เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน - ตอนที่ 276 ใบหน้าของท่านดูหมองคล้ำ
ตอนที่ 276 ใบหน้าของท่านดูหมองคล้ำ
ร่างของซีเหมินเหลยหู่สั่นเทาเล็กน้อย
มินานด้านหลังของเขาก็ปรากฏแสงสีทองสว่างไสวสายหนึ่งออกมา โดยมีแสงอันบริสุทธิ์ล้อมรอบอยู่
ราวกับมีความเชื่อมโยงที่ลึกลับบางอย่างกับเขา
ทว่าพอเวลาผ่านไปเพียงชั่วอึดใจ
แสงที่ดูบริสุทธิ์นั้น กลับค่อย ๆ ถูกไอดำจาง ๆ เข้าปกคลุมอย่างมิทราบสาเหตุ ช่างดูชั่วร้ายยิ่งนัก
“คาดมิถึงว่าแคว้นธรรมดาแคว้นหนึ่ง จะได้รับประทานสาส์นจากบุคคลที่ไร้เทียมทานเช่นนี้ ช่างน่าประหลาดใจยิ่งนัก”
“แต่ก็ช่างเถอะ เพื่อสาส์นฉบับนี้ ข้าจะยอมไปโลกมนุษย์ดูสักครา”
ซีเหมินเหลยหู่เก็บสาส์นของจักรพรรดิไร้ราตรีเรียบร้อยแล้วก็ได้ลุกขึ้นยืน
มิกี่วันผ่านไป
ซีเหมินเหลยหู่ก็ได้ปรากฏตัวขึ้น ยังด้านนอกเมืองหลวงแห่งแคว้นต้าเยี่ยน
เขายังคงสวมเสื้อผ้าป่าน ท่าทางราวกับชาวนาแก่ ๆ คนหนึ่ง ขณะเดินอยู่บนทางเข้าเมือง
ตอนนั้นเองราวกับเขาสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง เขาจึงชะงักฝีเท้าลงพลางเงยหน้าขึ้นมองไปบนท้องฟ้าของเมืองหลวง
“ไอสีม่วงลอยอบอวล แสงทองปรากฏ คาดมิถึงว่าเมืองหลวงเล็ก ๆ แห่งนี้ จะถูกสภาพอากาศเช่นนี้ปกคลุมไว้ได้”
“ตอนนี้ดูท่าต่อให้ข้าจะสามารถยับยั้งสงครามในครานี้ได้ ร้อยปีให้หลังแคว้นต้าเยี่ยนก็คงรวมจงหยวนให้เป็นหนึ่ง และก่อตั้งราชวงศ์แรกขึ้นมาได้สำเร็จอยู่ดี”
ซีเหมินเหลยหู่ทอดถอนใจออกมา ภายใต้ใบหน้าสงบนิ่ง
ทันทีที่สิ้นเสียงซีเหมินเหลยหู่ก็ก้าวไปข้างหน้า ร่างทั้งร่างพลันค่อย ๆ เลือนลางลง
จากนั้นเขาก็ได้ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งที่ด้านล่างของเขาตะวันออก ที่ตั้งอยู่ภายในเมืองหลวงราวกับภูติผีก็มิปาน
แต่ว่าเวลานี้ท่าทางของเขากลับดูเคร่งเครียดยิ่งนัก สายตาจับจ้องไปยังอารามที่อยู่ทางด้านบนของเขาตะวันออก
“อารามฉางชิงงั้นหรือ ? ”
“ไอพลังที่เต็มไปด้วยความมงคลเช่นนี้ หรือว่าไอพลังที่แข็งแกร่งของแคว้นต้าเยี่ยนจะมาจากอารามหลังนี้เยี่ยงนั้นหรือ ? ”
ซีเหมินเหลยหู่พึมพำขึ้นมาด้วยสีหน้าสงสัย “แล้วอารามแห่งนี้เคารพสักการะผู้ใดกัน ถึงสามารถส่งเสริมดวงชะตาของแคว้นได้ถึงเพียงนี้ ? ”
“คงมิใช่เพราะอารามหลังนี้ แต่น่าจะเป็นเพราะค่ายกลที่วางเอาไว้รอบ ๆ เขาลูกนี้ต่างหาก จึงทำให้เกิดปรากฏการณ์ที่น่าตกตะลึงเช่นนี้ได้”
ในตอนนั้นเองชายชราที่แต่งกายด้วยชุดธรรมดาผู้หนึ่งก็ได้แบกหลานสาวที่กำลังหลับสนิท เดินออกมาจากด้านในของประตูบานใหญ่
เมื่อชายชราเห็นซีเหมินเหลยหู่ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ก็เดินเข้ามาหาพร้อมรอยยิ้ม
“พี่ชายท่านนี้ คงมาที่นี่เป็นคราแรกสินะ ? ”
ซีเหมินเหลยหู่ได้ยินเช่นนั้นก็นิ่งงันไป ก่อนจะได้สติขึ้นมา
วินาทีต่อมาซีเหมินเหลยหู่จึงได้พยักหน้ายอมรับ ก่อนจะเอ่ยถามขึ้นว่า “มิทราบว่าภายในอารามฉางชิงแห่งนี้ สักการะเทพองค์ใดเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“ภายในอารามฉางชิงก็ย่อมสักการะท่านเทพฉางชิงน่ะสิ”
ชายชราเอ่ยขึ้นอย่างอ่อนโยนและจริงใจว่า “พี่ชาย ในเมื่อท่านเพิ่งมาที่นี่เป็นคราแรก เช่นนั้นข้าจะเล่าเรื่องท่านเทพฉางชิงที่ลงมาท่องยังโลกมนุษย์ท่านนี้ให้ฟังก็แล้วกัน”
ซีเหมินเหลยหู่ลังเลเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้าเป็นการตกลง
ความจริงแล้วเขามิเคยเชื่อเรื่องการสักการะเทพของมนุษย์พวกนี้
แต่เพราะเรื่องที่เขาได้ประสบพบเจอในช่วงที่ผ่านมา ล้วนมีแต่เรื่องแปลกประหลาด
ทั้งเหล่ายอดฝีมือที่พำนักอยู่ในเมืองที่ห่างไกลอย่างเมืองเสี่ยวฉือ
ทั้งเรื่องที่เฉินฉีหลู่ บรรพบุรุษของแคว้นกู่เฉิน นำสาส์นจากจักรพรรดิไร้ราตรีมามอบให้เขา
มาบัดนี้แคว้นต้าเยี่ยนแห่งนี้ยังได้รับการส่งเสริมดวงชะตาเมืองจากอารามแห่งนี้อีกด้วย
ด้วยเหตุผลเหล่านี้จึงทำให้เขาอดสงสัยมิได้ว่า มันเกิดอะไรขึ้นกับยุคนี้กันแน่
อีกทั้งชายชราผู้นี้ยังบอกอีกว่า ภายในอารามฉางชิงได้สักการะเทพที่ลงมาท่องยังโลกมนุษย์อีกด้วย
‘เทพที่ลงมาท่องยังโลกมนุษย์ ? ’
‘หรือว่าชายชราผู้นี้จะเคยพบเห็นมาแล้ว ? ’
ซีเหมินเหลยหู่คิดได้เช่นนั้นก็เอ่ยถามชายชราขึ้นว่า “หรือว่าท่านเคยเห็นท่านเทพฉางชิงท่านนี้ด้วยตาตัวเองมาแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“ถูกแล้ว ! ”
ชายชรายิ้มออกมาอย่างมีความสุข พลางลูบหนวดของตนไปด้วย “นอกจากนี้ท่านเทพฉางชิงยังได้ประทานพรต่อหน้าพวกข้าด้วยนะ”
“ดูอย่างหลานสาวของข้าสิ นางร่างกายอ่อนแอมาตั้งแต่เล็ก หลังจากที่ท่านเทพฉางชิงประทานพรให้ ร่างกายของนางก็ค่อย ๆ ดีขึ้น”
“มิเพียงเท่านั้นนะ หลังจากที่ท่านเทพฉางชิงประทานพรให้ ผู้ที่เลื่อมใสศรัทธาท่านเทพฉางชิงในเมืองหลวง หากหมั่นเอ่ยนามของท่านเทพฉางชิงก็ล้วนแต่ได้รับพรไปตาม ๆ กัน…”
เวลาผ่านไปประมาณหนึ่งก้านธูป
ชายชราก็เล่าเรื่องที่ได้เห็นและได้ยินมาก่อนหน้านี้ ให้ซีเหมินเหลยหู่ฟังจนเกือบหมด
สุดท้ายชายชราก็ได้พิจารณาซีเหมินเหลยหู่เล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “พี่ชายท่านนี้ ใบหน้าของท่านดูหมองคล้ำนะ เกรงว่าดวงกำลังตกกระมัง”
“ห๊ะ ! ”
ซีเหมินเหลยหู่ผงะไปเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มเย็นชาออกมา
เขามีตบะบารมีระดับมหายาน ร่างกายหาได้เหมือนปุถุชนธรรมดาไม่
เรื่องดวงพวกนั้น สำหรับเขาแล้วเป็นเพียงเรื่องไร้สาระก็เท่านั้น
ตอนนั้นเอง
“แต่ว่าท่านมิต้องกังวลไป”
ชายชราเอ่ยต่อ “บัดนี้ภายในแคว้นต้าเยี่ยนของเรา มิว่าจะเมืองน้อยใหญ่ล้วนแล้วแต่มีอารามฉางชิงตั้งอยู่ทั้งสิ้น ขอเพียงท่านไปสักการะ สิ่งมิดีเหล่านี้ย่อมมลายหายไปเอง”
“ท่านจะเอ่ยนามท่านเทพฉางชิงบ่อย ๆ ด้วยก็ได้ เชื่อว่าจะช่วยได้มากอย่างแน่นอน”
ซีเหมินเหลยหู่ส่ายหน้ายิ้ม ๆ แล้วเหลือบมองอารามฉางชิงด้านบนของเขาตะวันออก ก่อนจะหมุนตัวจากไป
หากก่อนหน้านี้เขามิได้พบชายชราผู้นั้น
บางทีเขาอาจจะไปยังอารามฉางชิงสักครั้ง ด้วยความอยากรู้อยากเห็นก็เป็นได้
แต่หลังจากที่ได้ฟังคำโอ้อวดของชายชราแล้ว
เขามองว่าหากมิมีสิ่งใดผิดพลาด ท่านเทพฉางชิงที่สักการะอยู่ภายในอารามฉางชิงอะไรนั่น คงจะเป็นผู้บำเพ็ญเพียรที่มิได้มีระดับสูงมากนัก แต่เก่งในเรื่องการใช้ค่ายกลสร้างภาพมายาก็เท่านั้น
ส่วนไอพลังที่เป็นมงคงที่ลอยอยู่ด้านล่างอารามฉางชิงนั้น จะต้องมาจากค่ายกลบางอย่างเป็นแน่
เช่นนี้กลับทำให้เขารู้สึกเอือมระอาอารามฉางชิงแห่งนี้แทน
‘แม้ยุคนี้จะเกิดการเปลี่ยนแปลงไปหลายอย่าง แต่คงมิถึงขั้นจะพบยอดฝีมือเช่นผู้อาวุโสเย่ได้ในทุก ๆ ที่หรอกกระมัง ? ’
‘ช่างน่าขัน ! ’
ซีเหมินเหลยหู่มุมปากเหยียดยิ้มออกมา ก่อนจะเดินไปตามถนนที่คราคร่ำไปด้วยผู้คนอย่างมิรีบร้อน
เวลาผ่านไปเกือบหนึ่งก้านธูป
ระหว่างที่ซีเหมินเหลยหู่เดินผ่านร้านค้าแห่งหนึ่ง ก็บังเอิญเหลือบไปเห็นกระจกทองแดงบานหนึ่ง
ขณะที่เห็นร่างของตนสะท้อนกับกระจกเข้าโดยมิได้ตั้งใจนั้น
เขาก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที ท่าทางของเขาเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก
‘นี่มัน ! ’
นี่มัน ! ’
‘นี่มันอะไรกัน ? ’
‘เหตุใดบนหน้าผากของข้าจู่ ๆ ถึงมีไอดำจาง ๆ ปกคลุมเอาไว้เช่นนี้ได้ ? ’
‘วันนี้ขณะออกมาจากตระกูล ข้ายังส่องกระจกด้วยความเคยชินอยู่เลย และตอนนั้นก็มิได้มีความผิดปกติใด ๆ นี่นา’
‘ยิ่งไปกว่านั้นข้าก็มีตบะบารมีระดับมหายานแล้ว ทั้งยังเคยผ่านการบั่นทอนตบะบารมีของตนเองมาแล้วคราหนึ่ง’
‘ด้วยกายเนื้อและจิตวิญญาณของข้า ย่อมมิยอมให้ร่างกายของตนปรากฏนิมิตเช่นนี้ขึ้นอยู่แล้ว’
‘มิใช่ ! ’
‘มิใช่ ! ’
‘หากมิมีสิ่งใดผิดพลาด ช่วงนี้ข้าคงไปแปดเปื้อนกรรมบางอย่างมาเป็นแน่’
‘เมื่อครู่ข้าได้หยุดอยู่ที่ด้านล่างเขาตะวันออกพักใหญ่ และได้รับไอพลังที่สงบเยือกเย็นไหลเวียนเข้ามา จึงทำให้ผลกรรมปรากฏขึ้นเช่นนี้’
‘ใช่แล้ว ! ’
‘ต้องเป็นเช่นนี้แน่ ! ’
‘ถ้าเช่นนั้นปัญหาก็คือ ! ’
‘กรรมนี้มาจากที่ใดกัน ? ’
‘เทพที่สักการะอยู่ภายในอารามฉางชิงเป็นเทพองค์ใดกัน ? ’
‘หรือว่าจะเป็นเทพที่ลงมาท่องโลกมนุษย์จริง ๆ ? ’
‘มิใช่หรอกกระมัง ! ’
‘ยุคนี้มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ! ’
ซีเหมินเหลยหู่คิดเช่นนั้นแล้วก็มองร่างของตนที่สะท้อนภายในกระจก พลางเอ่ยอย่างครุ่นคิดว่า “ในเมื่อฮ่องเต้แห่งแคว้นต้าเยี่ยนเป็นคนสั่งให้ทั้งแคว้นสร้างอารามฉางชิงขึ้น ย่อมแสดงว่าราชวงศ์ต้าเยี่ยนจะต้องมีความสัมพันธ์บางอย่างกับท่านเทพฉางชิงผู้นี้อย่างแน่นอน”
“เช่นนี้แล้ว ขอเพียงได้พบกับคนของราชวงศ์ ก็จะสามารถได้รู้เรื่องราวท่านเทพฉางชิงผู้นี้ละเอียดมากขึ้นสินะ’’
ทันใดนั้นซีเหมินเหลยหู่ก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาอย่างมิทราบสาเหตุ
ในตอนนั้นเองชายหนุ่มเจ้าของร้านก็ได้มองมาที่ซีเหมินเหลยหู่ พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “ท่านผู้เฒ่า ใบหน้าของท่านดูหมองคล้ำนะขอรับ”
“แต่ว่ามิเป็นไร กระจกทองแดงบานนี้ของข้าได้ทำการปลุกเสกมาจากอารามฉางชิง นับว่าเป็นของดีสำหรับท่านเลยก็ว่าได้”
ซีเหมินเหลยหู่ได้ยินเช่นนั้นก็ส่ายหน้ายิ้ม ๆ ก่อนจะหมุนตัวเดินจากไป