เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน - ตอนที่ 289 เผ่ามนุษย์ของเรามิมีทางตกเป็นทาส
ตอนที่ 289 เผ่ามนุษย์ของเรามิมีทางตกเป็นทาส
หลังจากที่ตู๋กูชิงเฟิงได้รู้ว่า ผู้ที่ดีดเพลงฮั่วฟานนั้นเป็นเพียงสตรีของเผ่ามนุษย์นางหนึ่ง
ทันใดนั้นจิตใจของนางก็เกิดความสับสนว้าวุ่นเป็นอย่างมาก
เพราะตำราเพลงฮั่วฟานรวมทั้งโลงนวโลกา เป็นสิ่งที่นางและเขาผู้นั้นได้ค้นเจอในแดนลับโบราณแห่งหนึ่ง
จากนั้นเมื่อได้สำรวจอย่างละเอียด ก็พบว่าเพลงฮั่วฟานนั้นกุญแจที่ใช้เปิดโลงนวโลกานั่นเอง
ขณะเดียวกันแม้เพลงฮั่วฟานจะเป็นแค่เพลง ๆ หนึ่ง ทว่ากลับมีข้อห้ามลึกลับบางอย่างซ่อนอยู่
หากต้องการจะดีดเพลงฮั่วฟาน มิเพียงจะต้องแตกฉานในวิถีดนตรีขั้นสูงแล้ว ยังต้องไขปริศนาที่แฝงอยู่ในเนื้อเพลงให้ได้อีกด้วย
ส่วนเคล็ดวิชาที่ใช้ในการไขข้อห้ามปริศนาในเพลงฮั่วฟานนั้น ท้ายที่สุดแล้วมีเพียงแค่พวกเขาสองคนเท่านั้นที่รู้
นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าเหตุใดหลังจากเพลงฮั่วฟานถูกค้นพบตั้งแต่ยุคนั้น และผู้บำเพ็ญเพียรวิถีดนตรีมาหมายต่างยกย่อง ทว่ากลับมิมีผู้ใดสามารถที่จะเล่นเพลงนี้ได้
แต่เมื่อหกปีก่อน
ตู๋กูชิงเฟิงที่หลับใหลอยู่ในโลงนวโลกา กลับถูกเพลงฮั่วฟานนี้ปลุกขึ้นมาอีกครั้ง
สิ่งแรกที่นางนึกได้หลังจากตื่นจากการหลับใหลก็คือ
การเกิดใหม่ของคนผู้นั้นทำให้เพลงฮั่วฟานถูกบรรเลงขึ้นบนโลกนี้อีกครั้ง และยังเป็นกุญแจเปิดโลงนวโลกาให้นางอีกด้วย
เช่นนั้นจึงทำให้ตลอดระยะเวลาหกปีมานี้
นางจึงรู้สึกเหมือนคนเสียสติ นับตั้งแต่ออกมาจากโลงนวโลกาได้ นางก็พยายามอย่างสุดกำลัง เพื่อทำลายค่ายกลเวทย์โบราณที่ผนึกนางเอาไว้
เพื่อคนผู้นั้น
นางถึงกับตัดสินใจว่าจะละทิ้งความแค้นกับพวกมนุษย์ ขอเพียงพาคนในเผ่าออกจากแดนอันหนาวเหน็บแห่งนั้น และกลับสู่ดินแดนจงหยวนได้อีกครั้ง
แต่สิ่งที่นางคาดมิถึงก็คือ
คนที่สามารถเล่นเพลงฮั่วฟานได้กลับเป็นมนุษย์นางหนึ่ง ที่บรรเลงเพลงฮั่วฟานจนสามารถปลุกนางขึ้นมาได้เช่นนี้
คิดถึงตรงนี้
“ฟ้าช่างกลั่นแกล้งข้าจริง ๆ เหตุใดถึงมิใช่เขาเล่าที่บรรเลงเพลงฮั่วฟาน ? ”
ตู๋กูชิงเฟิงรู้สึกว้าวุ่นใจยิ่งนัก และพูดกับตัวเองอย่างอดมิได้ “ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ข้าก็คงมิต้องคิดอะไรมากอีกแล้วสินะ”
ยังมิทันสิ้นเสียงดี ผู้แข็งแกร่งของสำนักต่าง ๆ ต่างก็ปรากฏตัวขึ้นบนกำแพงเมือง
เมื่อพวกเขาเห็นตู๋กูชิงเฟิงที่ยืนอยู่กลางอากาศ รอบกายปกคลุมไปด้วยไอพลังทำลายล้างอันรุนแรง พลันก็มีสีหน้าราวกับจะร้องไห้ขึ้นมาเสียให้ได้
‘สมกับที่เป็นจักรพรรดิมารจริง ๆ !’
‘เพียงแค่ไอพลังที่แผ่ออกมาจากร่างยังน่ากลัวถึงเพียงนี้ ! ’
‘ต่อให้พวกเราร่วมมือกันจะสามารถต้านทานนางได้จริง ๆ เยี่ยงนั้นหรือ ? ’
“ท่านคงจะเป็นจักรพรรดิมารท่านนั้นใช่หรือไม่ ? ”
เจ้าสำนักจื่อชิงสวีฉิงเทียนขมวดคิ้วแน่น สีหน้าเคร่งเครียดอย่างมาก
“นับตั้งแต่โบราณมา เผ่าของข้าถูกผู้แข็งแกร่งแห่งลัทธิเต๋าในจงหยวน ขับไล่ให้ไปอยู่อย่างดินแดนอันหนาวเหน็บ”
“บัดนี้ข้าได้ตื่นขึ้นมาอีกครา เช่นนั้นต่อให้ผู้แข็งแกร่งลัทธิเต๋าอย่างพวกเจ้ารวมตัวกัน ก็มิอาจจะสามารถต้านทานข้าและเหล่าปีศาจในเผ่าของข้าได้หรอก”
ตู๋กูชิงเฟิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นเฉียบ คำพูดนั้นเต็มไปด้วยอำนาจและความน่าเกรงขาม มิมีทีท่าว่าจะยอมเจรจาแต่อย่างใด
นักพรตฉางเสวียนที่ยืนอยู่ข้างสวีฉิงเทียนถึงกับเบิกตากว้างขึ้น ก่อนจะเอ่ยอย่างดุดันว่า
“ตำราโบราณบันทึกเอาไว้ว่า สมัยบรรพกาลเผ่าปีศาจของเจ้าเข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์ ทำให้มนุษย์ตกเป็นทาส ต่อมาลัทธิเต๋าผงาดขึ้นจึงได้ผนึกกำลังกันขับไล่ฝ่ายมารออกไปนอกจงหยวนได้สำเร็จ และสร้างกำแพงเมืองหมื่นลี้ขึ้นที่ชายแดนทางเหนือของจงหยวน พร้อมวางค่ายกลสังหารและค่ายกลที่ไร้เทียมทานเอาไว้”
“เวลานี้แม้พวกข้าจะมิได้เก่งกาจ แต่เพื่อสรรพชีวิตเบื้องหลังอีกนับมิถ้วน ต่อให้ต้องสู้จนตัวตาย ก็จะมิยอมให้มารเช่นพวกเจ้าเข้าสู่จงหยวนได้เป็นอันขาด”
ได้ยินเช่นนั้น
“พวกเจ้าหาใช่คนในยุคนั้นไม่ จะรู้ได้เยี่ยงไรว่าตอนนั้นแท้จริงแล้วเกิดอะไรขึ้นบ้าง ? ”
“บัดนี้ข้ามีทางเลือกให้พวกเจ้าสองทาง ! ”
ตู๋กูชิงเฟิงแค่นเสียงเย็นออกมา “ปิดค่ายกลสังหารและค่ายกลทั้งหมดที่วางเอาไว้ที่นี่ ปล่อยให้ข้าและเผ่ามารเข้าสู่จงหยวนซะ”
“หากยอมทำตามข้าขอรับปากว่า ข้าจะให้มนุษย์อย่างพวกเจ้ามีที่ยืนต่อในจงหยวน”
“หรือไม่ข้าจะเป็นคนลงมือทำลายค่ายกลสังหารและค่ายกลอื่น ๆ ที่นี่เอง รวมทั้งทำลายกำแพงเมืองหมื่นลี้ของพวกเจ้าด้วย”
“แต่หากเป็นเช่นนั้น ข้าจะให้มนุษย์เช่นพวกเจ้าตกเป็นทาสและมิมีวันตั้งตัวได้อีกตลอดไป ! ”
เอ่ยถึงตรงนี้ ร่างของตู๋กูชิงเฟิงพลันระเบิดพลังอันน่ากลัวออกมา
ทันใดนั้น ภายในรัศมีนับร้อยจั้งรอบ ๆ กายของนาง
พลันมีเมฆหมอกลอยต่ำลงมา เกิดรอยแยกขึ้นท่ามกลางความว่างเปล่า เสียงฟ้าร้องดังสนั่นหวั่นไหว พลังฟ้าดินอันน่าสะพรึงกลัวพุ่งเข้ามา ราวกับจะทำลายล้างทุกสิ่งให้สิ้นซาก
วินาทีนี้ด้านนอกกำแพงเมืองแทบจะกลายเป็นนรกโลกันต์ !
ขณะเดียวกัน เมื่อได้ยินคำประกาศก้องของตู๋กูชิงเฟิง และได้สัมผัสไอพลังอันน่าสะพรึงกลัวที่ปกคลุมรอบกายของนางแล้ว
ผู้แข็งแกร่งแห่งลัทธิเต๋ามากมายที่ยืนอยู่บนกำแพงเมืองก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที แววตาเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น
หลังจากเงียบอยูครู่หนึ่ง นักพรตฉางเสวียนก็ก้าวไปด้านหน้าหนึ่งก้าว และยังคงเอ่ยด้วยท่าทางดุดัน
“ข้ายังยืนยันคำเดิม หากค่ายกลสังหารและค่ายกลเวทย์ที่เหล่าบรรพบุรุษวางไว้ มิอาจต้านทานมารเช่นพวกเจ้าได้ เช่นนั้นก็ขอใช้ร่างพวกเราลัทธิเต๋านับแสนสร้างเป็นกำแพงเมืองอีกคราก็แล้วกัน”
ได้ยินเช่นนั้น ผู้แข็งแกร่งนับสิบคนที่ยืนอยู่ด้านหลังนักพรตฉางเสวียนก็หันมาสบตากันเล็กน้อย จากนั้นก็ตะโกนขึ้นพร้อม ๆ กันว่า
“เผ่ามนุษย์ของเรามิมีทางตกเป็นทาส ! ”
ทันใดนั้นเสียงดังก้องราวกับอัสนีบาตร ก็ดังกึกก้องไปทั่วดินแดนอันรกร้างแห่งนี้
“ในเมื่อพวกเจ้าดื้อดึงเยี่ยงนี้ เช่นนั้นวันรุ่งขึ้นก็จะเป็นวันตายของพวกเจ้า ! ”
ตู๋กูชิงเฟิงแค่นเสียงเย็นออกมา รอบกายพลันปล่อยไอสังหารที่รุนแรงออกมา ทำให้บริเวณด้านนอกกำแพงเมืองถูกแช่แข็งแทบในพริบตา
ขณะเดียวกัน ตู๋กูชิงเฟิงก็ประสานมือทั้งสองข้างขึ้น รอบกายเปล่งแสงระยิบระยับ เสียงแห่งเต๋าดังก้องออกมาราวกับระฆังทองคำ
วินาทีต่อมา หมอกสีดำทรงพลานุภาพที่เต็มไปพลังฟ้าดินสุดปั่นป่วนก็ได้ปะทุขึ้น ราวกับคลื่นที่โหมกระหน่ำ พร้อมทะยานขึ้นฟ้าจากนั้นก็พุ่งไปทางกำแพงเมืองอย่างบ้าคลั่ง
ปรากฏการณ์เช่นนี้ !
ช่างน่าอกสั่นขวัญแขวนยิ่งนัก !
เมื่อเห็นภาพตรงหน้า เหล่าผู้แข็งแกร่งมากมายที่ยืนอยู่บนกำแพงเมือง ต่างก็ต้องสูดหายใจเข้าปอดลึก ๆ ขณะเดียวกันก็ก้าวถอยหลังไปโดยมิรู้ตัว
ในตอนนั้นเองค่ายกลสังหารและค่ายกลโบราณ ที่วางเอาไว้รอบกำแพงเมืองก็ถูกกระตุ้นขึ้นพร้อม ๆ กัน
เพียงมินาน ขณะที่กลุ่มหมอกสีดำซัดเข้ามานั้น
บนกำแพงเมืองหมื่นลี้แห่งนี้ พลันก็มีแสงเจิดจ้าราวกับเปลวเพลิงมากมายเปล่งออกมา
เพียงพริบตา หลังจากที่ลวดลายค่ายกลและสัญลักษณ์โบราณซับซ้อนมากมายปรากฏ ม่านแสงอันงดงามตระการตาก็พุ่งขึ้นสูงนับสิบจั้ง ขวางกั้นหมอกสีดำที่ซัดเข้ามาเอาไว้
ขณะเดียวกัน ไอกระบี่อันน่าสะพรึงกลัวนับหมื่นสายพลันพุ่งออกจากม่านแสงนั้น ราวกับฝูงตั๊กแตนที่บินข้ามพรมแดน เพียงพริบตาห้วงอากาศก็เกิดรอยแยก พลังอันรุนแรงก็พุ่งเข้าใส่ตู๋กูชิงเฟิงในทันที
ช่างเป็นภาพที่น่าอัศจรรย์ ทว่ากลับเขย่าจิตใจของทุกคนยิ่งนัก
แต่ตู๋กูชิงเฟิงกลับยังยืนนิ่งอยู่กลางอากาศด้วยท่าทางสงบ หาได้สะทกสะท้านใด ๆ ไม่
จวบจนเมื่อไอกระบี่เล่มหนึ่ง เข้ามาใกล้นางจนเหลือเพียงครึ่งจั้ง
นางจึงได้ขยับกายเล็กน้อย
แต่นางกลับมิได้มีท่าทีลงมือตอบโต้แต่อย่างใด
นางเพียงแค่ใช้ปลายเท้าแตะเบา ๆ ราวกับแมลงปอแตะน้ำเท่านั้น
วินาทีต่อมาปลายเท้าของนางกลับเกิดคลื่นอากาศขึ้น เพียงพริบตามวลพลังมหาศาลก็สะท้อนกลับ
จากนั้นภาพอันน่าสะพรึงกลัวก็ได้ปรากฏขึ้น
หลังจากคลื่นอากาศจากมวลพลังมหาศาลนี้แผ่ออกมา ไอกระบี่ที่มีพลังเพียงพอจะทำลายภูเขาได้จำนวนมากที่พุ่งออกมาจากม่านแสง กลับแตกสลายหายไปในอากาศภายในพริบตา
ภาพนี้ช่างน่าหวาดผวายิ่งนัก !
หลังจากนั้น
“ปังปังปังปังปัง ! ”
จากนั้นก็มีเสียงระเบิดดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง พลังปราณอันน่ากลัวเกิดการผันผวนอย่างรุนแรง จนแทบจะทำลายโลกใบนี้ลงเสียให้ได้
ทว่าตู๋กูชิงเฟิงก็ยังคงยืนนิ่งอยู่กลางอากาศ และเฝ้ามองเหตุการณ์อันน่ากลัวที่เกิดขึ้นรอบกายของนาง โดยมิหวั่นไหวแม้แต่น้อย
วินาทีนี้ นางได้แสดงถึงพลังและความน่าเกรงขามของจักรพรรดิมารออกมาแล้ว
ท่าทางดุดันและโดดเด่นเหนือผู้ใด
เวลานี้ผู้แข็งแกร่งมากมายที่อยู่บนกำแพงเมือง เดิมคิดว่าไอกระบี่นับมิถ้วนนั้นสามารถทำให้จักรพรรดิมารตนนี้ล่าถอยกลับไปได้
แต่ใครจะคิดว่าไอกระบี่จะแตกสลายง่ายดายเพียงนั้น !
ทันใดนั้น ทุกคนที่อยู่ในที่นั้นต่างก็มีสีหน้าซีดเผือดลง เหงื่อกาฬไหลเย็น และเต็มไปด้วยความผิดหวัง
การโจมตีที่รุนแรงและน่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ กลับถูกจักรพรรดิมารทำลายลงได้อย่างง่ายดาย !
เช่นนี้แล้วหากผู้อาวุโสเย่มิยื่นมือเข้ามาช่วย ใครเล่าจะสามารถต้านทานจักรพรรดิมารตนนี้ได้อีก ?
ตอนนั้นเองเมื่อค่ายกลสังหารที่วางเอาไว้บนกำแพงเมือง เริ่มทำการโจมตีขึ้นอีกครั้ง
ตู๋กูชิงเฟิงเห็นเช่นนั้นก็เริ่มจะลงมือจริงจังขึ้นมาแล้ว