เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน - ตอนที่ 274 สาสน์ของจักรพรรดิไร้ราตรี
ตอนที่ 274 สาสน์ของจักรพรรดิไร้ราตรี
ทันใดนั้นพวกซีเหมินเหลยหู่ก็มีสีหน้ามิสู้ดีเท่าไรนัก
โดยเฉพาะหนานกงเสวียนจี
ที่มีใบหน้าเขียวคล้ำ ตรงขมับยังเต็มไปด้วยเส้นเลือดที่ปูดโปนขึ้นมา
ข้าหนานกงเสวียนจีบำเพ็ญเพียรมานับพันปี และมิเคยถูกใส่ร้ายเช่นนี้มาก่อน
ทว่าที่นี่เป็นสถานที่พักผ่อนของผู้อาวุโสเย่
อีกทั้งคนในเมืองแห่งนี้ยังมีความเป็นไปได้สูงว่าทุกคนที่นี่ล้วนเป็นผู้อาวุโสที่สำเร็จจนเป็นเซียนหมดแล้ว
เช่นนี้แล้วต่อให้ผู้อาวุโสเย่หรือว่าสิ่งมีชีวิตต้องห้ามตนนั้นมิลงมือ เขาก็มิใช่คู่ต่อสู้ของคนเหล่านี้อยู่ดี !
หลังจากนิ่งเงียบอยู่พักใหญ่ หนานกงเสวียนจีจึงสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ พยายามสงบสติอารมณ์ของตัวเอง จากนั้นจึงเอ่ยกับคนขายเนื้อซุนที่มีท่าทางเกรี้ยวกราดด้วยใบหน้าแหย ๆ
“ท่านเข้าใจผิดแล้ว ! ”
“วันนี้พวกเราสามคนไปพบท่านเย่มา เพราะดื่มมากไปหน่อยจึงทำให้รู้สึกมึนเมา และชนกับภรรยาของท่านเข้าโดยมิได้ตั้งใจ ขอท่านอย่าได้ถือสาเลยนะ”
‘ท่านเย่ ? ’
ได้ยินเช่นนั้นคนขายเนื้อซุนและเปาต้าเหมยก็มีท่าทีอ่อนลงในทันที ก่อนจะเผยรอยยิ้มซื่อ ๆ ออกมา
“ที่แท้พวกท่านก็เป็นแขกของท่านเย่นี่เอง ! ”
เปาต้าเหมยยิ้มออกมาด้วยความโล่งใจ ก่อนจะรีบเข้าไปประคองหนานกงเสวียนจีให้ลุกขึ้น
หนานกงเสวียนจีถึงกับนิ่งอึ้งไปเล็กน้อย ก่อนจะรีบพยักหน้ารับ “พวกข้าเพิ่งออกมาจากเรือนของท่านเย่จริง ๆ ”
“พวกท่านเป็นแขกของท่านเย่ก็น่าจะรีบบอกตั้งแต่แรกนี่นา”
เปาต้าเหมยยื่นมือไปตบลงบนไหล่ที่ค่อนข้างบางของหนานกงเสวียนจี ก่อนจะเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “พวกเจ้าคงยังมิรู้กระมัง”
“ท่านเย่นั้นสนิทกับข้าราวกับครอบครัวเดียวกัน หากเจ้ารีบบอกแต่แรกว่าเจ้ารู้จักกับท่านเย่ พวกเราจะเข้าใจผิดกันเช่นนี้หรือ”
ตอนนั้นเอง
“เอาเยี่ยงนี้ก็แล้วกัน”
คนขายเนื้อซุนเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ในเมื่อเป็นเพียงเรื่องเข้าใจผิดกัน พวกเรามานั่งดื่มกันอีกสักจอก ท่านเย่มักจะกล่าวว่าความแค้นเคืองพึงละ มิพึงผูก คงจะเป็นเช่นนี้กระมัง”
น้อยนักที่เปาต้าเหมยจะเอ่ยอย่างใจกว้าง “ใช่แล้ว ในเมื่อเป็นแขกของท่านเย่ เช่นนั้นก็ถือว่าเป็นแขกของเราด้วย”
เมื่อเห็นทั้งสองคนมีท่าทางเปลี่ยนไปราวกับหน้ามือเป็นหลังมือเช่นนี้
พวกหนานกงเสวียนจีก็ถึงกับตะลึงงันไปทันใด
“น้ำใจของพวกท่านทั้งสอง พวกเราขอรับเอาไว้ด้วยใจ แต่ว่าวันนี้พวกเราจำเป็นต้องรีบกลับ จึงมิขอรบกวนดีกว่า”
ซีเหมินเหลยหู่ประสานมือขึ้น พลางเอ่ยปฏิเสธอย่างนุ่มนวล
เมื่อเห็นทั้งสามคนมีกลิ่นสุราคละคลุ้ง ใบหน้าแดงก่ำ
เปาต้าเหมยและคนขายเนื้อซุนจึงสบตากันเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนั้นก็เอาไว้ครั้งหน้าก็แล้วกัน”
“อืม ๆ คราหน้าก็แล้วกัน ! ”
จากนั้นเปาต้าเหมยและคนขายเนื้อซุนก็ได้ยืนส่งทั้งสามคน
จนในที่สุดพวกซีเหมินเหลยหู่ก็เดินออกมาจากเมืองเสี่ยวฉือได้สำเร็จ
“คนเมืองเสี่ยวฉือแห่งนี้ล้วนแต่ได้รับความเมตตาจากท่านเย่จริง ๆ ด้วย”
เมื่อออกมาถึงด้านนอกของเมืองเสี่ยวฉือ
ซีเหมินเหลยหู่ก็ทอดถอนใจออกมา พลางหันกลับไปมองอีกครั้งอย่างอดมิได้
หนานกงเสวียนจีจึงพยักหน้ารับ พร้อมกับเอ่ยว่า “ข้าคิดว่ามีบางอย่างที่บางทีพวกเราอาจจะเข้าใจผิดไป”
ซือถูเจิ้นผิงขมวดคิ้วเบา ๆ ก่อนจะเอ่ยกับหนานกงเสวียนจีด้วยสีหน้าจริงจัง “พี่หนานกงหมายความเช่นไรงั้นหรือ ? ”
จากนั้นหนานกงเสวียนจีก็ได้เอ่ยประโยค ที่ทำให้ทุกคนต้องตกใจออกมา “ชาวเมืองเสี่ยวฉือเหล่านี้ให้ความเคารพผู้อาวุโสเย่ถึงเพียงนี้ เช่นนั้นข้ามองว่าพวกเขาเหมือนเป็นเซียนที่คอยติดตามผู้อาวุโสเย่เสียมากกว่า”
ซีเหมินเหลยหู่นิ่งอยู่สักพัก ก็ได้เอ่ยขึ้นอย่างใช้ความคิดว่า “มีความเป็นไปได้ เยี่ยงไรเสียทั้งหมดนี้ล้วนแต่เป็นเพียงการคาดเดาของพวกเราเท่านั้น”
ตอนนั้นเอง
“เชื่อว่าสักวันความจริงทั้งหมด คงจะเปิดเผยออกมาให้ทุกคนรับรู้เป็นแน่”
ซือถูเจิ้นผิงถอนหายใจออกมา จากนั้นจึงประสานมือคารวะแก่ซีเหมินเหลยหู่ “ผู้อาวุโสซีเหมิน ตอนนี้ก็ดึกมากแล้วพวกเราลากันตรงนี้ก็แล้วกันนะขอรับ”
ซีเหมินเหลยหู่พยักหน้า พลางประสานมือคาราวะตอบ “อืม หากมีวาสนาต่อกันคงได้พบกันอีก”
หนานกงเสวียนจี “ผู้อาวุโสซีเหมิน ลาก่อน”
สิ้นเสียงทั้งสามคนก็แปลงเป็นลำแสงสามสายทะยานขึ้นไปบนฟ้า
สองสายอ้อมท้องฟ้าของเมืองเสี่ยวฉือมุ่งหน้าไปทางดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน อีกสายหนึ่งเหาะไปทางใต้ของจงหยวน
จากนั้นเมื่อเวลาผ่านไปเกือบหนึ่งชั่วยาม
ซีเหมินเหลยหู่ก็ได้ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งยังที่แห่งหนึ่งที่เต็มไปด้วยสิ่งก่อสร้างโบราณมากมาย มีสัญลักษณ์โบราณปรากฏขึ้นรอบ ๆ สถานที่โบราณที่มีแสงเปล่งประกายขึ้นริบหรี่
เห็นได้ชัดว่าที่นี่ก็คือหนึ่งในสี่ตระกูลผู้พิทักษ์โบราณ
เป็นที่ตั้งของตระกูลโบราณซีเหมิน
มินานหลังจากซีเหมินเหลยหู่ก้าวข้ามค่ายกลที่ปกคลุมตระกูลเอาไว้
คนในตระกูลที่เฝ้าอยู่ตามที่ต่าง ๆ ของค่ายกล ต่างก็มีสีหน้าตื่นตระหนกก่อนจะคุกเข่าลงกับพื้นทันที
“ผู้น้อยขอต้อนรับที่ท่านบรรพบุรุษกลับมาขอรับ ! ”
ทันใดนั้นเสียงอันดังกังวานราวกับเสียงอสนีบาต พลันกึกก้องไปทั่วทั้งบริเวณ
ผ่านไปมิกี่อึดใจ
บุรุษวัยกลางคนที่สวมชุดคลุมสีม่วงผู้หนึ่ง ก็ได้เดินนำคนในตระกูลที่สวมอาภรณ์หรูหราและมีท่าทางโดดเด่นหลายคนออกมา
“ผู้น้อยขอต้อนรับที่ท่านบรรพบุรุษกลับมาขอรับ ! ”
บุรุษวัยกลางคนที่สวมชุดคลุมสีม่วงคุกเข่าลงทันที ผู้คนที่อยู่ทางด้านหลังเอง ต่างก็คุกเข่าลงตามอย่างมิกล้าชักช้า
“ซีเหมินไคฉี ก่อนหน้านี้เจ้าส่งสัญญาณถึงข้าด้วยเหตุใดกัน ? ”
ซีเหมินเหลยหู่เหาะขึ้นกลางอากาศก่อนจะหยุดลงตรงหน้าบุรุษวัยกลางคนที่สวมชุดคลุมสีม่วง พร้อมเอ่ยเสียงเรียบขณะมองลงมา
เห็นได้ชัดว่าบุรุษวัยกลางคนที่สวมชุดคลุมสีม่วงผู้นี้ ก็คือหัวหน้าตระกูลโบราณซีเหมินคนปัจจุบัน !
ซีเหมินไคฉี !
ซีเหมินไคฉีได้ยินเช่นนั้นก็ขมวดคิ้วมุ่น พลางเงยหน้าขึ้น “ท่านบรรพบุรุษ บรรพบุรุษของแคว้นกู่เฉินต้องการพบท่านขอรับ”
“เฉินฉีหลู่ ? ”
ดวงตาของซีเหมินเหลยหู่พลันเปล่งประกายบางอย่างออกมา พร้อมกับถามด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “เขามาทำไม ? ”
ซีเหมินไคฉีราวกับสัมผัสได้ถึงบางอย่าง จึงลอบกลืนน้ำลายลงคออย่างอดมิได้
“เรียนท่านบรรพบุรุษ ยี่สิบปี่ก่อนเพื่อปรุงยาวิเศษขั้นเจ็ด 1 เม็ด แคว้นกู่เฉินเคยมอบยาวิญญาณให้เม็ดหนึ่งขอรับ”
ซีเหมินไคฉีชำเลืองมองซีเหมินเหลยหู่ ก่อนเอ่ยต่ออย่างระมัดระวังว่า “ตอนนั้นข้าได้สัญญากับเฉินฉีหลู่ว่าตระกูลโบราณซีเหมินของเราติดหนี้พวกเขาหนึ่งคราขอรับ”
“บัดนี้แคว้นต้าเยี่ยนและแคว้นต้าเซี่ยร่วมมือกันโจมตีแคว้นกู่เฉิน แคว้นกู่เฉินจึงพ่ายแพ้ต่อเนื่องหลายครา เช่นนั้นพวกเขาจึงต้องการเชิญให้ตระกูลซีเหมินของเราออกหน้า เพื่อขัดขวางสงครามในครานี้ขอรับ”
“ซีเหมินไคฉี เจ้าช่างทำงามหน้าจริง ๆ ! ”
ซีเหมินเหลยหู่ตำหนิเสียงเข้ม “บรรพบุรุษของสี่ตระกูลผู้พิทักษ์โบราณได้กล่าวเอาไว้ อย่าว่าแต่เรื่องของโลกมนุษย์ แม้แต่โลกบำเพ็ญเพียร ตระกูลผู้พิทักษ์โบราณทั้งสี่ของเราก็มิควรยื่นมือเข้าไปยุ่ง”
ซีเหมินไคฉีมีสีหน้าตื่นตระหนกขึ้นมาทันที พลันก้มหน้าลงกับพื้นมิกล้าเอ่ยสิ่งใดออกมาอีก
หลังจากนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ซีเหมินเหลยหู่ก็เอ่ยขึ้นอีกครั้งว่า “เอาเยี่ยงนี้ เจ้าให้เฉินฉีหลู่ไปพบข้าที่ตำหนักใหญ่ก็แล้วกัน”
สิ้นเสียงซีเหมินเหลยหู่ก็หายไปกลางอากาศ
เวลาผ่านไปหนึ่งก้านธูป
ภายในตำหนักโบราณหลังหนึ่งของตระกูลซีเหมิน
ซีเหมินไคฉีได้พาผู้เฒ่ารูปร่างผอมแห้ง ท่าทางดุดันผู้หนึ่งมายังกลางตำหนัก
ด้านบนของตำหนัก
ซีเหมินเหลยหู่นั่งรออยู่แล้วด้วยท่าทางนิ่งสงบ
“ผู้น้อยเฉินฉีหลู่คาราวะผู้อาวุโสซีเหมิน”
ผู้เฒ่าผู้นั้นชำเลืองมองซีเหมินเหลยหู่ที่นั่งอยู่ด้านบน ก่อนจะโค้งคำนับให้
ได้ยินเช่นนั้นซีเหมินเหลยหู่ที่ตาหลับลงทั้งสองข้างพลันลืมตาขึ้น พลังมหาศาลดวงหนึ่งก็แผ่ออกมาภายในพริบตา
“เฉินฉีหลู่ ข้ามิอยากจะพูดจาไร้สาระกับเจ้าให้มากความ”
ซีเหมินเหลยหู่มองเฉินฉีหลู่ที่ก้มหน้าอยู่ด้วยสายตาเย็นเยียบ พลางเอ่ยอย่างไร้ซึ่งความเกรงใจว่า “บรรพบุรุษของตระกูลข้าได้กล่าวไว้ว่า ห้ามมิให้ยื่นมือเข้าไปยุ่งเรื่องของผู้บำเพ็ญเพียร แล้วยิ่งห้ามมิให้ยื่นมือเข้าไปยุ่งเรื่องทางโลก เจ้ารู้เรื่องนี้หรือไม่ ? ”
เฉินฉีหลู่นิ่งเงียบไป ก่อนจะเอ่ยรับว่า “ผู้น้อยทราบขอรับ”
ซีเหมินเหลยหู่แค่นเสียงเย็นออกมา “ในเมื่อเจ้าทราบเหตุใดยังให้ตระกูลซีเหมินของข้า ยื่นมือเข้าไปยุ่งเรื่องแคว้นกู่เฉินของเจ้าอีกเล่า ? ”
เฉินฉีหลู่ค่อย ๆ เงยหน้าขึ้น เอ่ยกับซีเหมินเหลยหู่ที่มีท่าทางเย็นชาว่า “เรียนผู้อาวุโสซีเหมิน ผู้น้อยมีสาส์นฉบับหนึ่งของจักรพรรดิไร้ราตรี ขอผู้อาวุโสได้โปรดอ่านก่อนขอรับ”
สิ้นเสียงเฉินฉีหลู่ก็เพ่งสมาธิ หยิบสาส์นฉบับหนึ่งที่มีสัญลักษณ์โบราณลอยวนอยู่ออกมาจากแหวนเก็บสมบัติ
เมื่อสัมผัสได้ถึงไอพลังไร้เทียมทานที่แผ่ออกมาจากสาส์น
ซีเหมินเหลยหู่พลันหรี่ตาลง พร้อมกับมีสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย
วินาทีต่อมาเขาก็ได้เพ่งสมาธิ
ก่อนที่สาส์นในมือของเฉินฉีหลู่จะลอยขึ้น จากนั้นก็ค่อย ๆ เปิดออก
ทันใดนั้นไอพลังแห่งความเป็นมงคลจำนวนมหาศาลก็พวยพุ่งออกมา ลำแสงอันเจิดจ้าหลากหลายชนิดก็ได้เรืองแสงออกมา ช่างลึกลับน่าค้นหายิ่งนัก
มินานอักษรโบราณสีทองแถวหนึ่งก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศ
ผู้ที่ครอบครองสาส์นนี้ สามารถไปขอการคุ้มครองที่เขาไร้ราตรีได้ !