เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน - ตอนที่ 291 ท่าทีของผู้อาวุโสเย่
ตอนที่ 291 ท่าทีของผู้อาวุโสเย่
หลังจากจักรพรรดิมารตนนั้นได้จากไปแล้ว
เวลาผ่านไปประมาณหนึ่งชั่วยาม
ราตรีก็ค่อย ๆ คืบคลานเข้ามา
เวลานี้ภายในกำแพงเมืองทางด้านเหนือ
แม้จะมีผู้บำเพ็ญเพียรลัทธิเต๋านับแสนคนมารวมตัวกัน ทว่าหลังจากได้เห็นจักรพรรดิมารตนนั้นทำลายค่ายกลป้องกันด้วยตาตนเองแล้ว
จึงทำให้ภายในใจของทุกคนรู้สึกหดหู่ และหนักอึ้งอย่างเห็นได้ชัด
ขณะเดียวกันลมหนาวกลับยิ่งหนาวเหน็บจนเข้ากระดูก ลมที่พัดมาจากดินแดนรกร้างทางเหนือ ได้พัดผ่านกำแพงเมืองเข้าไปสู่ดินแดนของจงหยวนอย่างง่ายดาย
โดยเฉพาะเมื่อลมหนาวทะลุผ่านรอยแตกร้าวบนกำแพง
ก็มีเสียงบาดแก้วหูดังขึ้นเป็นระลอก ราวกับเสียงภูตผีครวญครางก็มิปาน ช่างน่ากลัวยิ่งนัก
ตอนนั้นเอง ศิษย์ในสำนักที่นั่งล้อมวงอยู่หน้ากองไฟกองหนึ่ง หลังจากนิ่งเงียบกันอยู่เนิ่นนาน ในที่สุดก็มีคนเอ่ยขึ้นมา
“ศิษย์พี่ พรุ่งนี้พวกเราต้องเปิดศึกกับฝ่ายมารแล้ว พวกเราจะสามารถขับไล่ฝ่ายมารได้จริงหรือขอรับ ? ”
“ศิษย์น้อง เจ้ากลัวหรือไม่ ? ”
“ศิษย์พี่ ข้ามิกลัวหรอกขอรับ ความตั้งใจเดิมของข้าที่มาบำเพ็ญเพียรก็เพื่อปกป้องน้องสาวและครอบครัว บัดนี้พวกเขาอยู่ที่เมืองอีซาน ขอเพียงพวกเขามีชีวิตอย่างสงบสุข ต่อให้พรุ่งนี้ข้าต้องสู้จนตัวตาย ข้าก็จะมิถอยเด็ดขาด”
“ศิษย์น้อง เจ้าเป็นแบบอย่างที่ดีจริง ๆ ”
“จริงสิ จักรพรรดิมารตนนั้นแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ แต่ลัทธิเต๋าของเรามิมีผู้แข็งแกร่งที่ไร้เทียมทาน ซึ่งสามารถต่อกรกับจักรพรรดิมารตนนั้นได้เลยหรือขอรับ ? ”
“มีสิ มิเพียงเท่านั้นนะ ผู้อาวุโสท่านนี้ยังมีความเป็นไปได้สูง ที่จะมีตบะบารมีสูงกว่าจักรพรรดิมารตนนั้นอีกด้วย”
“ห๊ะ ! ”
“ศิษย์พี่ ในเมื่อลัทธิเต๋าของเรามีผู้แข็งแกร่งและน่ากลัวเพียงนี้อยู่ เช่นนั้นเหตุใดคนผู้นั้นถึงมิยอมออกหน้าเล่าขอรับ ? ”
“ความจริงแล้วปัญหานี้ก็คอยกวนใจข้าเช่นกัน”
มิไกลนัก
ก็มีคนถกเถียงกันอยู่
“ศิษย์พี่ มินานมานี้ข้ากับศิษย์พี่ซ่งไปท่องยังโลกมนุษย์ แล้วได้พบว่าทุกที่ภายในแคว้นต้าเยี่ยนล้วนสร้างอารามของท่านเทพท่านหนึ่งเอาไว้ นามว่าท่านเทพฉางชิง”
“อีกทั้งยังมีข่าวลือว่าท่านเทพฉางชิงท่านนี้เป็นท่านเทพที่ลงมาท่องยังโลกมนุษย์อีกด้วย”
“บัดนี้ฝ่ายมารบุกเข้าจงหยวน หากลัทธิเต๋าของเรามิสามารถต้านทานได้ ท่านว่าท่านเทพฉางชิงที่ลงมายังโลกมนุษย์ท่านนี้ จะยอมยื่นมือเข้ามาช่วยหรือไม่เจ้าคะ”
“ศิษย์น้อง เจ้าใสซื่อเกินไปแล้ว ท่านเทพที่ได้รับการสักการะในอารามขนาดนั้น จะมาอยู่ในโลกมนุษย์ได้เยี่ยงไรกัน?”
“ศิษย์พี่หลี่ ท่านนี่ช่างมิรู้เรื่องโลกภายนอกเอาเสียเลย ญาติห่าง ๆ ของข้าคนหนึ่ง เคยพบท่านเทพฉางชิงท่านนั้นแบบตัวเป็น ๆ ที่เมืองหลวงของแคว้นต้าเยี่ยนมาแล้วด้วยนะ”
“มิเพียงเท่านั้น เขายังบอกว่าท่านเทพฉางชิงได้ประทานพรแก่เหล่าผู้ศรัทธามากมายด้วยตาตัวเองอีกด้วย มิหนำซ้ำท่านเทพฉางชิงท่านนี้ยังบอกอีกว่า เอ่ยนามของเขาเมื่อกลับชาติมาเกิด ชีวิตจะเป็นนิรันดร์”
“เจ้าพูดจริงหรือ ? ”
“จริงสิ พักนี้ทั้งก่อนและหลังบำเพ็ญเพียร ข้ามักจะเอ่ยนามของท่านเทพฉางชิงท่านนี้ สุดท้ายก็ได้ผลจริง ๆ ”
“ศิษย์น้อง เจ้าพูดจริงหรือ ? ”
“ศิษย์พี่ ท่านจะลองดูก็ได้นะ”
“อืม… ข้าศิษย์หลี่เทียนเจิน มีจิตใจศรัทธาขอท่านเทพฉางชิง ช่วยคุ้มครองพวกเราให้วันพรุ่งนี้สามารถเอาชนะฝ่ายมารได้ด้วยเถอะขอรับ…”
“ศิษย์พี่ เป็นเช่นไรบ้าง ? ”
“ศิษย์น้อง เหมือนจะได้ผลจริงด้วย ! ”
จากหนึ่งไปสิบ จากสิบไปร้อย จากร้อยไปพัน
มินานผู้บำเพ็ญเพียรลัทธิเต๋านับแสนคน ต่างก็เอ่ยนามของท่านเทพฉางชิงขึ้น เพื่ออ้อนวอนให้ท่านเทพช่วยคุ้มครอง
ทว่าเมื่อเวลาผ่านไปประมาณหนึ่งชั่วยาม
ก็เกิดเรื่องอัศจรรย์พันลึกขึ้น
ขณะที่ผู้บำเพ็ญเพียรของลัทธิเต๋านับแสนคน เอ่ยนามของท่านเทพฉางชิงมิหยุดนั้น กลับมีคนนับหมื่นที่จู่ ๆ ก็เกิดความรู้แจ้งขึ้นมา จนสามารถทะลวงพันธนาการและก้าวสู่ระดับขั้นใหม่ได้
ส่วนคนอื่น ๆ เองก็ได้รับอิทธิฤทธิ์นี้เช่นกัน
บางคนเกิดความเข้าใจในวิถีเต๋าจนเกิดการบรรลุใหม่
บางคนเกิดความเข้าใจในวิถีกระบี่จนเกิดการบรรลุใหม่
บางคนเกิดความเข้าใจในวิถีดาบจนเกิดการบรรลุใหม่…
หลังจากนั้นมินานภายในตำหนักโบราณอันกว้างใหญ่
ระหว่างที่ผู้นำของสำนักบำเพ็ญเพียรต่าง ๆ กำลังปรึกษาหารือเรื่องแผนรบในวันพรุ่งนี้อยู่นั้น
ผู้สืบทอดชาย ผู้สืบทอดหญิง ศิษย์พี่ ศิษย์น้อง ทั้งชายและหญิง ของหลายสำนักก็เดินเข้ามาด้วยใบหน้ายินดี
“พวกเจ้ามีธุระอะไร ? ”
ทุกคนที่กำลังปรึกษากันอยู่จำต้องหยุดลงกะทันหัน พร้อมกับเอ่ยถามขึ้น
สตรีน้อยหน้าตางดงามและมีลักษณะท่าทางโดดเด่นนางหนึ่ง กวาดตามองผู้อาวุโสทุกคนที่อยู่ในที่นั่น ก่อนที่สุดท้ายจะหยุดสายตาลงยังหญิงชราท่านหนึ่ง
“เรียนอาจารย์ เมื่อครู่นี้ศิษย์ทั้งหลายได้เอ่ยภาวนาชื่อของท่านเทพฉางชิงท่านหนึ่ง จากนั้นก็ทยอยเกิดการบรรลุ บ้างก็เกิดความเข้าใจในวิถีเต๋าและเกิดการบรรลุขึ้นเจ้าค่ะ”
สตรีน้อยเอ่ยด้วยท่าทางกระตือรือร้น “อีกทั้งเมื่อครู่นี้ ศิษย์เองก็เกิดการบรรลุ จนสามารถเข้าสู่แดนก่อกำเนิดได้สำเร็จแล้วเจ้าค่ะ”
ได้ยินเช่นนั้นหญิงชราถึงกับนิ่งงัน ก่อนจะเอ่ยออกมาอย่างเหลือเชื่อว่า “อะไรนะ เจ้าเข้าสู่แดนก่อกำเนิดได้สำเร็จแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
สตรีน้อยพยักหน้ารับหนักแน่น “อาจารย์ ศิษย์เข้าสู่แดนก่อกำเนิดได้สำเร็จแล้วจริง ๆ เจ้าค่ะ”
ทันทีที่สิ้นเสียงบุรุษหนุ่มที่อยู่ด้านหลังสตรีผู้นี้ก็มองไปทางผู้อาวุโสท่านหนึ่ง พร้อมกับประสานมือคารวะ
“อาจารย์ เมื่อครู่ศิษย์เองก็เอ่ยคำภาวนาชื่อของท่านเทพฉางชิง ในที่สุดก็เข้าสู่แดนก่อกำเนิดได้สำเร็จเช่นกันขอรับ”
ทันใดนั้น เหล่าผู้นำของลัทธิเต๋าต่างก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างห้ามมิได้ ท่าทางของทุกคนต่างเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก
‘เพียงแค่ท่องคำภาวนาด้วยนามของท่านเทพฉางชิง ก็สามารถบรรลุได้แล้วเยี่ยงนั้นหรือ ? ’
‘นี่มันจะอัศจรรย์พันลึกเกินไปหน่อยกระมัง ! ’
‘จริงสิ ! ’
‘ข้าชะงักอยู่ที่ระดับชั้นนี้มาเกือบร้อยปีแล้ว’
‘มิรู้ว่าหากท่องนามของท่านเทพฉางชิงแล้ว จะสามารถบรรลุในค่ำคืนนี้ได้หรือไม่ ? ’
‘หากเป็นเช่นนั้นจริง เมื่อพวกเราทั้งหมดต่างบรรลุสูงขึ้น ศึกในวันพรุ่งนี้ก็จะมีโอกาสชนะเพิ่มขึ้นด้วยน่ะสิ’
จนเวลาผ่านไปได้หนึ่งชั่วยาม
หลังจากวางแผนการทำศึกกับฝ่ายมารในวันพรุ่งนี้เสร็จเรียบร้อยแล้ว
ผู้นำของสำนักต่าง ๆ ก็จากไปอย่างรีบร้อน เพื่อลองท่องคำภาวนาด้วยนามของท่านเทพฉางชิง เพื่อให้ระดับขั้นก้าวหน้าขึ้น
สุดท้ายผ่านไปมินาน ในรัศมีพันลี้ของชายแดนทางเหนือ ปราณวิญญาณที่แผ่ไปทั่วฟ้าดินก็เริ่มปั่นป่วนขึ้นมา
มินานที่ต่าง ๆ ก็เริ่มมีลำแสงทะยานขึ้นฟ้ามิหยุด เกิดเป็นปรากฏการณ์ที่ตระการตายิ่งนัก
เห็นได้ชัดว่าปรากฏการณ์เช่นนี้ เป็นเพราะผู้นำของสำนักต่าง ๆ ได้ทยอยเกิดการบรรลุขึ้นนั่นเอง
ทว่าสวีฉิงเทียนและนักพรตฉางเสวียน ที่เวลานี้ยังยืนอยู่ที่ด้านหน้าของตำหนักโบราณ กลับดีใจมิออก
สวีฉิงเทียนชำเลืองมองนักพรตฉางเสวียน พร้อมกับเอ่ยออกมาอย่างครุ่นคิด “พี่เหอ หากมิมีสิ่งใดผิดพลาด ท่านเทพฉางชิงที่พวกเขากล่าวถึงคงจะเป็นผู้อาวุโสเย่กระมัง ? ”
“เป็นท่านบรรพจารย์เย่จริง ๆ นั่นแหละ”
นักพรตฉางเสวียนพยักหน้ารับ
การเดินทางไปเมืองหลวงของท่านบรรพจารย์เย่ เขารู้ทุกอย่างดี
หลังจากเงียบอยู่สักพัก
นักพรตฉางเสวียนก็เผยสีหน้าเป็นกังวลออกมา พลางเอ่ยด้วยความหนักใจว่า
“แต่บัดนี้ทุกคนสามารถทะลวงพันธนาการอย่างง่ายดาย เพียงแค่ท่องนามของท่านบรรพจารย์เย่”
“แม้ว่าเรื่องนี้จะส่งผลดีต่อพวกเราในการสู้รบกับฝ่ายมารในวันพรุ่งนี้ แต่ข้ามองว่านี่อาจจะมิใช่เรื่องดีอะไรนัก”
สวีฉิงเทียนขมวดคิ้วแน่นทันที ก่อนจะเอ่ยถามด้วยสีหน้าฉงน “พี่เหอ ท่านหมายความเช่นไรงั้นหรือ ? ”
นักพรตฉางเสวียนเอ่ยด้วยสีหน้าเศร้าสร้อยว่า “การที่ท่านบรรพจารย์ยื่นมือเข้ามายุ่งกับศึกในวันรุ่งขึ้นด้วยวิธีนี้”
“ข้ามองว่าการจะเชิญท่านบรรพจารย์เย่มาสะกดจักรพรรดิมารตนนั้นคงจะเป็นไปได้ยากแล้ว”
สวีฉิงเทียนได้ยินเช่นนั้นก็ตะลึงงันไปทันที ก่อนที่สีหน้าจะย่ำแย่ลง
เพราะสิ่งที่นักพรตฉางเสวียนกังวลนั้นมีเหตุผลอย่างมาก
หลายปีมานี้ผู้อาวุโสเย่เข้าฌานอยู่ตลอด หากออกฌานมา มิแน่เขาก็อาจจะไปจากโลกนี้เลยก็เป็นได้
และการที่เวลานี้เขาได้เข้ามาช่วยเหลือด้วยวิธีนี้
ก็แสดงชัดถึงท่าทีของเขาแล้ว
สวีฉิงเทียนคิดได้เช่นนั้นใบหน้าก็พลันโศกเศร้าขึ้นมา