เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน - ตอนที่ 284 ท่านบรรพจารย์เย่อาจจะหลีกหนีจากโลกมนุษย์แล้วก็เป็นได้
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน
- ตอนที่ 284 ท่านบรรพจารย์เย่อาจจะหลีกหนีจากโลกมนุษย์แล้วก็เป็นได้
ตอนที่ 284 ท่านบรรพจารย์เย่อาจจะหลีกหนีจากโลกมนุษย์แล้วก็เป็นได้
วันนี้เอง หลวนชิงซู่ ผู้พิทักษ์ราตรีที่เฝ้าอยู่ทางเหนือของจงหยวนก็สัมผัสถึงความผิดปกติ ที่มาจากส่วนลึกของแดนรกร้างทางเหนือได้อย่างชัดเจนเช่นกัน
เห็นได้ชัดว่าสิ่งที่จะสามารถทำให้เกิดสัญญาณอันน่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ได้
คงมีเพียงจักรพรรดิมารตนนั้นฟื้นคืนขึ้นมาเท่านั้น จึงสามารถทำให้เกิดเรื่องเช่นนี้ได้
เช่นนั้นเขาในฐานะที่เป็นผู้พิทักษ์ราตรี
จึงมิรอช้ารีบหยิบยันต์ถ่ายทอดเสียงขึ้นมา เพื่อแจ้งข่าวอันน่าตกใจนี้ให้ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ต้าหลัวทราบโดยทันที
ภายในตำหนักโบราณหลังหนึ่ง
หลวนชิงซู่โค้งคำนับแล้วยืดตัวขึ้น ด้านหน้ามียันต์ถ่ายทอดเสียงที่เปล่งแสงระยิบระยับลอยเคว้งอยู่
“ท่านเจ้าสำนัก ทางเหนือเกิดการเปลี่ยนแปลง จักรพรรดิของฝ่ายมารตนนั้นคงสามารถออกมาภายนอกได้แล้วขอรับ”
“ศิษย์น้องหลวน เจ้าอย่าพึ่งร้อนรนไป มนุษย์เยี่ยงพวกเราก็มีจักรพรรดิเช่นกัน”
“จริงสิ แล้วมารตนอื่น ๆ ได้ปรากฏตัวรอบ ๆ ดินแดนทางเหนือบ้างหรือไม่ ? ”
“เรียนท่านเจ้าสำนัก ยังมิมีขอรับ แต่ว่าที่ยืนยันได้คือจักรพรรดิมารตนนั้นสามารถออกมาจากผนึกได้แล้ว พวกเราควรจะเตรียมตัวให้พร้อมจะดีกว่านะขอรับ”
“ข้าเข้าใจแล้ว ข้าจะส่งข่าวให้เจ้าสำนักต่าง ๆ มาปรึกษาหารือกันเดี๋ยวนี้”
อีกด้านหนึ่ง
หลังจากแสงบนยันต์ถ่ายทอดเสียงค่อย ๆ จางหายไป
เจ้าสำนักต้าหลัว หลัวชุนเฟิง ก็ได้เพ่งสมาธิ และนำยันต์ถ่ายทอดเสียงเก็บเข้าไปในแหวนเก็บสมบัติ
“บัดนี้จักรพรรดิตนนั้นได้ออกมาสู่โลกภายนอกแล้ว ดูท่าสงครามคราใหญ่ระหว่างมนุษย์กับเผ่ามารคงจะเลี่ยงมิได้เสียแล้ว”
“แต่ว่าหลายปีมานี้ผู้อาวุโสเย่เข้าฌานอยู่ตลอด และมิรู้ว่าเมื่อใดเขาถึงจะออกจากฌาน”
“แต่ว่าดินแดนศักดิ์สิทธิ์ต้าหลัวของข้า แม้จะได้ชื่อว่าเป็นสำนักเต๋าอันดับหนึ่งในใต้หล้า แต่เยี่ยงไรเสียผู้อาวุโสเย่ก็มาจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน เรื่องนี้ก็ต้องให้นักพรตฉางเสวียนเป็นคนออกหน้า”
หลัวชุนเฟิงยืนเอามือไพล่หลังอยู่ที่หน้าตำหนักหลังหนึ่ง พลางพึมพำกับตัวเอง
หลังจากชั่งใจอยู่สักพัก
หลัวชุนเฟิงก็ถอนหายใจออกมา ใบหน้าเต็มไปด้วยความเอือมระอา “ดูท่าตอนนี้คงต้องไปปรึกษากับคนอื่น ๆ ที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนน่าจะดีที่สุด”
ผ่านไปมิถึงหนึ่งก้านธูป
หลัวชุนเฟิงก็ปรากฏตัวขึ้นยังหน้าค่ายกลห้วงเวลาของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน
ในตอนนั้นเองนักพรตฉางเสวียนที่รออยู่ที่ค่ายกลห้วงเวลามาพักใหญ่แล้ว ก็รีบก้าวเข้าไปหาในทันที
“พี่หลัว จักรพรรดิตนนั้นของฝ่ายมารออกมาแล้วจริงหรือ ? ”
นักพรตฉางเสวียนเอ่ยถามขึ้น พร้อมกับคิ้วที่ขมวดมุ่น
สิ้นเสียงค่ายกลห้วงเวลาอื่น ๆ ที่เหลือก็มีแสงสว่างวาบขึ้นติด ๆ กัน
ผู้ที่ปรากฏตัวขึ้นก็คือเจ้าสำนักดินแดนศักดิ์สิทธิ์อีกสามคนที่เหลือ รวมทั้งประมุขของนิกายใหญ่ทั้งหลาย
“พี่หลัว จักรพรรดิมารที่ถูกผนึกเอาไว้ยังส่วนลึกของหุบเหวปรากฏตัวขึ้นจริงหรือ ? ”
“พี่หลัว แดนเหนือตอนนี้เป็นเช่นไรบ้าง ? ”
“……”
“……”
ทันใดนั้น
ทุกคนต่างก็เข้ามารุมล้อมหลัวชุนเฟิงเอาไว้
หลัวชุนเฟิงที่มีท่าทางเคร่งขรึม จึงได้พยักหน้ายอมรับ ก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า
“ทุกท่านเรื่องนี้สำคัญยิ่งนัก พวกเราไปปรึกษากันที่อื่นจะดีกว่า”
จากนั้นนักพรตฉางเสวียนก็พาทุกคนมายังตำหนักไท่เสวียนด้วยความรีบร้อน
เพียงพริบตาภายในตำหนักไท่เสวียนที่ปกติจะเงียบสงบ บัดนี้กลับมีคนเข้ามาจนแน่นขนัด
รอจนเจ้าสำนักดินแดนศักดิ์สิทธิ์ รวมทั้งประมุขนิกายทั้งหมดนั่งลงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“ทุกท่าน หากมิมีสิ่งใดผิดพลาดล่ะก็ จักรพรรดิตนนั้นคงจะออกมาจากส่วนลึกของหุบเหวได้แล้ว”
เป็นหลัวชุนเฟิงที่เอ่ยขึ้นคนแรก “เกรงว่าศึกในครานี้คงยากที่จะหลีกเลี่ยงได้”
“เช่นนั้นวันนี้พวกเราควรปรึกษาหารือ และควรเตรียมรับมือให้ดี”
สิ้นเสียงเจ้าสำนักดินแดนศักดิ์สิทธิ์หยินหยาง ต้วนฉางเต๋อ ก็ยิ้มเย็นออกมา จากนั้นก็เหลือบมองนักพรตฉางเสวียนเล็กน้อย
“ข้าว่าขอเพียงผู้อาวุโสเย่ออกหน้า เขาเพียงคนเดียวก็สามารถขวางจักรพรรดิมารตนนั้น รวมถึงผู้แข็งแกร่งฝ่ายมารทั้งหลายเอาไว้ได้แล้ว”
ต้วนฉางเต๋อกวาดสายตามองทุกคน พลางเอ่ยออกมาอย่างจองหอง
ได้ยินเช่นนั้น
“พี่ต้วน คำกล่าวนี้ดูจะเร็วเกินไปหน่อยนะ”
นักพรตไท่หัวที่นั่งอยู่ข้างหลัวชุนเฟิงส่ายศีรษะไปมา พลางเอ่ยอย่างครุ่นคิดว่า “ข้ามองว่าผู้แข็งแกร่งระดับผู้อาวุโสเย่นั้น ปกติแล้วจะมิมียื่นมือเข้ามาง่าย ๆ เป็นแน่”
“อีกทั้งก่อนหน้านี้พี่ฉางเสวียนก็เคยบอกแล้วว่า หลายปีมานี้ผู้อาวุโสเย่เข้าฌานอยู่ตลอด จนถึงบัดนี้ก็ยังมิมีทีท่าจะออกจากฌานเลย”
คำพูดของนักพรตไท่หัวทำให้ทุกคนมีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที ก่อนจะส่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์ขึ้น
“พี่ไท่หัวพูดมามีเหตุผล”
“ผู้แข็งแกร่งระดับผู้อาวุโสเย่ ปกติแล้วมิมีทางลดตัวลงแปดเปื้อนกับผลกรรมเช่นนี้ง่าย ๆ และคงจะปล่อยให้มันเป็นไปตามทางที่ควรจะเป็นเสียมากกว่า”
“มิเพียงเท่านั้นข้ามองว่าในสายตาของผู้อาวุโสเย่ พวกเราที่เป็นผู้แข็งแกร่งของลัทธิเต๋านั้นก็คงมิได้ต่างอะไรกับคนธรรมดามากนักหรอก”
“อีกอย่างเรื่องที่จักรพรรดิมารฟื้นขึ้นมานั้น ผู้อาวุโสเย่อาจจะคาดการณ์เอาไว้นานแล้ว เช่นนั้นก่อนหน้านี้เขาจึงได้มอบโอกาสและวาสนามากมายให้พวกเรา”
“ท่านพี่พูดได้ถูกต้องแล้ว ในเมื่อผู้อาวุโสเย่ได้มอบโอกาสและวาสนามากมายเช่นนี้ให้แก่พวกเราแล้ว ก็คงต้องการให้ทุกท่านสามารถรับมือกับหายนะในครานี้ได้”
ตอนนั้นเองนักพรตฉางเสวียนที่เงียบมานานก็พยักหน้าเห็นด้วย พร้อมกับเอ่ยขึ้นว่า
“ข้ามองว่าบางทีท่านบรรพจารย์เย่อาจจะมีจุดประสงค์เช่นนี้จริง ๆ”
“หลายปีมานี้ ท่านบรรพจารย์เย่เข้าฌานมาโดยตลอด แม้แต่ข้าเองก็มิได้พบหน้าเขาอีกเลยแม้แต่คราเดียว”
เอ่ยถึงตรงนี้
“มิเพียงเท่านั้น คิดว่าทุกท่านเองก็คงสัมผัสได้เช่นกันว่าปราณวิญญาณฟ้าดิน ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนของข้าในตอนนี้บางเบาลงอย่างมาก ? ”
นักพรตฉางเสวียนลุกขึ้นยืน พร้อมกับกวาดสายตามองทุกคนและเอ่ยต่อว่า “ถูกต้องแล้ว สาเหตุที่ปราณวิญญาณฟ้าดินของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนบางเบาลงนั้น เป็นเพราะท่านบรรพจารย์เย่เข้าฌานบำเพ็ญเพียรอยู่นั่นเอง”
“อีกทั้งหลายปีมานี้ท่านบรรพจารย์เย่ยังได้เข้าฌานมาโดยตลอด หากข้าเดามิผิดล่ะก็ อีกมินานท่านบรรพจารย์เย่อาจจะหลบลี้จากโลกมนุษย์แล้วก็เป็นได้”
ทันใดนั้นเอง ทุกคนต่างก็มีสีหน้าเต็มไปด้วยความสับสน ก่อนจะทยอยลุกขึ้นยืน
“หรือว่าผู้อาวุโสเย่จะไปแล้วจริง ๆ ? ”
“แต่ว่าจักรพรรดิมารตนนั้นออกมาได้แล้ว เชื่อว่าอีกมินานผู้แข็งแกร่งของฝ่ายมารมากมายจะต้องบุกโจมตีแดนเหนือเป็นแน่”
“มิหนำซ้ำนางยังเป็นถึงผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิในตำนานอีกด้วย หากผู้อาวุโสเย่มิยื่นมือเข้ามาช่วย เกรงว่าโลกนี้คงมิมีใครที่จะเป็นคู่ต่อสู้ของนางได้อีกแล้ว ! ”
“ทำเช่นไรกันดี ! ”
“หรือว่าลัทธิเต๋าทั่วทั้งใต้หล้าจะต้องล่มสลาย เผ่าพันธุ์มนุษย์จะสูญสิ้นแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“มิเพียงเท่านั้น หากฝ่ายมารโจมตีดินแดนทางเหนือ เมื่อนั้นปีศาจเผ่าต่าง ๆ ในเทือกเขาแดนใต้ก็จะต้องใช้โอกาสนี้ ก่อความวุ่นวายขึ้นอย่างแน่นอน”
“นอกจากนี้ทุกคนต่างก็รู้ดีว่า ส่วนลึกของเทือกเขาแดนใต้ยังมีเหล่าปีศาจอมตะที่มีพลังอันแข็งแกร่งอยู่อีกด้วย และคงจะสามารถสู้กับผู้แข็งกร่งระดับมหายานได้ด้วยซ้ำ”
“ดังคำกล่าวที่ว่าโชคดีมิมาคู่ เคราะห์ร้ายมิมาเดี่ยวจริง ๆ ! ”
ระหว่างที่ทุกคนกำลังวิพากษ์วิจารณ์ด้วยใบหน้าโศกเศร้าอยู่นั้น
“จริงสิ พี่ฉางเสวียน ท่านบรรพจารย์นิกายหมื่นกระบี่ของข้ายังบำเพ็ญเพียรอยู่ที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนของพวกท่านมิใช่หรือ ? ”
ประมุขนิกายหมื่นกระบี่ เจี้ยนเจิ้งหยวน จู่ ๆ ก็หันไปถามกับนักพรตฉางเสวียน “ก่อนหน้านี้เขาเองก็ได้รับโอกาสและวาสนาจากผู้อาวุโสเย่เช่นกัน คาดว่าตอนนี้คงก้าวเข้าสู่ระดับมหายานแล้วกระมัง ? ”
ทว่ายังมิทันสิ้นเสียง เจ้าสำนักจื่อชิงสวีฉิงเทียนก็เอ่ยถามต่อว่า “พี่เหอ ได้ยินว่าผู้อาวุโสหนานกงเองก็ก้าวเข้าสู่ระดับมหายานแล้ว เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงหรือไม่ ? ”
นักพรตฉางเสวียนได้ยินเช่นนั้นก็มีสีหน้าเปลี่ยนไป ดวงตามีประกายบางอย่างพาดผ่าน
“จริงด้วย ข้าเกือบจะลืมผู้อาวุโสสองท่านนี้ไปเสียแล้ว”
นักพรตฉางเสวียนตบที่หน้าผากของตัวเองเบา ๆ พร้อมเอ่ยว่า “ก่อนหน้านี้ได้ทราบจากปากของผู้อาวุโสทั้งสองท่านว่า พวกเขาล้วนได้รับวาสนาจากผู้อาวุโสเย่ มิเพียงก้าวสู่ระดับมหายานได้ แต่เชื่อว่าหลังจากการบำเพ็ญเพียรที่ยากลำบากตลอดหลายปีมานี้ พลังของพวกเขาคงจะก้าวหน้าอย่างรวดเร็วเป็นแน่”
“ยอดไปเลย ! ”
เจ้าสำนักดินแดนศักดิ์สิทธิ์หยินหยางยิ้มเต็มหน้า พลางเอ่ยเร่งว่า “แล้วจะรออะไรอีกเล่า รีบแจ้งข่าวให้ผู้อาวุโสทั้งสองทราบเร็วเข้าเถอะ ! ”
ในตอนนั้นเองจู่ ๆ ก็มีร่างสองร่างก็เหาะลงมาจากฟากฟ้า ก่อนจะปรากฏตัวขึ้นที่หน้าประตูของตำหนักไท่เสวียน