เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน - ตอนที่ 277 เป็นหมากได้ ก็ถูกทอดทิ้งได้
ตอนที่ 277 เป็นหมากได้ ก็ถูกทอดทิ้งได้
เวลานี้เมื่อซีเหมินเหลยหู่ได้ยินคนพูดว่าใบหน้าของเขาหมองคล้ำหลายครั้งเข้า ก็เกิดความรู้สึกเอือมระอาและเริ่มรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาน้อย ๆ
มิหนำซ้ำคนเหล่านี้ยังเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดา ที่ต่ำต้อยราวกับมดปลวกเท่านั้น
แน่นอนว่าการเป็นบรรพบุรุษของตระกูลซีเหมิน หนึ่งในสี่ตระกูลโบราณ
และเป็นผู้ที่เคยบั่นทอนตบะบารมีของตนเองมาแล้ว
ต่อให้เป็นเหล่าผู้แข็งแกร่งในโลกบำเพ็ญเพียรในยุคนี้เขาก็หาได้แยแสไม่
ซีเหมินเหลยหู่ย่อมมิใส่ใจกับมนุษย์ธรรมดาเช่นนี้อยู่แล้ว
ขณะเดียวกันเขารู้ดีว่า
เรื่องสำคัญในตอนนี้ก็คือการหาว่าเหตุใดเขาถึงได้แปดเปื้อนกรรมนี้ได้ ?
กรรมนี้มันเรื่องอะไรกันแน่ !
และที่สำคัญที่สุดก็คือ
กรรมนี้ช่างน่ากลัวยิ่งนัก มิเช่นนั้นด้วยร่างกายและจิตวิญญาณที่แข็งแกร่งของเขาแล้ว กรรมนี้จะสำแดงขึ้นมาให้เห็นชัดเจนได้เยี่ยงไรกัน ?
ซีเหมินเหลยหู่ครุ่นคิดไปพลาง ขณะเดินไปทางวังหลวงของแคว้นต้าเยี่ยน
เวลาผ่านไปเกือบครึ่งชั่วยาม
บัดนี้ซีเหมินเหลยหู่ก็ได้มาถึงหน้าประตูเมืองชั้นใน ที่มีการป้องกันอย่างแน่นหนาเรียบร้อยแล้ว
ตอนนั้นเองเขาก็ได้เพ่งกระแสจิตออกไป
มิกี่อึดใจ
ซีเหมินเหลยหู่ก็ได้พบกับฮ่องเต้แห่งแคว้นต้าเยี่ยน เยี่ยนหยางเหนียน รวมทั้งบรรพบุรุษของราชวงศ์ต้าเยี่ยน เยี่ยนเทียนซาน
“ข้า ซีเหมินเหลยหู่จากตระกูลซีเหมิน มาวันนี้มีเรื่องต้องการจะปรึกษา”
ซีเหมินเหลยหู่ส่งกระแสจิตออกไป
วินาทีต่อมาเยี่ยนหยางเหนียนที่กำลังนั่งอ่านฎีกาอยู่ที่ห้องทรงอักษร รวมทั้งเยี่ยนเทียนซานที่กำลังบำเพ็ญเพียรอยู่นั้น พลันเงยหน้าขึ้นมา
‘ซีเหมินเหลยหู่ ? ’
‘ตระกูลซีเหมิน ! ’
‘ตระกูลโบราณที่ลึกลับและน่าเกรงกลัวพอ ๆ กับตระกูลมู่หรง ! ’
หลังสิ้นเสียงเวลาผ่านไปมิถึงหนึ่งก้านธูป
เยี่ยนหยางเหนียนที่อยู่ในชุดลายมังกรทอง และเยี่ยนเทียนซานที่อยู่ในชุดเรียบ ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าของซีเหมินเหลยหู่
“เยี่ยนหยางเหนียนคารวะผู้อาวุโส ! ”
เยี่ยนหยางเหนียนลอบพิจารณาซีเหมินเหลยหู่ที่อยู่ในชุดผ้าป่านเล็กน้อย พร้อมกับคารวะให้
เนื่องด้วยมิสามารถสัมผัสได้ถึงไอบำเพ็ญเพียรและคลื่นพลังปราณใด ๆ ของซีเหมินเหลยหู่ เยี่ยนเทียนซานจึงได้ทำการคารวะด้วยเช่นกัน
“ผู้น้อยเยี่ยนเทียนซานคารวะผู้อาวุโส”
ซีเหมินเหลยหู่มิได้แสดงสีหน้าใด ๆ ออกมา เพียงแค่พยักหน้ารับเท่านั้น
“ผู้อาวุโสซีเหมิน มิทราบว่าที่ท่านมาวันนี้มีเรื่องอันใดหรือขอรับ ? ”
หลังจากเงียบอยู่ครู่หนึ่ง เยี่ยนเทียนซานและเยี่ยนหยางเหนียนจึงสบตากัน ก่อนจะถามออกมา
ซีเหมินเหลยหู่ยกมุมปากเล็กน้อย พลางเอ่ยกระเซ้าว่า “พวกเจ้าคิดจะคุยกับข้าตรงนี้งั้นหรือ ? ”
“หืม ? ! ”
เยี่ยนหยางเหนียนและเยี่ยนเทียนซานมีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที ก่อนจะเอ่ยเชิญขึ้นพร้อม ๆ กัน “ผู้อาวุโสซีเหมินเชิญขอรับ”
ซีเหมินเหลยหู่พยักหน้าให้ ก่อนจะเดินผ่านประตูเมืองชั้นในตามเยี่ยนหยางเหนียนและเยี่ยนเทียนซานเข้าไปสู่วังหลวง
เวลาผ่านไปหนึ่งก้านธูป
เยี่ยนหยางเหนียนและเยี่ยนเทียนซานก็ได้พาซีเหมินเหลยหู่ มายังภายในตำหนักที่อบอวลไปด้วยกลิ่นไม้จันทน์ และตกแต่งอย่างเรียบง่ายสวยงามหลังหนึ่ง
“พวกเจ้ามิต้องกังวลไปหรอก ที่ข้ามาในวันนี้เพราะได้รับการไหว้วานมาจากคนผู้หนึ่ง จึงมีเรื่องที่ต้องปรึกษากับพวกเจ้า”
ซีเหมินเหลยหู่นั่งลงบนเก้าอี้ไม้โบราณตัวหนึ่ง พร้อมกับกวาดสายตามองเยี่ยนหยางเหนียนและเยี่ยนเทียนซานที่มีท่าทีเป็นกังวล พลางเอ่ยขึ้นมา
เยี่ยนเทียนซานที่นั่งฝั่งตรงข้ามกับซีเหมินเหลยหู่ จึงเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มว่า “ผู้อาวุโสซีเหมิน มิทราบว่าท่านได้รับการไหว้วานมาจากผู้ใด และมีเรื่องอันใดหรือขอรับ ? ”
“เฉินฉีหลู่ ! ”
“คนผู้นี้พวกเจ้าคงเคยได้ยินชื่อมาบ้างกระมัง”
ซีเหมินเหลยหู่เอ่ยขึ้นอย่างมิอ้อมค้อม เริ่มจากเอ่ยชื่อบรรพบุรุษของแคว้นกู่เฉินขึ้นมาก่อน จากนั้นก็จึงเอ่ยตรง ๆ ว่า
“ตอนนี้จุดประสงค์ของข้าคืออะไร เกรงว่าพวกเจ้าก็คงจะพอจะเดาได้แล้ว”
“ถูกต้อง ข้าต้องการจะมายับยั้งสงครามระหว่างพวกเจ้าทั้งสามแคว้นมิให้เกิดขึ้น อยากให้พวกเจ้าถือเสียว่าเห็นแก่หน้าข้า เห็นแก่หน้าตระกูลซีเหมิน ภายในร้อยปีนี้ห้ามก่อสงครามใด ๆ ขึ้นเป็นอันขาด”
หลังจากสิ้นเสียง
เยี่ยนเทียนซานและเยี่ยนหยางเหนียนก็มีสีหน้าที่มิสู้ดีขึ้นมาทันที
เพราะคำพูดที่เอ่ยออกมานั้นมิเหมือนคนต้องการมาปรึกษาเลยแม้แต่น้อย มิหนำซ้ำยังฟังเหมือนเป็นคำสั่งให้แคว้นต้าเยี่ยนต้องทำตามอย่างไรอย่างนั้น
อีกอย่างบัดนี้แคว้นต้าเยี่ยนและแคว้นต้าเซี่ยจับมือกันแล้ว เรียกได้ว่าบุกทะลวงเหมือนผ่าลำไผ่ จึงมิมีทางที่จะมิชนะ
และเกือบครึ่งปีมานี้ยังสามารถเอาชนะเมืองต่าง ๆ ของแคว้นกู่เฉินได้ถึงสิบกว่าเมืองแล้ว
บัดนี้จู่ ๆ ให้ถอยทัพกลับ ก็มิต่างอะไรกับการทำร้ายจิตใจของเหล่าทหารที่เสียสละเลือดเนื้อในสงคราม และราษฎรของแคว้นต้าเยี่ยนเลย
เช่นนี้รากฐานของแคว้นต้าเยี่ยนจะต้องสั่นคลอนเป็นแน่ !
และสิ่งสำคัญที่สุดก็คือ
ผู้อาวุโสเย่
เทพผู้ลงมายังโลกมนุษย์ท่านนั้นเคยบอกใบ้เอาไว้
การรวมจงหยวนเป็นหนึ่งถือเป็นการสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ และเป็นความหวังของราษฎรทั่วทั้งใต้หล้า
อีกทั้งตระกูลซีเหมินถือเป็นหนึ่งในตระกูลลับโบราณที่คอยปกป้องจงหยวน เดิมมิควรที่จะยื่นมือเข้ามายุ่ง หรือคอยขัดขวางทัดทานอำนาจ
แต่บัดนี้กลับยื่นมือเข้ามายุ่ง ถึงขนาดออกหน้าลุกขึ้นมาขัดขวางเช่นนี้
คิดถึงตรงนี้
“ท่านบรรพบุรุษ เรื่องนี้รับปากมิได้เด็ดขาดนะขอรับ”
เยี่ยนหยางเหนียนลอบส่งกระแสจิต “การหยุดสงครามกระทันหันเช่นนี้ ย่อมสั่นคลอนขวัญกำลังใจของทหารและราษฎรแคว้นต้าเยี่ยนมิมากก็น้อย ดีมิดีอาจถึงขั้นสั่นคลอนรากฐานของแคว้นต้าเยี่ยนได้เลยนะขอรับ”
“ที่สำคัญที่สุดก็คือนี่เป็นความประสงค์ของผู้อาวุโสเย่ หากถอยทัพกระทันหันแล้วทำให้เขามิพอใจขึ้นมา ถึงตอนนั้นแคว้นต้าเยี่ยนของเราจะต้องพบกับหายนะและพังพินาศเป็นแน่ ต่อให้จะสร้างอารามมากมายกว่านี้ขึ้นในแคว้นต้าเยี่ยนก็จะเปล่าประโยชน์นะขอรับ”
สิ้นเสียงเยี่ยนเทียนซานและเยี่ยนหยางเหนียนพลันส่งสายตาสื่อสารกัน จากนั้นจึงพยักหน้าน้อย ๆ
ถูกต้อง !
สิ่งที่เยี่ยนหยางเหนียนเป็นกังวล ก็คือเรื่องที่เยี่ยนเทียนซานกำลังกังวลอยู่เช่นกัน
เยี่ยงไรเสียแคว้นต้าเยี่ยนก็จะทำให้ผู้อาวุโสเย่ผิดหวังมิได้เด็ดขาด
เยี่ยนเทียนซานคิดได้เช่นนั้นจึงเอ่ยกับซีเหมินเหลยหู่ ด้วยท่าทางแน่วแน่ว่า “ผู้อาวุโสซีเหมิน เรื่องนี้มิอาจทำให้ได้ขอรับ”
ซีเหมินเหลยหู่ยังคงมีสีหน้าเรียบนิ่ง เพียงแค่ปรายตามองไปยังเยี่ยนหยางเหนียน ก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบว่า
“ข้ารู้ว่าเรื่องนี้พวกเจ้านั้นลำบากใจเพียงใด แต่ข้าขอรับปากว่าหากพวกเจ้ายอมตกลง ตระกูลซีเหมินของข้าจะมอบของตอบแทน ที่พวกเจ้าต้องพอใจให้อย่างแน่นอน”
ได้ยินเช่นนั้น
“ผู้อาวุโสซีเหมิน คิดว่าท่านก็คงทราบดีว่าการรวมจงหยวนเป็นหนึ่ง ถือเป็นการทำให้สิ่งต่าง ๆ เจริญก้าวหน้าขึ้น”
เยี่ยนเทียนซานส่ายหน้า พลางเอ่ยอย่างเคร่งขรึมว่า “ยังมิต้องพูดถึงว่าการถอยทัพในตอนนี้จะสั่นคลอนรากฐานของแคว้นต้าเยี่ยนของเราเพียงใด ทว่าที่สำคัญกว่าก็คือเวลานี้แคว้นต้าเยี่ยนของเราเองก็กำลังทำตามความประสงค์ของบุคคลที่ไร้เทียมทานท่านหนึ่งอยู่เช่นกัน”
“จะเรียกว่าแคว้นต้าเยี่ยนของเราเป็นเพียงหมากของผู้อาวุโสท่านนี้ หรือจะกล่าวอีกนัยหนึ่งว่า แคว้นต้าเยี่ยนของเรายอมเป็นหมาก และสามารถถูกทอดทิ้งได้เช่นกัน”
“ห๊ะ ! ”
ซีเหมินเหลยหู่มีสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย พร้อมกับเผยท่าทางเคร่งขรึมออกมาอย่างอดมิได้
เห็นได้ชัดว่าบรรพบุรุษของแคว้นต้าเยี่ยนผู้นี้ มิเพียงมิไว้หน้าเขาและตระกูลซีเหมิน แต่ยังได้แอบอ้างผู้แข็งแกร่งบางคนขึ้นมา เพื่อตอบโต้เขาอีกด้วย
‘หรือว่าจะเป็นท่านเทพที่ชายชราผู้นั้นเอ่ยถึงก่อนหน้านี้ ? ’
‘เทพผู้ลงมายังโลกมนุษย์ ? ’
คิดได้เช่นนั้นซีเหมินเหลยหู่จึงเอ่ยถามขึ้นตรง ๆ ว่า “ผู้อาวุโสที่ท่านเอ่ยถึง หรือว่าจะเป็นท่านเทพฉางชิงที่ตั้งให้สักการะอยู่ในอารามฉางชิงผู้นั้น เทพฉางชิงผู้ลงมายังโลกมนุษย์ ? ”
“ถูกต้องแล้ว คือท่านเทพฉางชิงจริง ๆ ขอรับ”
เยี่ยนเทียนซานเอ่ยด้วยท่าทางแน่วแน่ว่า “ตบะบารมีของผู้อาวุโสเย่ช่างสูงส่ง ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นเทพผู้มีสมบัติพิสุทธิ์ เทพฉางชิงผู้ลงมายังโลกมนุษย์…”
“ช้าก่อน ! ”
ซีเหมินเหลยหู่มีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที ก่อนจะเอ่ยขัดเยี่ยนเทียนซานขึ้นมาอย่างมิลังเล “มิทราบว่าผู้อาวุโสเย่ที่ท่านเอ่ยถึง มาจากที่ใดงั้นหรือ ? ”
เห็นได้ชัดเมื่อได้ยินคำเรียกขานว่าผู้อาวุโสเย่
ซีเหมินเหลยหู่ก็คิดถึงผู้อาวุโสเย่ซึ่งเร้นกายอยู่ที่เมืองเสี่ยวฉือขึ้นมาทันที
และต้องยอมรับว่าหากเป็นความประสงค์ของผู้อาวุโสเย่จริง เช่นนั้นเขาเองก็มิกล้าที่จะขัดขวางสงครามของพวกมนุษย์ในครั้งนี้เช่นกัน
เขารู้ดีว่าหากผู้อาวุโสเย่มิถือสาหาความก็แล้วไป แต่หากไปล่วงเกินผู้อาวุโสเย่เข้า อย่าว่าแต่เขาซีเหมินเหลยหู่เลย ต่อให้ตระกูลผู้พิทักษ์โบราณทั้งสี่ร่วมมือกันก็มิอาจต้านทานได้เป็นแน่
“สูด ! ”
คิดถึงตรงนี้ซีเหมินเหลยหู่ก็ต้องสูดหายใจเข้าเฮือกใหญ่ด้วยความหวาดหวั่น
ตอนนั้นเองแม้เยี่ยนเทียนซานจะมิทันสังเกตเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของซีเหมินเหลยหู่ แต่ก็ยังเอ่ยออกมาว่า “ผู้อาวุโสเย่ความจริงมาจากที่ใดนั้น ผู้น้อยเองก็มิทราบได้ แต่ว่าบัดนี้เขายังคงเร้นกายอยู่ที่เมืองห่างไกลเมืองหนึ่ง นามว่าเมืองเสี่ยวฉือขอรับ”
เมืองเสี่ยวฉือ !
ซีเหมินเหลยหู่ได้ยินเช่นนั้น ก็ต้องสูดหายใจเข้าเฮือกใหญ่ ด้วยความหวาดหวั่นอีกครั้ง