เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน - ตอนที่ 265 ช่างเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่ยอดเยี่ยมแห่งการบำเพ็ญเพียรจริง ๆ
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน
- ตอนที่ 265 ช่างเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่ยอดเยี่ยมแห่งการบำเพ็ญเพียรจริง ๆ
ตอนที่ 265 ช่างเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่ยอดเยี่ยมแห่งการบำเพ็ญเพียรจริง ๆ
ผู้เฒ่าสวมชุดป่านมองหนานกงเสวียนจีและซือถูเจิ้นผิง พร้อมกับยกมือข้างหนึ่งขึ้นลูบหนวดของตน
“หินหุนหยวนแม้จะเป็นของวิเศษฟ้าดินที่หายากชนิดหนึ่ง ทว่าเนื่องด้วยปราณชีวิตที่แฝงอยู่ภายในทรงพลังเกินไป ทำให้การใช้งานของมันมีจำกัดอย่างมาก”
“อีกอย่างหากต้องการจะหาหินหุนหยวนสักก้อนสองก้อนจากที่อื่นก็นับว่ามิใช่เรื่องยากอะไร แล้วเหตุใดพวกเจ้าทั้งสองถึงต้องเสี่ยงชีวิตเข้าไปในเขตต้องห้ามเช่นนี้เพื่อตามหาหินหุนหยวนด้วยเล่า ? ”
ซือถูเจิ้นผิงและหนานกงเสวียนจีได้ฟังแล้วก็หันมาสบสายตากัน อดมิได้ที่จะเผยสีหน้าลำบากใจออกมา
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งผู้เฒ่าสวมชุดผ้าป่านก็เอ่ยถามขึ้นอีกว่า “หรือว่าพวกเจ้าต้องการของสิ่งนี้จำนวนมากเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“เรียนผู้อาวุโส ผู้น้อยทั้งสองต้องการหินหุนหยวนจำนวนมากจริง ๆ ขอรับ”
ซือถูเจิ้นผิงครุ่นคิดเล็กน้อย จากนั้นจึงพยักหน้าลง
“แน่นอนว่าผู้น้อยทั้งสองบำเพ็ญเพียรอย่างยากลำบากมานาน การจะบรรลุระดับขั้นสูงขึ้นไปอีกนั้นมิใช่เรื่องง่าย ทว่ากลับได้รับคำแนะนำจากผู้อาวุโสท่านหนึ่ง จึงได้มาฝึกตนที่แดนต้องห้ามแห่งนี้ เพื่อหวังว่าจะพบโอกาสที่จะสามารถบรรลุได้ขอรับ”
หนานกงเสวียนจีพยักหน้าเห็นด้วย ก่อนเอ่ยเสริมว่า
“เรียนผู้อาวุโส เป็นเช่นนั้นจริง ๆ ขอรับ เพียงแต่พวกเราสองคนมิคิดว่าส่วนลึกของแดนต้องห้ามแห่งนี้ จะมีสิ่งมีชีวิตโบราณที่น่ากลัวปานนั้นหลับใหลอยู่”
“หากมิใช่เพราะพี่ซือถูออกกระบวนท่ากระบี่ที่สุดยอดเช่นนั้นล่ะก็ เกรงว่าคืนนี้พวกเราทั้งสองคงตายอยู่ในนั้นไปแล้ว ! ”
ผู้เฒ่าสวมชุดผ้าป่านกวาดตามองคนทั้งสองอีกครั้ง ก่อนจะทำหน้ายิ้มแหย ๆ ออกมา
“ข้าอยู่มานานขนาดนี้จึงมิอยากให้มีคนเอ่ยคำโกหกต่อหน้าข้า อีกอย่างพวกเจ้าสองคนก็นับว่าเป็นผู้แข็งแกร่งแห่งยุค ยิ่งมิควรที่จะปิดบังความจริงต่อหน้าข้าเข้าไปใหญ่ ! ”
เอ่ยจบผู้เฒ่าสวมชุดป่านก็มีสีหน้าเปลี่ยนไป อำนาจอันน่าเกรงขามพลันปะทุขึ้นมาจากร่างของเขา
“ผู้อาวุโส ! ”
“ผู้น้อยทั้งสองหาได้โกหกไม่ขอรับ ! ”
หนานกงเสวียนจีและซือถูเจิ้นผิงเอ่ยออกมาแทบจะพร้อม ๆ กัน
“มิได้โกหก ? ”
ผู้เฒ่าสวมชุดป่านมุมปากค่อย ๆ หยักโค้งขึ้น ก่อนแค่นหัวเราะออกมา
“เช่นนั้นพวกเจ้าตามหาหินหุนหยวนมากมายเช่นนี้ไปทำไมกัน ? ”
“พวกเจ้าคงมิได้จะบอกข้าว่ามีคนต้องการที่จะกลั่นปราณชีวิตอันรุนแรงภายในหินหุนหยวน เพื่อใช้ในการบำเพ็ญเพียรหรอกกระมัง ? ”
หนานกงเสวียนจีและซือถูเจิ้นผิงได้ยินเช่นนั้นก็นิ่งอึ้งไปเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้ารับอย่างลังเล
เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงผู้อาวุโสเย่ เดิมทีพวกเขามิคิดที่จะพูดออกมาอยู่แล้ว
แต่ว่าสิ่งที่พวกเขาทั้งสองคาดมิถึงก็คือ ผู้แข็งแกร่งที่ลึกลับท่านนี้กลับคาดเดาได้อย่างถูกต้อง
เช่นนี้แล้วพวกเขาจึงทำได้เพียงพยักหน้ายอมรับเท่านั้น
“หา ! ”
ทว่าวินาทีต่อมาสีหน้าของผู้เฒ่าสวมชุดป่านก็เย็นชาลงทันที ประกายวาววับเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยวเปล่งออกมาจากดวงตาเรียวยาวคู่นั้น
หลังจากนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง
“ข้า ซีเหมินเหลยหู่ ตั้งแต่บำเพ็ญเพียรมาจนถึงวันนี้นานนับหมื่นปี เพื่อปกป้องแดนต้องห้ามแห่งนี้ไว้ ตบะบารมีของข้าถึงได้ลดลง”
“แม้ตบะบารมีในตอนนี้จะมิได้อยู่ในระดับที่สูงที่สุดเหมือนแต่ก่อน ทว่าพวกเจ้าสองคนหาได้อยู่ในสายตาของข้าไม่ ! ”
ผู้เฒ่าสวมชุดผ้าป่านที่เรียกตัวเองว่า ซีเหมินเหลยหู่ เอ่ยขึ้นอย่างวางอำนาจ
ทว่าหลังจากสิ้นเสียงมวลพลังมหาศาลกลุ่มหนึ่ง จู่ ๆ ก็ทะยานขึ้นสู่ท้องนภา
ทันใดนั้นก็สัมผัสได้ถึงไอพลังอันน่ากลัว ที่ระเบิดออกมาจากกายของซีเหมินเหลยหู่
ซือถูเจิ้นผิงและหนานกงเสวียนจี ต่างก็มีสีหน้าเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก
พวกเขาสองคนคิดมิถึงว่า
นอกจากผู้อาวุโสเย่ผู้แข็งแกร่งที่เมืองเสี่ยวฉือท่านนั้นแล้ว จงหยวนจะยังมีผู้แข็งแกร่งที่น่ากลัวเช่นนี้อยู่อีก
อย่างน้อย ๆ เกรงว่าคงจะมีตบะบารมีอยู่ในขั้นกลางของระดับมหายานแล้วเป็นแน่ !
อีกอย่างมิว่าเยี่ยงไรพวกเขาก็คิดมิออกว่า เหตุใดผู้แข็งแกร่งของสี่ตระกูลลับโบราณท่านนี้จะต้องโกรธเกรี้ยวพวกตนถึงเพียงนี้ด้วย !
พวกเขาหาได้ปิดบังอะไรไม่ ผู้อาวุโสเย่จำเป็นต้องกลั่นปราณวิญญาณอันเข้มข้น ที่แฝงอยู่ภายในหินหุนหยวนนี้ เพื่อใช้ในการบำเพ็ญเพียรจริง ๆ นี่นา !
“ผู้อาวุโส ท่านเข้าใจผิดแล้ว”
หนานกงเสวียนจีคิ้วขมวดมุ่น เอ่ยด้วยเสียงหนักแน่นว่า “ผู้น้อยทั้งสองเข้าไปในแดนต้องห้าม เสี่ยงอันตรายที่ถึงแก่ชีวิตก็เพื่อตามหาหินหุนหยวนจำนวนมากจริง ๆ ขอรับ”
“อีกทั้งผู้น้อยก็มิได้โกหกท่านแม้แต่น้อย ผู้อาวุโสเย่ท่านนั้นสามารถกลั่นปราณวิญญาณอันเข้มข้นที่แฝงอยู่ภายในหินหุนหยวนได้จริง ๆ ขอรับ”
ซือถูเจิ้นผิงจึงเอ่ยเสริมขึ้นอีกว่า “ผู้อาวุโสเป็นคนเช่นนั้นจริง ๆ ขอรับ พวกเราสองคนมิได้โกหกท่านแม้แต่น้อย ! ”
ซีเหมินเหลยหู่มองสีหน้าจริงใจของซือถูเจิ้นผิงและหนานกงเสวียนจีด้วยแววตาเย็นเยียบ
หลังจากครุ่นคิดอยู่สักครู่
“ในเมื่อเป็นเช่นนั้นข้าจะไปดูให้เห็นกับตาตัวเองว่า คนผู้นั้นเป็นใครกันแน่จึงสามารถกลั่นหินหุนหยวนนี้ได้ ! ”
ซีเหมินเหลยหู่หรี่ตาลง พลางแค่นเสียงเย็นชาออกมา
“แต่ข้าขอเตือนพวกเจ้าทั้งสองเอาไว้เลยว่า หากพวกเจ้าทั้งสองกล้าหลอกข้าล่ะก็ ถึงตอนนั้นหากข้ามิสังหารพวกเจ้าทั้งสองคนทิ้งเสีย และจะสะกดพวกเจ้าทั้งสองเอาไว้นับพันปีอย่างแน่นอน”
“ห๊ะ ! ”
สีหน้าของหนานกงเสวียนจีและซือถูเจิ้นผิงในตอนนี้ต่างเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก
ตอนนี้ดูท่าผู้แข็งแกร่งของตระกูลลับโบราณท่านนี้ มิว่าเยี่ยงไรก็ต้องไปพบผู้อาวุโสเย่ให้ได้จึงจะยอมตัดใจ
แม้ผู้แข็งแกร่งของเผ่าลับโบราณท่านนี้จะมีตบะบารมีแก่กล้า น้อยนักที่พวกเขาทั้งสองจะได้พบเห็น
ทว่าก็ยังมิได้อยู่ในสายตาของผู้อาวุโสเย่อยู่ดี !
ที่สำคัญที่สุดก็คือ
ระดับผู้อาวุโสเย่แล้ว ทุกเรื่องขึ้นอยู่กับวาสนาเท่านั้น
จู่ ๆ หากพวกเขาพาผู้แข็งแกร่งของตระกูลโบราณท่านนี้กลับไปด้วย ผู้อาวุโสเย่จะยอมออกมาพบหรือไม่ ?
หนานกงเสวียนจีคิดแล้วก็เอ่ยขึ้นผ่านกระแสจิตว่า “พี่ซือถู หวังว่าผู้อาวุโสเย่จะมิถือสาผู้น้อยเช่นพวกเรานะ ! ”
ซือถูเจิ้นผิงมีสีหน้ากลืนมิเข้าคายมิออก พลางตอบกลับไปว่า “เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้วก็คงต้องปล่อยเลยตามเลยแล้วล่ะ”
หนานกงเสวียนจีจึงเอ่ยกับซีเหมินเหลยหู่อย่างนอบน้อมว่า “ผู้อาวุโส หากเป็นไปได้ผู้น้อยทั้งสอง อยากขอเวลาสักสองชั่วยาม”
“รอจนผู้น้อยทั้งสองฟื้นฟูให้แข็งแรงขึ้นกว่านี้อีกสักเล็กน้อยแล้ว พวกเราค่อยออกเดินทางกัน ท่านเห็นเป็นเช่นไร ? ”
ซีเหมินเหลยหู่เม้มริมฝีปากเล็กน้อย พลางพยักหน้ารับเบา ๆ
จนเวลาผ่านไปสองชั่วยาม
ซือถูเจิ้นผิงและหนานกงเสวียนจีก็ได้พาซีเหมินเหลยหู่เหาะไปทางดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน
ในตอนนั้นเอง ขอบฟ้าก็ค่อย ๆ สว่างขึ้น
มินานแสงสีแดงก็ค่อย ๆ ฉาบไปบนท้องฟ้า จนทั่วทั้งนภาสว่างขึ้นมาอีกครั้ง
…………………………………..
ณ เมืองเสี่ยวฉือ
หลังจากฟ้าสว่าง
เย่ฉางชิงจึงได้เดินออกมาจากภายในห้อง
แต่เนื่องจากหินหุนหยวนถูกใช้ไปหมดแล้ว
มิหนำซ้ำจนถึงวันนี้ก็ยังหาสาเหตุที่ทำให้บำเพ็ญเพียรล่าช้ามิเจอ
เช่นนั้นเย่ฉางชิงจึงอดมิได้ที่จะรู้สึกหงอยเหงาเศร้าสร้อย
และนับตั้งแต่กลับมาจากดินแดนศักดิ์สทธิ์ไท่เสวียนมือเปล่าครั้งก่อน
ช่วงนี้เขาจึงเต็มไปด้วยความหดหู่
บางครั้งจึงจำต้องใช้อักษรพู่กันและภาพวาด มาระบายความกลัดกลุ้มภายในใจ
‘ลมใต้ขัดต่อปรารถนา ไม้พายถูกซุกริมทะเลสาบ’
‘พื้นหญ้าไกลสุดสายตา พฤกษาสูงใหญ่แน่นขนัด’
เย่ฉางชิงค่อย ๆ เดินมายังหน้าโต๊ะยาว
หลังจากเงียบอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมองฟ้า จากนั้นก็อดมิได้ที่จะทอดถอนใจออกมา
จนเวลาผ่านไปมิกี่อึดใจ
เขาก็ถอนสายตากลับมา พร้อมถอนหายใจออกมาเบา ๆ
จากนั้นก็เริ่มฝนหมึก คลี่กระดาษออกมากาง
สุดท้ายก็ยกพู่กันและจรดลง…
ขณะเดียวกัน นอกเมืองเสี่ยวฉือตอนนี้ได้มีลำแสงสามลำพุ่งมาจากทางด้านเหนือ ก่อนจะพุ่งลงมา
และแล้วซือถูเจิ้นผิงและหนานกงเสวียนจี รวมทั้งซีเหมินเหลยหู่ที่อยู่ในชุดผ้าป่านก็ได้ปรากฏตัวขึ้น
“ผู้อาวุโสซีเหมิน ผู้อาวุโสเย่พำนักอยู่ที่นี่ขอรับ”
หนานกงเสวียนจีมองเมืองเสี่ยวฉืออย่างลวก ๆ จากนั้นก็ได้เอ่ยขึ้นมา
ซีเหมินเหลยหู่พยักหน้ารับรู้
ทว่าในวินาทีต่อมา เขาเหมือนสัมผัสได้ถึงบางอย่าง พลันสีหน้าก็ต้องเปลี่ยนไปทันทีอย่างอดมิได้
“คาดมิถึงว่าเมืองเล็ก ๆ ที่ห่างไกลเช่นนี้จะแผ่จิตแท้แห่งเต๋าที่บริสุทธิ์ออกมามากถึงเพียงนี้ ช่างเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่ยอดเยี่ยมแห่งการบำเพ็ญเพียรจริง ๆ ! ”
ซีเหมินเหลยหู่จึงทอดถอนใจออกมาอย่างอดมิได้
หนานกงเสวียนจีและซือถูเจิ้นผิงได้ยินเช่นนั้นก็ลอบส่งยิ้มให้กัน