกษาศาสนาพุทธแต่อย่างใด’
‘ใช่แล้ว ! ’
‘ต้องเป็นเช่นนี้แน่ ! ’
‘ผู้อาวุโสเย่เริ่มศึกษาศาสนาพุทธหลังจากขึ้นสวรรค์ไปแล้ว ! ’
คิดถึงตรงนี้ คนของลัทธิเต๋าก็สบตากันเล็กน้อย จากนั้นจึงยิ้มออกมาแห้ง ๆ พร้อมส่ายหน้าไปมา
“หากข้าเดามิผิดล่ะก็ ผู้อาวุโสเย่จะต้องเป็นอัจฉริยะที่โดดเด่นที่สุดในยุคนั้นอย่างแน่นอน”
“คงจะเป็นเช่นนั้น บำเพ็ญเพียรทั้งเต๋าและพุทธพร้อมกัน ช่างเป็นคุณสมบัติที่น่ากลัวยิ่งนัก”
“ข้ากลับมิคิดเช่นนั้น มินานก่อนหน้านี้ผู้อาวุโสเย่ใช้วิธีการอันศักดิ์สิทธิ์เพื่อเสริมวิถีเต๋าของโลกนี้ เห็นได้ชัดว่าการบำเพ็ญเพียรวิถีเต๋าของเขานั้นสูงส่งถึงเพียงใด”
“อีกอย่างผู้อาวุโสเย่ยังเป็นตัวแทนของลัทธิเต๋าเข้าร่วมการประชันในครานี้ ก็พอจะอธิบายท่าทีของเขาได้แล้ว เช่นนั้นในสายตาของข้า สำหรับผู้อาวุโสเย่แล้ว ศาสนาพุทธก็ยังคงเป็นเพียงเส้นทางหนึ่งเท่านั้น”
“พี่ไท่หัวพูดได้ถูกต้อง และเมื่อครู่ผู้อาวุโสเย่ก็ได้กล่าวแล้วว่า เพียงแค่เห็นแก่ที่เสวียนเต๋อมีใจคิดถึงสรรพชีวิตในจงหยวน จึงได้สอนเสวียนเต๋อ”
“ใช่แล้ว นี่ก็คือความเมตตาของผู้อาวุโสเย่ ช่างเป็นคนที่พวกเรามิอาจเทียบเคียงได้จริง ๆ ”
“……”
ขณะเดียวกัน เวลานี้สำหรับพวกเสวียนเต๋อแล้ว คนตรงหน้าผู้นี้หาใช่เป็นเพียงผู้แข็งแกร่งของลัทธิเต๋าอีกต่อไปไม่
คนผู้นี้สอนพระธรรมสายมหายานให้แก่พวกเขา มาบัดนี้ก็มีภาพเงาที่เกิดจากองค์พระพุทธเจ้าปกคลุมอยู่รอบกาย อีกทั้งยังมีตราพระพุทธมากมายปรากฏขึ้น
เมื่อรวมกับรัศมีที่คนผู้นี้แผ่ออกมาจากภายในแล้ว
สัญญาณมากมายหลายอย่างบ่งชี้ว่า คนผู้นี้คงจะเป็นพระพุทธเจ้ากลับชาติมาเกิดโดยแท้จริง !
ส่วนเขา เสวียนเต๋อ
แม้จะมีพรสวรรค์โดดเด่นมาตั้งแต่เด็ก ทั้งยังนั่งบำเพ็ญเพียรมาพันปี จึงได้เข้าใจในพุทธศาสนาสายมหายาน
มิใช่ !
พูดให้ถูกคงเป็นเพียงพระพุทธศาสนาสายเถรวาทเท่านั้น
ก่อนหน้านี้ทุกคนในศาสนาพุทธ ล้วนคิดว่าเขาก็คือพระพุทธเจ้ากลับชาติมาเกิด
แต่ก่อนหน้านี้เมื่อทั้งสองประชันกัน เสวียนเต๋อกลับพ่ายแพ้อย่างยับเยิน
อีกทั้งต้องยอมรับว่า อีกฝ่ายมิเพียงเข้าใจหลักการเต๋าอย่างลึกซึ้ง แต่ยังเข้าใจในหลักธรรมยิ่งกว่าเสวียนเต๋ออีกด้วย
เช่นนี้ก็เพียงพอจะอธิบายได้แล้วว่าคนผู้นี้ต้องเป็นพระพุทธเจ้ากลับชาติมาเกิดอย่างแน่นอน
ตอนนั้นเองเสวียนเต๋อที่จิตใจค่อย ๆ สงบลง ก็ลุกขึ้นยืนช้า ๆ
จากนั้นพระสงฆ์ 300 รูปด้านหลังเสวียนเต๋อก็ลุกขึ้นตาม
“อมิตาพุทธ”
เสวียนเต๋อรวมทั้งพระสงฆ์ 300 รูปด้านหลังพนมมือขึ้น และเอ่ยกับเย่ฉางชิงแทบจะพร้อม ๆ กัน
วินาทีต่อมา พวกเขาก็ได้โค้งคำนับให้แก่เย่ฉางชิง ก่อนจะทรุดตัวลงหมอบกราบแทบจะพร้อม ๆ กัน ดูราวกับระลอกคลื่นก็มิปาน
การคำนับเช่นนี้ ถือเป็นการคารวะอย่างสูงสุดในศาสนาพุทธ !
แน่นอนว่าการที่พวกเขายอมคารวะเช่นนี้ เป็นเพราะพวกเขามั่นใจว่าเย่ฉางชิงที่อยู่ตรงหน้าก็คือพระพุทธเจ้ากลับชาติมาเกิด จึงได้คารวะให้
ทว่าในตอนนั้นเอง แสงแห่งพระพุทธที่ปกคลุมร่างของเย่ฉางชิง กลับยิ่งเจิดจ้ามากขึ้นไปอีกหลายเท่า
เพียงพริบตา แท่งเหล็กสีดำสนิทที่ด้านบนสลักคัมภีร์โบราณ และมีแสงแห่งความสงบเยือกเย็นลอยวนอยู่แท่งหนึ่ง ก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศตรงหน้าของเย่ฉางชิง
ขณะเดียวกันใต้ฝ่าเท้าของเย่ฉางชิง ก็กำเนิดฐานบัวสีทองที่สลักคัมภีร์โบราณและมีแสงส่องสว่างดอกหนึ่งขึ้น
เพียงแต่ในวินาทีที่ฐานบัวสีทองปรากฏขึ้นอย่างชัดเจนนั้น
ปทุมสูติที่ลอยอยู่ด้านหน้าของเย่ฉางชิง จู่ ๆ ก็มีแสงสีเขียวร่วงหล่นลงมา
ระหว่างที่แสงสีเขียวผสานเข้ากับแสงสีทองอันสว่างไสว เหมือนกับทั้งสองสิ่งเกิดการเหนี่ยวนำซึ่งกันและกัน
มินานปทุมสูติก็ค่อย ๆ ร่วงลง ส่วนฐานบัวสีทองกลับลอยขึ้นด้านบน
ในวินาทีที่ทั้งสองสิ่งเผชิญหน้ากันนั้น ปทุมสูติและฐานบัวสีทองเหมือนจะผสานเพื่อรวมกันเป็นหนึ่ง
ทันใดนั้นทั้งสองก็เปล่งแสงสีเขียวทองออกมา มีสัญลักษณ์โบราณปรากฏขึ้น ยิ่งดูงดงามแปลกตาสุดจะบรรยายได้
เย่ฉางชิงที่ได้เห็นภาพตรงหน้าก็อดมิได้ที่จะนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง ก่อนที่วินาทีต่อมาใบหน้าของเขาจะปรากฏรอยยิ้มอ่อนโยนออกมา
“คาดมิถึงว่าการสอนปรัชญาปารมิตาให้กับเสวียนเต๋อ จะทำให้ได้สมบัติวิเศษเพิ่มขึ้นมาอีกสองชิ้น มิหนำซ้ำยังดูเหมือนว่าปทุมสูติและฐานบัวสีทองนี้ ยังเป็นชุดเข้ากันอีกด้วย”
เอ่ยถึงตรงนี้เย่ฉางชิงก็ถอนสายตากลับไปมองแท่งเหล็กลึกลับที่ลอยอยู่ตรงหน้า
‘ศาสนาพุทธ ? ’
‘แท่งเหล็ก ! ’
‘แท่งเหล็กนี้คงมิใช่วัชระปราบมาร สมบัติวิเศษของศาสนาพุทธหรอกกระมัง ? ’
หลังจากลังเลเล็กน้อย เมื่อเย่ฉางชิงยื่นมือไปหาแท่งเหล็กสีดำ ข้อมูลบางอย่างพลันก็ผุดขึ้นในสมองของเขา
“วัชระปราบมาร สมบัติวิเศษของศาสนาพุทธ สามารถปราบปีศาจในโลกและทำลายกรรมทั้งปวงได้”
ข้อมูลที่ได้กลับมีน้อยนิดจนน่าสงสารเช่นเคย
ทว่าเย่ฉางชิงก็มิได้ท้อแท้ แต่กลับเผยท่าทางยินดีออกมา
เพราะในเวลามิถึงหนึ่งปีมานี้
เขาได้รับรากปราณที่จำเป็นในการบำเพ็ญเพียร อีกทั้งยังได้รับเจดีย์หวงเซวียนหลิงหลงที่ใช้ในการป้องกันตัวมาจากเมืองหลวง
ก่อนหน้านี้มินานตอนพิธีแต่งตั้งของลู่อู๋ซวง ก็ได้รับปทุมสูติลึกลับที่สามารถใช้เหาะเหินเดินอากาศได้
มาวันนี้ก็ยังได้รับฐานบัวที่เข้าชุดกันกับปทุมสูติ ยิ่งกว่านั้นยังได้รับวัชระปราบมาร อันเป็นของวิเศษที่ใช้ในการต่อสู้ของศาสนาพุทธอีกด้วย
แค่คิดก็รู้แล้วว่าทั้งหมดนี้น่าตื่นเต้นยินดีเพียงใด สำหรับผู้ที่พึงพอใจกับอะไรง่าย ๆ เช่นเย่ฉางชิง
แน่นอนว่าเขาก็ยังคงเจียมเนื้อเจียมตัวอยู่ดี
สมบัติเหล่านี้แม้จะมิเลวก็จริง แต่ด้วยเพราะตบะบารมีของตนเองนั้นยังด้อยนัก
อีกทั้งตอนนี้ยังอยู่ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน ทุกคนล้วนคิดว่าเขาคือท่านบรรพจารย์เย่ในตำนานท่านนั้น
หากเขาเผยพิรุธอะไรออกไป จะต้องนำมาซึ่งหายนะอันมิรู้จบอย่างแน่นอน
คิดถึงตรงนี้ เย่ฉางชิงก็กุมวัชระปราบมารเอาไว้ พลางกวาดตามองพวกเสวียนเต๋อที่กำลังหมอบกราบแบบเบญจางคประดิษฐ์ให้เขาอยู่
“เสวียนเต๋อ เจ้าคงเข้าใจในพุทธศาสนาสายมหายานแล้ว นับแต่นี้ไป จงคอยช่วยสรรพสัตว์ทั้งหลาย และเผยแผ่พระธรรมเพื่อสรรพสัตว์บนโลกเสีย”
“แต่ว่าบัดนี้ยังมิถึงเวลา ศาสนาพุทธมิอาจเข้าสู่จงหยวนได้ รอวันหน้าถึงเวลาแล้วศาสนาพุทธย่อมจะสามารถเข้าสู่ดินแดนจงหยวนได้เอง”
“กลับไปได้แล้ว”
สิ้นเสียงเสวียนเต๋อก็ค่อย ๆ เงยหน้าขึ้น แล้วชำเลืองมองวัชระปราบมารในมือของเย่ฉางชิง
แต่เขาก็มิได้แสดงท่าทางตื่นตระหนกจนเกินไปนัก
กลับกัน เพราะวัชระปราบมารทำให้เข้ายิ่งมั่นใจว่าคนผู้นี้จะต้องเป็นพระพุทธเจ้ากลับชาติมาเกิดอย่างแน่นอน
“อาจารย์… ศิษย์อยากที่จะคอยติดตาม ฟังหลักพุทธศาสนาสายมหายานจากท่านทุกวันขอรับ”
ได้ยินเช่นนั้นเย่ฉางชิงก็ลอบขมวดคิ้วเบา ๆ สีหน้าดูสับสนเล็กน้อย
‘มนุษย์มิควรจะโลภจนเกินไป ! ’
‘อีกอย่าง’
‘เห็นได้ชัดว่าหลวงจีนเช่นเจ้า อายตนะภายในยังมิบริสุทธิ์พอ ! ’
‘ที่สำคัญที่สุดก็คือ’
‘ข้าจำได้เพียงปรัชญาปารมิตา ต่อให้เจ้าตามก้นข้าต้อย ๆ ทุกวัน ข้าก็มิมีหลักธรรมอันใดจะมาสอนเจ้าได้อีกแล้ว’
แม้เย่ฉางชิงจะพร่ำบ่นอยู่ในใจ แต่ก็ยังเอ่ยออกไปด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า
“หลักการมิได้อยู่บนกายข้า แต่อยู่ระหว่างฟ้าดิน เจ้าบำเพ็ญเพียรอยู่ข้างกายข้าก็มีแต่จะหน่วงเหนี่ยวการบำเพ็ญเพียรในภายภาคหน้าของเจ้า เช่นนั้นเจ้าควรกลับไปเถอะ”
เสวียนเต๋อขมวดคิ้วมุ่น ก่อนจะเงียบไปสักพัก “ศิษย์เข้าใจแล้วขอรับ”