เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน - ตอนที่ 288 เหตุใดจึงเป็นสตรี มิใช่บุรุษ
ตอนที่ 288 เหตุใดจึงเป็นสตรี มิใช่บุรุษ
วันต่อมา
ณ ทางเหนือของจงหยวน
เรือเหาะขนาดใหญ่หลายลำต่างก็มุ่งหน้าไปทางเหนือราวกับแล่นอยู่กลางแม่น้ำ ช่างเป็นภาพที่งดงามตระการตายิ่งนัก
อีกทั้งเมื่อดูจากธงที่แขวนอยู่บนเรือเหาะแต่ละลำแล้วก็รู้ได้มิยาก
เรือเหาะยักษ์เหล่านี้มาจากสำนักบำเพ็ญเพียรน้อยใหญ่ต่าง ๆ ที่อยู่ทางด้านเหนือของจงหยวน
ลำแรกก็คือเรือเหาะของดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิง
เวลานี้ ถานไถชิงเสว่ที่สวมกระโปรงสีขาวบริสุทธิ์ดุจหิมะ ผมยาวสลวยลู่ไปทางด้านหลังกำลังยืนอยู่หน้าราวกั้นเพียงลำพัง พลางทอดสายตามองไปด้านหน้าอย่างครุ่นคิด
ตอนนั้นเอง สวีฉิงเทียน ก็ปรากฏตัวขึ้นข้างกายของถานไถชิงเสว่เงียบ ๆ
“ชิงเสว่ เจ้ายืนอยู่ตรงนี้มาหลายชั่วยามแล้วนะ ? ”
สวีฉิงเทียนเอ่ยขึ้นด้วยใบหน้าที่แฝงไว้ซึ่งรอยยิ้มอ่อนโยน พร้อมกับทอดสายตามองออกไปเช่นเดียวกัน
“ท่านเจ้าสำนัก”
ถานไถชิงเสว่ได้สติขึ้นมา พลันหันไปมองสวีฉิงเทียน
สวีฉิงเทียนโบกมือเบา ๆ แล้วเอ่ยเสียงเรียบออกมาว่า “ข้าได้วางแผนการเดินทางมาแล้ว การเดินทางขึ้นเหนือของเราในครานี้ จะมิผ่านเมืองเสี่ยวฉือ”
“ท่านเจ้าสำนัก ข้า…”
ถานไถชิงเสว่มีสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย พร้อมด้วยท่าทางอึกอัก
ทว่าสวีฉิงเทียนยังคงมองไปข้างหน้าอยู่แบบนั้น “ความจริงแล้ว เมื่อวานนี้ที่ข้าได้ไปปรึกษาหารือที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน”
“บังเอิญได้รู้บางอย่างมา หลายปีมานี้ผู้อาวุโสเย่เข้าฌานมาโดยตลอด มิแน่ว่าอีกมินานเขาอาจจะหลบลี้จากโลกนี้แล้วก็เป็นได้”
ถานไถชิงเสว่ได้ยินเช่นนั้นใบหน้ารูปไข่ที่ไร้ซึ่งตำหนิใด ๆ พลันเต็มไปด้วยความประหลาดใจ
“ท่านเจ้าสำนัก ท่านหมายความว่าผู้อาวุโสเย่จะไปแล้วหรือเจ้าคะ?”
ถานไถชิงเสว่เอ่ยขึ้นอย่างมิเคยคาดคิดมาก่อน
“น่าจะเป็นเช่นนั้น ! ”
สวีฉิงเทียนถอนสายตาแล้วหันกลับมามองถานไถชิงเสว่ ที่กำลังเต็มไปด้วยความสับสน ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนดังเดิม
“คงเพราะสาเหตุบางอย่าง ผู้อาวุโสเย่จึงได้ลงมายังโลกใบนี้ บัดนี้เป็นไปได้ว่าเขาคงได้คำตอบแล้ว จึงได้ตัดสินใจฟื้นฟูร่างกายเพื่อเตรียมจะไปจากโลกนี้”
ทันใดนั้นถานไถชิงเสว่ก็นิ่งเงียบไป มือที่เรียวงามดุจหยกที่อยู่ภายใต้แขนเสื้อจับกันแน่นอย่างควบคุมมิได้
หลังจากเงียบอยู่พักหนึ่ง ถานไถชิงเสว่จึงเอ่ยถามอีกครั้งด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ท่านเจ้าสำนัก ก่อนที่ผู้อาวุโสเย่จะจากไป ศิษย์ขอไปพบเขาอีกสักคราได้หรือไม่เจ้าคะ ? ”
สวีฉิงเทียนเผยท่าทีสับสนออกมาเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยด้วยอย่างจริงจังว่า “ชิงเสว่ เจ้ามีความสามารถสูงส่ง อายุเพียงเท่านี้แต่สามารถมีความแตกฉานในวิถีดนตรีได้ถึงเพียงนี้ ข้าเชื่อว่ามิถึงพันปี เจ้าจะต้องบรรลุเป็นเซียนได้อย่างแน่นอน”
“ถึงตอนนั้น มิแน่เจ้าอาจจะสามารถพบผู้อาวุโสเย่อีกคราบนสวรรค์ก็เป็นได้”
“เช่นนั้นข้าคิดว่าเจ้ามิจำเป็นจะต้องยึดติดกับปัจจุบันให้มากนัก แต่ควรจะใส่ใจกับการบำเพ็ญเพียรมากกว่า”
ถานไถชิงเสว่ได้ยินเช่นนั้น ร่างบอบบางพลันกระตุกขึ้นมาน้อย ๆ
ใบหน้ารูปไข่ปรากฏริ้วแดงขึ้นบนแก้มทั้งสองข้าง ยิ่งทำให้นางดูมีเสน่ห์น่าทะนุถนอม ทั้งยังรู้สึกมีชีวิตชีวาน่ามองยิ่งนัก
“ท่านเจ้าสำนัก ศิษย์… ศิษย์มิเคยคิด…”
สวีฉิงเทียนหัวเราะออกมา “การบำเพ็ญเพียรมิเพียงแต่จะต้องพัฒนาตบะบารมีและระดับขั้นเท่านั้น แต่ยังต้องฝึกฝนจิตด้วย”
“เจ้าลองถามใจของตัวเองดู ว่าแท้จริงแล้วเจ้ารู้สึกเช่นนั้นจริงหรือไม่ ? ”
เอ่ยเพียงเท่านั้น สวีฉิงเทียนก็นิ่งเงียบไป
ถานไถชิงเสว่รู้สึกสับสน จิตใจของนางกำลังว้าวุ่นไปหมด
จนผ่านไปหลายชั่วยาม
ในที่สุดสำนักต่าง ๆ ก็มาถึงดินแดนทางเหนือ
ทันใดนั้นชายแดนทางเหนือที่ปกติไร้ซึ่งผู้คน เวลานี้กลับมีผู้คนมารวมตัวกันจนมืดฟ้ามัวดิน
หลังจากที่สำนักต่าง ๆ จัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ท้องฟ้าก็ถูกฉาบด้วยแสงสีส้ม พระอาทิตย์กำลังคล้อยต่ำลง
ตอนนั้นเอง ถานไถชิงเสว่ที่กำลังมีเรื่องหนักอก ก็ได้เดินหลบขึ้นไปบนกำแพงเมืองทางเหนือ ที่ทอดยาวออกไปนับหมื่นลี้เพียงลำพัง
ทันใดนั้น ลมหนาวก็พัดโชยมาราวกับมีดกรีดก็มาปาน
ผมยาวสลวยของถานไถชิงเสว่พลิ้วไปตามสายลม กระโปรงสีขาวที่นางสวมใส่ปลิวไสวอยู่เช่นนั้น
นางหรี่ตาลง เผชิญหน้ากับลมหนาวที่เหมือนมีดคอยทิ่มแทง สายตาจ้องมองไปยังดินแดนทางเหนือ ที่เต็มไปด้วยความรกร้างและว่างเปล่า
“ได้รู้จักกับผู้อาวุโสเย่มายาวนานถึงเพียงนี้ แต่สุดท้ายกลับมีวาสนาเพียงพบเพื่อผ่านไปเท่านั้น มาบัดนี้เขากำลังจะจากไปแล้ว”
“วิถีเต๋าล่องลอย ผู้บำเพ็ญเพียรเช่นพวกเราใช้ความพยายามทั้งชีวิต ทว่านับแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบัน มีสักกี่คนกันที่สามารถบรรลุเป็นเซียนได้ ? ”
“หรือว่าการจากกันในคราก่อนคือการจากลาชั่วนิรันดร์เยี่ยงนั้นหรือ ? ”
ถานไถชิงเสว่อดมิได้ที่จะพึมพำกับตัวเอง
ทว่าในตอนนั้นเอง จู่ ๆ นางก็เหมือนมีความเข้าใจเกี่ยวกับเพลงฮั่วฟานเพลงนั้นขึ้นมา
วินาทีต่อมา นางจึงรีบปลดพิณโบราณที่อยู่ด้านหลังออกมา จากนั้นก็นั่งลงกับพื้น พร้อมกับวางพิณลงด้านหน้า
หลังจากนิ่งเงียบอยู่สักพัก นางก็หลับตาลงก่อนจะค่อย ๆ กรีดนิ้วอันเรียวยาวลงไปบนสายพิณ
“แต๊ง… แต๊งแต๊ง… แต๊งแต๊งแต๊งแต๊ง…”
ทันใดนั้นเสียงพิณก็บรรเลงขึ้น ราวกับบทเพลงสวรรค์
ไพเราะเสนาะหู ทั้งยังแฝงจิตแท้แห่งเต๋าของวิถีดนตรีเอาไว้อีกด้วย
ขณะเดียวกัน รอบกายถานไถชิงเสว่ก็เปล่งประกายขึ้นมา หมอกอันเจิดจ้าลอยวนไปทั่ว
จากนั้นรอบกายของนางราวกับมีเกราะบางอย่างห่อหุ้มไว้ เพื่อป้องกันการบุกรุกจากภายนอก
ตอนนี้นางจึงดูราวกับเทพเซียนมาจุติยังโลกมนุษย์ ขณะนั่งอยู่บนกำแพงที่ทอดยาวนับหมื่นลี้ พร้อมกับบรรเลงเพลงที่โศกเศร้าเป็นอย่างมาก
ทว่าผ่านไปมิถึงหนึ่งก้านธูป
นอกกำแพงเมืองทางเหนือ
ฟ้าดินพลันเปลี่ยนสีสัน
หลังจากไอสีดำจำนวนมหาศาลกลุ่มหนึ่งพวยพุ่งออกมา
ทันใดนั้นก็เกิดลมกรรโชกแรงไปทั่ว พร้อมสายฟ้าที่แลบแปลบปลาบ
พลังฟ้าดินที่ทรงพลานุภาพปั่นป่วนจนยากจะควบคุม ทำให้ห้วงอากาศรอบ ๆ เกิดระลอกคลื่นขึ้นเป็นชั้น ๆ เป็นภาพที่น่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก
บัดนี้ด้านล่างกำแพงเมืองอันสูงตระหง่าน จึงดูราวกับแดนต้องห้ามของสิ่งมีชีวิตก็มิปาน และเต็มไปด้วยไอสังหารอันน่าสะพรึงกลัว
มินานก็มีร่างอันบอบบางร่างหนึ่งก้าวออกมาจากไอดำนั้น
นางก้าวเดินอยู่กลางอากาศ ผมยาวสลวยสั่นไหวเล็กน้อยตามจังหวะการเดิน ระหว่างที่ย่างก้าวก็เผยให้เห็นปลีน่องเรียวยาวนวลเนียน ราวกับหญิงงามเดินออกมาจากภาพวาด
ทว่าไอพลังที่แผ่ออกมาจากร่างของนางนั้นช่างน่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก ราวบางสิ่งบางอย่างจากสมัยบรรพกาลได้ปรากฏขึ้น
เห็นได้ชัดว่าคนผู้นี้ก็คือผู้ที่ทำลายผนึกลงได้ และออกมาสู่โลกภายนอกอีกครั้งในรอบล้านปี ตู๋กูชิงเฟิง
เดิมทีนางคิดที่จะพักฟื้นร่างกาย จากนั้นค่อยนำเหล่าผู้แข็งแกร่งฝ่ายมารมาเยือนที่แห่งนี้
ทว่าเมื่อครู่นี้
นางกลับได้ยินเพลงฮั่วฟานบรรเลงขึ้นอีกครั้ง
เช่นนั้นนางจึงตัดสินใจมาเพียงลำพัง
จุดประสงค์ของนางเพียงแค่ต้องการเห็นหน้าคนผู้นั้นสักครั้ง
“ผู้ใดกันแน่ที่เป็นคนเล่นเพลงฮั่วฟาน ? ”
ตู๋กูชิงเฟิงที่ยืนอยู่กลางอากาศ ปรายตามองถานไถชิงเสว่ พร้อมกับเอ่ยถามขึ้น
แม้เสียงของนางจะมิได้ดังมากนัก แต่เมื่อเสียงนั้นเดินทางเข้ามาถึงภายในกำแพงเมือง
เสียงอันเย็นชาราวกับอัสนีบาต เต็มไปด้วยความน่าเกรงขามก็ดังกึกก้องไปทั่วรัศมีหมื่นลี้
ทันใดนั้นผู้แข็งแกร่งจากสำนักน้อยใหญ่ ที่กำลังปรึกษาหารือกันอยู่ก็มีสีหน้าตกใจ ต่างก็พุ่งตัวออกมาจากภายในตำหนักโบราณหลังหนึ่ง
เพราะค่ายกลที่วางเอาไว้รอบนอกของกำแพงเมืองราวกับเป็นตาข่ายป้องกัน สามารถปิดกั้นเสียงมากมายได้
ทว่าเสียงนี้กลับสามารถดังทะลุเข้ามาได้ อีกทั้งยังเต็มไปด้วยอำนาจอันน่าสะพรึงกลัวถึงเพียงนี้
อิทธิฤทธิ์เช่นนี้ต้องเป็นจักรพรรดิมารตนนั้นเป็นแน่
ทว่าเวลานี้ถานไถชิงเสว่ที่ยืนอยู่บนกำแพงเมืองกลับต้องขมวดคิ้วมุ่น พลางจ้องไปยังตู๋กูชิงเฟิง
ได้ยินเช่นนั้นนางก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยถามขึ้นเบา ๆ “ผู้อาวุโส ท่านรู้จักเพลงฮั่วฟานด้วยหรือเจ้าคะ ? ”
“เมื่อครู่… เจ้าเป็นคนเล่นเพลงฮั่วฟานงั้นหรือ ? ”
ตู๋กูชิงเฟิงตัวสั่นเทาน้อย ๆ ขณะที่ถามย้ำออกไป น้ำเสียงของนางสั่นไหวอย่างเห็นได้ชัด
‘เมื่อครู่ผู้ที่เล่นเพลงฮั่วฟานคือสตรีนางนี้งั้นหรือ ! ’
‘แต่ ! ’
‘เหตุใดจึงเป็นสตรี มิใช่บุรุษ ! ’
‘เหตุใดจึงมิใช่เขา ! ’
ทันใดนั้น เมื่ออารมณ์ของตู๋กูชิงเฟิงปั่นป่วนยุ่งเหยิง จึงทำให้พื้นที่บริเวณนั้นราวกับถูกแช่แข็งก็มิปาน