เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน - ตอนที่ 298 แดนเหนือเปิดศึก
ตอนที่ 298 แดนเหนือเปิดศึก
ระหว่างที่เมืองเสี่ยวฉือกำลังพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน
ทางทิศเหนือของจงหยวน
ช่วงใกล้ยามเที่ยง
นอกกำแพงหมื่นลี้ที่ดูราวกับมังกรขนาดใหญ่กำลังนอนหลับไหลอยู่บนพสุธา
เมฆสีครามลอยต่ำ หิมะสีขาวราวกับขนห่านโปรยปรายลงมาจากท้องนภาโดยมิมีทีท่าว่าจะหยุด สายลมที่หนาวเหน็บจนเข้ากระดูกพัดผ่านจากดินแดนรกร้างทางเหนือเข้ามาเป็นระลอก
“โฮก ! ”
เสียงคำรามดังสนั่นหวั่นไหวเสียงหนึ่งดังก้องไปทั่วดินแดนที่ไร้ซึ่งขอบเขต
มินานทั่วบริเวณก็มืดครื้มลงทันใด ราวกับมีพายุสีดำลูกใหญ่พัดมาจากดินแดนรกร้างทางเหนือ
หวังจะพุ่งชนกำแพงที่ขวางกั้นแดนเหนือมายาวนานแห่งนี้ให้แตกสลาย เพื่อเปิดทางให้บุกเข้าไปในจงหยวน
ขณะเดียวกัน เนื่องด้วยค่ายกลสังหารมากมายที่วางเอาไว้บนกำแพง รวมทั้งค่ายกลป้องกันได้ถูกจักรพรดิมารตนนั้นทำลายจนหมดสิ้นแล้ว
เวลานี้ผู้บำเพ็ญเพียรลัทธิเต๋าแห่งจงหยวนนับแสนคนจึงมาประจำอยู่ด้านล่างกำแพง รวมตัวกันตั้งขบวนเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้าหลาย ๆ กลุ่ม เป็นภาพที่อลังการมิแพ้กัน
พวกเขาแต่ละคนล้วนมีท่าทางเย็นชา สายตาแน่วแน่ มิว่าจะต้องทำเยี่ยงไรก็ต้องหยุดฝ่ายมารไว้ที่กำแพงแห่งนี้ให้จงได้
เวลาผ่านไปประมาณหนึ่งก้านธูป
รถม้าคันใหญ่ที่สร้างมาจากกระดูกคันหนึ่ง ถูกชายฉกรรจ์ที่มีเขาบนศีรษะ ร่างกายกำยำ แขนทั้งสองข้างเต็มไปด้วยรอยสักสีดำหลายสิบคนแบกเข้ามา ก่อนจะหยุดลงห่างออกไปมิถึงร้อยจั้ง
เห็นได้ชัดว่าสตรีที่มีพลังกดดันทุกคนที่อยู่ ณ ที่นี้ได้ ก็คือจักรพรดิมารตนนั้น
ตู๋กูชิงเฟิง !
นางอยู่ในชุดสีม่วงเข้มอันหรูหรา ผมยาวสลวยราวกับเกลียวคลื่น พลิ้วไหวไปมา
ขณะเดียวกันเนื่องด้วยไอพลังที่แผ่ออกมาจากร่างของนางนั้นรุนแรงเป็นอย่างมาก จึงทำให้ทั้งด้านหน้าและด้านหลังของนางดูพร่ามัวไปหมด จนมิสามารถมองเห็นใบหน้าที่แท้จริงของนางได้
เมื่อเห็นภาพตรงหน้า กลุ่มผู้นำของเหล่าผู้บำเพ็ญเพียรลัทธิเต๋าที่ยื่นอยู่ด้านหน้า ก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที
ช่างน่ากลัวยิ่งนัก !
นี่หรือคือพลังที่แท้จริงของจักรพรรดิมาร !
แค่ไอพลังที่แผ่ออกมาจากร่างก็ทำให้อากาศรอบ ๆ ตัวสั่นสะเทือน จนทุกอย่างรอบกายดูเลือนลางไปหมด
ทว่าแม้จะน่ากลัวเพียงใด แต่ทุกคนกลับมิได้หวั่นเกรงแม้แต่น้อย และมิมีใครถอยหลังแม้แต่คนเดียว
หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายเผชิญหน้ากันอยู่เช่นนั้นพักใหญ่
เสียงเย็นชาที่เต็มไปด้วยพลังอันน่าสะพรึงกลัวเสียงหนึ่ง ก็ดังออกมาจากรถม้าคันนั้น
“พวกมนุษย์หน้าโง่ ค่ายกลสังหารและค่ายกลป้องกันทั้งหมดของแดนเหนือถูกข้าทำลายไปจนหมดสิ้นแล้ว พวกเจ้ายังฝันกลางวันอยู่อีกหรือ ว่าจะสามารถขวางมิให้ข้านำคนในเผ่านับล้านเข้าจงหยวนได้ ? ”
สิ้นเสียงเจ้าสำนักจื่อชิงที่ยืนอยู่หน้าสุดก็ก้าวออกมา พร้อมกับเอ่ยด้วยแววตาวาวโรจน์ “หากมารอย่างพวกเจ้าต้องการเข้าจงหยวน ก็ต้องข้ามศพพวกเราไปก่อน ! ”
ตู๋กูชิงเฟิงแค่นหัวเราะออกมาเสียงเย็นชา จากนั้นก็สะบัดแขนเสื้อหนึ่งครั้ง คลื่นพลังอันน่ากลัวพลันพวยพุ่งออกมา รุนแรงราวกับคลื่นทะเลที่ซัดสาด
วินาทีต่อมา ผู้บำเพ็ญเพียรลัทธิเต๋านับแสนต่างก็สีหน้าตื่นตกใจ พร้อมกับต้องถอยหลังไปหลายก้าวอย่างอดมิได้
ทว่าทันทีที่คลื่นพลังอันน่ากลัวจางหายไป ทุกคนก็ส่งเสียง “หึ” ออกมาเบา ๆ ก่อนจะก้าวขึ้นมาพร้อม ๆ กัน
ตู๋กูชิงเฟิงที่เห็นเช่นนั้นก็ลุกขึ้นยืนทันที
นางกวาดตามองผู้บำเพ็ญเพียรของลัทธิเต๋านับแสนคน พลางเอ่ยอย่างมิแยแสว่า “ในเมื่อพวกเจ้าตัดสินใจแน่วแน่เช่นนี้ ข้าก็จะมิรังแกพวกเจ้าที่อ่อนแอกว่าก็แล้วกัน”
“ลัทธิเต๋าของพวกเจ้าหากมิมีผู้บำเพ็ญเพียรระดับมหายานมาร่วมรบ ข้าก็จะมิลงมือเด็ดขาด แต่หากพวกเจ้าสามารถรับมือปีศาจนับล้านที่อยู่ทางด้านหลังของข้าได้ ข้าสัญญาว่าเผ่าของข้าจะมิเข้าไปในจงหยวนอีกตลอดกาล”
สิ้นเสียงนักพรตฉางเสวียนก็ก้าวออกมา พร้อมกับเอ่ยว่า
“ถ้าเช่นนั้นก็… บุก ! ”
“บุก ! ”
“บุก ! ”
“บุก ! ”
ทันใดนั้น ผู้บำเพ็ญเพียรลัทธิเต๋านับแสนคนที่อยู่ทางด้านหลังของนักพรตฉางเสวียนก็ตะโกนขึ้นพร้อม ๆ กัน เสียงดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ พร้อมกับพลังมหาศาลพุ่งขึ้นฟ้า
“โฮก ! ”
“โฮก ! ”
“โฮก ! ”
ทว่าฝ่ายมารนับล้านก็มิยอมอ่อนข้อเช่นกัน ต่างเงยหน้าคำรามขึ้นฟ้า เสียงดังสนั่นเลื่อนลั่นไปทั่วเช่นกัน
วินาทีต่อมา ทั้งสองฝ่ายที่มิอาจอยู่ร่วมกันได้ก็พุ่งเข้าไปหากัน พร้อมกับไอสังหารที่รุนแรงราวกับฝูงตั๊กแตนที่บินข้ามพรมแดนก็มิปาน เป็นปรากฏการณ์ที่น่าตื่นตาตื่นใจยิ่งนัก
ทันใดนั้น หลังจากกลุ่มผู้นำของลัทธิเต๋าปล่อยพลังปราณออกมา และทะยานขึ้นฟ้าพร้อมจิตสังหารอันดุดันที่ห่อหุ้มเอาไว้
ผู้แข็งแกร่งฝ่ายมารเองก็หาได้เกรงกลัวไม่ พวกเขาต่างพากันทะยานขึ้นฟ้า พร้อมด้วยไอพลังอันชั่วร้ายที่ห่อหุ้มร่างเอาไว้เช่นกัน
ทั้งสองฝ่ายราวกับได้ตกลงกันไว้แล้ว บัดนี้บนท้องฟ้าจึงกลายเป็นสนามรบของเหล่าผู้นำจากทั้งสองฝ่ายไปเรียบร้อยแล้ว
ขณะเดียวกัน ผู้บำเพ็ญเพียรลัทธิเต๋าคนอื่น ๆ
เนื่องด้วยพื้นที่ในต่อสู้นั้นคับแคบเกินไป ทำให้ผู้ที่มีตบะบารมีค่อนข้างสูงจึงเลือกที่จะเหาะเข้าไป ส่วนพวกที่มีตบะบารมีระดับต่ำลงมาต่างก็พากันวิ่งเข้าไปแทน
ทว่าแม้สถานการณ์การสู้รบจะอลหม่านเพียงใด แต่การบุกของคนในลัทธิเต๋าก็ยังคงมีแบบแผน
โดยพวกเขาจะบุกเข้าไปเป็นกลุ่มก้อนหลาย ๆ กลุ่ม ก่อนทะลวงเข้าไปอย่างเป็นระเบียบ
ส่วนการบุกของฝ่ายมารนั้นราวกับสัตว์ป่าเคลื่อนที่ก็มิปาน
แต่ละตนมีใบหน้าดุดัน ดวงตาแดงก่ำ ร่างกายแผ่ไอพลังดุร้ายและน่าสะพรึงกลัวออกมา เป็นภาพที่ชวนตื่นตระหนกเป็นอย่างยิ่ง
เพียงชั่วอึดใจ
มิว่าจะเป็นบนฟ้าหรือว่าพื้นดิน ทั้งสองฝ่ายต่างก็เข้าประจันหน้ากัน ทำให้บรรยากาศเต็มไปด้วยความตึงเครียด
เพียงเสี้ยววินาที เสียงระเบิดของพลังปราณก็ดังสนั่นหวั่นไหวขึ้นอย่างต่อเนื่อง
พลังปราณมหาศาลปั่นป่วน ราวกับคลื่นกระแทกฝั่ง…
เวลาผ่านไปมิถึงหนึ่งเค่อ
ค่ายกลสังหารที่ผู้บำเพ็ญเพียรลัทธิเต๋าสร้างขึ้นกระตุ้นพลังฟ้าดิน ทำให้สัตว์ประหลาดร่างกายสูงใหญ่ ถูกไฟเผาและระเบิดตายอยู่ตรงนั้น
บางคนก็ถูกไอกระบี่มหาศาลฟาดฟันใส่ ทำให้ร่างแยกออกจากกัน บ้างก็แขนขาด เลือดสาดกระเซ็น จนมิสามารถจะต่อสู้ได้อีก
ระหว่างที่ผู้บำเพ็ญเพียรลัทธิเต๋ากำลังสังหารเผ่ามารอยู่นั้น
ก็มีผู้แข็งแกร่งเผ่ามารได้แปลงร่างเป็นแสงสีโลหิต ใช้เคล็ดวิชาโบราณ ยอมสละแม้แต่ชีวิตเพื่อทำลายค่ายกลสังหาร จากนั้นก็เหวี่ยงหมัดสังหารใส่ผู้บำเพ็ญเพียรลัทธิเต๋า ก่อนจะใช้กรงเล็บกระชากร่างของผู้บำเพ็ญเพียรลัทธิเต๋าออกเป็นชิ้น ๆ
เป็นภาพที่น่าเวทนาเกินจะรับได้ และน่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก
ผ่านไปมิถึงหนึ่งชั่วยาม
ทั้งสองฝ่ายต่างก็มีคนบาดเจ็บล้มตายนับร้อยในสนามรบอันยิ่งใหญ่แห่งนี้
ทว่าการต่อสู้กลับยังคงทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ
ผู้บำเพ็ญเพียรลัทธิเต๋าเมื่อเห็นค่ายกลสังหารถูกทำลาย สหายร่วมสำนักล้มตายอย่างน่าอนาถ ด้วยน้ำมือของผู้แข็งแกร่งฝ่ายมาร
ก็ทำให้เลือดลมและพลังวิญญาณภายในร่างไหลย้อนกลับ พวกเขายอมใช้วิธีทำลายตนเองที่โหดร้ายเช่นนี้ เพื่อตายไปพร้อมกับผู้แข็งแกร่งฝ่ายมาร
ส่วนผู้แข็งแกร่งฝ่ายมารกลับโหดร้ายยิ่งกว่า พวกเขาช่วงชิงเลือดและร่างกายของปีศาจในเผ่าเพื่อใช้ในเคล็ดวิชาชั่วร้าย และเสริมให้ตนนั้นแข็งแกร่งขึ้น
ทันใดนั้น รอบนอกกำแพงทางเหนือ
ดินแดนอันแห้งแล้งและกว้างใหญ่ไร้ขอบเขตแห่งนี้
ต่างนองไปด้วยเลือด ทั้งสองฝ่ายต่างบาดเจ็บและล้มตายราวกับใบไม้ร่วง ช่างเป็นภาพที่น่าอเนจอนาถยิ่งนัก
ทว่าเหตุการณ์ที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ยังคงเลวร้ายลงไปได้อีก โดยมิมีทีท่าว่าจะจบลงง่าย ๆ
เวลานี้ ตู๋กูชิงเฟิงที่นั่งอยู่บนรถม้าคันใหญ่
มิว่าจะเป็นผู้บำเพ็ญเพียรลัทธิเต๋าที่ล้มลง หรือว่าผู้แข็งแกร่งฝ่ายมารต้องดับสูญ นางกลับยังคงนิ่งเฉย และมิมีทีท่าว่าจะขยับกายแม้แต่น้อย
จนเวลาผ่านไปประมาณสามชั่วยาม
มุมปากของตู๋กูชิงเฟิงก็ยกยิ้มออกมา พลางเอ่ยกับตัวเองว่า “ลัทธิเต๋าในยุคนี้คงตกต่ำลงแล้วจริง ๆ ศึกแดนเหนือในครานี้ จึงมิมีผู้บำเพ็ญเพียรระดับมหายานมาเข้าร่วมแม้แต่คนเดียว”
“ดี มากันเยอะ ๆ สิยิ่งดี”
สิ้นเสียงก็มีเสียงชายชราเสียงหนึ่ง ดังขึ้นมาจากขอบฟ้าไกล ๆ
“ข้าซือถูเจิ้นผิงขอร่วมศึกด้วย ! ”
ยังมิทันสิ้นเสียง ไอกระบี่อันรุนแรงราวกับสายธาราก็ทะลวงแหวกอากาศนับหมื่นจั้งเข้ามาในทันใด
“จิตกระบี่นี่ถือว่ามิเลว แต่น่าเสียดายที่เจ้ายังอ่อนแอเกินไป”
เมื่อพูดจบ ตู๋กูชิงเฟิงก็ลุกขึ้นยืน ก่อนจะหายตัวไปไกลนับสิบลี้