เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน - ตอนที่ 299 สะท้านสวรรค์
ตอนที่ 299 สะท้านสวรรค์
พริบตาเดียว ตู๋กูชิงเฟิงก็ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งยังภูเขาหินเตี้ย ๆ ลูกหนึ่ง
โดดเด่นเหนือผู้ใด ผมดำเงางามปลิวสยายไปตามลม ชายอาภรณ์สีม่วงโบกสะบัด ก่อนที่ไอกระบี่อันทรงพลังจะพุ่งเข้ามาหมายปลิดชีวิต
ทว่านางกลับเต็มไปด้วยความทรงอำนาจราวจักรพรรดินีที่ยืนตระหง่านอยู่ตรงนั้น สง่างามจนมิมีผู้ใดจะเทียบเคียงได้
เมื่อไอกระบี่ที่ราวกับสายธาราพุ่งเข้ามา และอยู่ห่างจากตู๋กูชิงเฟิงมิถึงสิบจั้ง
จู่ ๆ ก็เกิดภาพที่ชวนตกตะลึงภาพหนึ่งขึ้น
ไอกระบี่ไร้พ่ายสายนั้นกลับเกิดระเบิดขึ้นกลางอากาศ ระลอกแล้วระลอกเล่า ราวกับปะทะปราการเหล็กก็มิปาน
ในตอนนั้นเอง ซือถูเจิ้นผิงที่ยืนบนไอกระบี่สายธาราที่ไหลเป็นสายยาวนับหมื่นลี้ ราวกับเซียนกระบี่แห่งยุคที่ท่องอยู่กลางนภา ก็ปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับท่วงท่าสง่างามจนยากที่จะบรรยายออกมาได้
ขณะเดียวกัน ฮูเอี๋ยนเจินชวน หนานกงชิงหมิง และมู่หรงชวน รวมถึงผู้แข็งแกร่งของสี่ตระกูลโบราณคนอื่น ๆ ต่างก็ทยอยปรากฏตัวขึ้นเช่นกัน
“จักรพรรดิของฝ่ายมารตนนี้ดูเหมือนจะมีฝีมือที่มิธรรมดาเลย”
ฮูเอี๋ยนเจินชวนเอ่ยขึ้นพร้อมกับขมวดคิ้วมุ่น เมื่อมองเห็นไอกระบี่ที่อยู่ไกลออกไป ต่างก็มลายหายไปในอากาศอย่างน่าพิสดาร
ซีเหมิยเหลยหู่พยักหน้าเห็นด้วย สีหน้าเต็มไปด้วยความเคร่งเครียด “ความแตกฉานในวิถีกระบี่ของซือถูเจิ้นผิงเรียกได้ว่ามิเป็นสองรองใคร โดยเฉพาะเจตจำนงแห่งกระบี่สายธาราที่ผู้อาวุโสเย่ถ่ายทอดให้”
“ไอกระบี่โหมกระหน่ำราวกับสายธารา พลังกระบี่รุนแรงราวกับเกลียวคลื่นก็มิปาน ดุดันอย่างหาที่เปรียบมิได้ ก่อนหน้านี้ข้าเคยประลองฝีมือกับเขามาแล้ว สุดท้ายข้ายังถูกกดดันจนจำต้องใช้กำลังทั้งหมดอีกด้วย”
ทุกคนได้ยินเช่นนั้น ต่างก็พยักหน้าเห็นด้วย
หลังจากนิ่งเงียบอยู่สักพัก มู่หรงหลินก็หันไปเอ่ยกับคนหนุ่มสาวของตระกูลโบราณทั้งสี่ว่า “ที่นี่ปล่อยให้พวกข้าที่เป็นผู้อาวุโสจัดการเอง พวกเจ้าไปช่วยคนอื่น ๆ ที่สนามรบเถอะ”
“ขอรับ/เจ้าค่ะ ! ”
พวกมู่หรงลี่จูคำนับลงเล็กน้อย จากนั้นก็เหาะไปยังสนามรบด้านหน้าทันที
ในตอนนั้นเอง ซือถูเจิ้นผิงที่อยู่ห่างจากตู๋กูชิงเฟิงอีกเพียงร้อยจั้ง ในที่สุดก็หยุดลง
เขาขมวดคิ้วแน่น สีหน้าเข้มขึ้นเมื่อเห็นว่าเจตจำนงแห่งกระบี่สายธารามิอาจเข้าใกล้ตู๋กูชิงเฟิงได้เลยแม้เพียงครึ่งเชียะ เห็นเช่นนั้นเขาจึงรีบประสานมือทำมุทราเปลี่ยนเคล็ดวิชาโจมตีในทันที
“สะท้านสวรรค์ ! ”
ซือถูเจิ้นผิงคำรามออกมา พลังบนกายพลันระเบิดขึ้น
ทันใดนั้น รอบกายของเขาก็เกิดสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง พลังปราณมหาศาลพลุ่งพล่านขึ้นอย่างรวดเร็ว
ขณะเดียวกัน ไอกระบี่มากมายส่งเสียงดังออกมาเป็นระลอก เจตจำนงแห่งกระบี่เคลื่อนที่ขึ้นลงราวกับคลื่น และแผ่กระจายไปรอบกาย
สิ้นเสียงร่างของเขาก็หายวับไปทันที ก่อนจะปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งบนเจตจำนงแห่งกระบี่สายธารา
ทว่าในวินาทีนั้นเอง จู่ ๆ เจตจำนงแห่งกระบี่สายธาราก็แปรเปลี่ยนกลายเป็นมังกรกระบี่ตัวหนึ่ง ที่ห่อหุ้มไปด้วยพลังกระบี่ไร้พ่าย ก่อนจะทะยานขึ้นไป
และตรงส่วนหัวของมังกรมีซือถูเจิ้นผิงยืนตระหง่านอยู่
วินาทีต่อมา ซือถูเจิ้นผิงก็ได้พุ่งตัวไปด้านหน้าราวกับกระบี่
ทันใดนั้นไอกระบี่มากมายใต้ฝ่าเท้าของเขาพลันแตกสลายไป ก่อนที่บนหัวจะมีไอกระบี่อันแข็งแกร่งยาวกว่าร้อยจั้งสายหนึ่งปรากฎขึ้น
จากนั้นไอกระบี่ที่ยาวกว่าร้อยจั้งสายนี้พุ่งเข้าไปอย่างอุกอาจ และเต็มไปด้วยพลังทำลายล้างอันน่าสะพรึงกลัว เพื่อหมายสังหารตู๋กูชิงเฟิง
ทันใดนั้นทุกที่ที่ไอกระบี่สายนี้พาดผ่าน ภายในรัศมีร้อยจั้งก็พังทลายลงจนเกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วบริเวณ
ขณะเดียวกันเมื่อคลื่นพลังกระบี่อันน่าสะพรึงกลัวพุ่งลงมา พื้นดินใต้เบื้องล่างก็ทรุดลงเป็นวงกว้าง ช่างเป็นภาพที่น่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก
วินาทีนี้ราวกับวันสิ้นโลกมาเยือนก็มิปาน
แค่ดูก็รู้แล้วว่ากระบวนท่านี้ของซือถูเจิ้นผิงนั้นร้ายกาจเพียงใดกัน
สำหรับซือถูเจิ้นผิง กระบวนท่านี้นับว่าแข็งแกร่งที่สุดสำหรับเขาแล้ว
เพราะกระบวนท่านี้เขาได้ที่นำเจตจำนงแห่งกระบี่สองชนิดซึ่งอยู่ภายในภาพอักษรพู่กันที่ผู้อาวุโสเย่ประทานให้มาผสานกัน
สายน้ำเชี่ยวกราก หนักแน่น เจตจำนงแห่งกระบี่ไร้ที่สิ้นสุด
เจตจำนงแห่งกระบี่ปลายวสันต์ เปลี่ยนความคิดของชีวิต กระบี่เป็นแฝงจิตสังหาร กระบี่ตายแฝงไอชีวิต กลับไปกลับมา
เจตจำนงแห่งกระบี่ที่แตกต่างกัน ทว่ากลับผสานเข้าด้วยกันอย่างสมบูรณ์แบบ ทำให้เจตจำนงแห่งกระบี่สายธารามีจุดสิ้นสุด และเจตจำนงแห่งกระบี่ปลายวสันต์มีจุดจบ
เช่นนี้แล้วเจตจำนงแห่งกระบี่นี้จึงสามารถสะท้านสวรรค์ !
ตอนที่เขาอ่านกวีปีนที่สูงบทนั้นซ้ำไปซ้ำมา จู่ ๆ ก็เกิดการเข้าใจเจตจำนงแห่งกระบี่ที่ไร้เทียมทานนี้เข้าพอดี
เพราะเหตุนี้เขาจึงยิ่งเลื่อมใสในตัวผู้อาวุโสเย่มากขึ้นไปอีก
แค่ได้รับการถ่ายทอดเจตจำนงแห่งกระบี่ที่แข็งแกร่งถึงสองชนิด เขาเองก็พึงพอใจมากแล้ว
แต่คาดมิถึงว่าภายในเจตจำนงแห่งกระบี่สองชนิดนี้ จะแฝงเจตจำนงแห่งกระบี่อีกหนึ่งชนิดเอาไว้ด้วย มิหนำซ้ำยังน่ากลัวกว่าเจตจำนงแห่งกระบี่สองชนิดแรกอีกด้วย
ความรู้สึกของซือถูเจิ้นผิงในตอนนั้นจึงสับสนเป็นอย่างมาก !
ทว่าเจตจำนงแห่งกระบี่นี้แม้จะไร้เทียมทาน ทรงอำนาจ แต่หากนำออกมาใช้ นั่นหมายความว่าหลังจากนั้นเขาจะไร้ซึ่งเรี่ยวแรงในทันที
แต่สาเหตุที่เขาเลือกสำแดงเจตจำนงแห่งกระบี่ที่แข็งแกร่งนี้ออกมา ทั้ง ๆ ที่ยังใช้กระบวนท่าเจตจำนงแห่งกระบี่สายธาราอยู่นั้น
ก็เพราะเจตจำนงแห่งกระบี่นี้แข็งแกร่งและทรงพลังมากที่สุด ทว่าเขากลับยังมิเคยใช้มันมาก่อนแม้แต่ครั้งเดียว
แต่เพราะผู้ที่อยู่ตรงหน้าเป็นถึงจักรพรรดิมาร เป็นสุดยอดผู้แข็งแกร่งที่ก้าวเข้าสู่ระดับจักรพรรดิมาตั้งแต่สมัยบรรพกาล
เช่นนั้นการต่อสู้ในครั้งนี้ เขาจึงมิมั่นใจว่าจะชนะได้
เช่นนั้นถ้าต้องเลือกระหว่างการต่อสู้อันดุเดือดยาวนาน แต่สุดท้ายต้องพ่ายแพ้แล้ว
มิสู้เลือกใช้กระบวนท่าที่แข็งแกร่งที่สุด ตัดสินแพ้ชนะไปซะยังจะสะใจเสียกว่า
คิดได้เช่นนั้น สีหน้าหดหู่ใจของซือถูเจิ้นผิงก็เผยรอยยิ้มโล่งอกออกมา
ขณะเดียวกัน ตู๋กูชิงเฟิงที่ยืนตระหง่านอยู่บนเนินเขาเล็ก ๆ เหมือนกับสัมผัสได้ถึงอันตรายบางอย่าง
วินาทีต่อมา นางจึงได้เพ่งสมาธิก่อนที่เบื้องหน้าจะปรากฏพิณโบราณตัวหนึ่งขึ้นมา
“เจ้ามนุษย์น้อย กระบวนท่านี้ของเจ้าแม้จะแข็งแกร่งมิน้อย แต่ข้าจะดูสิว่าด้วยตบะบารมีของเจ้าในตอนนี้ จะสามารถออกกระบวนท่าได้อีกกี่กระบวนท่ากัน ! ”
สิ้นเสียง ตู๋กูชิงเฟิงก็กรีดนิ้วอันเรียวงามลงไปบนสายพิณเบา ๆ
“แต๊ง… แต๊งแต๊ง… แต๊งแต๊งแต๊ง… แต๊ง…”
ทันใดนั้น ทุกสรรพสิ่งทั่วบริเวณราวกับถูกสะกดเอาไว้
มีเพียงเสียงพิณอันนุ่มนวล ราวกับเสียงจากสวรรค์ที่ลอยเข้ามาในโสตประสาต...
จนเวลาผ่านไปมิกี่อึดใจ
ก็เกิดเหตุการณ์แปลกประหลาดขึ้น
เมื่อไอกระบี่ร้อยจั้งที่กำลังพุ่งเข้าหาตู๋กูชิงเฟิงสายนั้น เกิดสั่นขึ้นมาน้อย ๆ
ก่อนที่ไอกระบี่จะค่อย ๆ มลายหายไปในอากาศจนหมดสิ้น
ทันทีที่ได้เห็นภาพพิสดารตรงหน้า
มิว่าจะเป็นซือถูเจิ้นผิง หรือผู้แข็งแกร่งจากสี่ตระกูลผู้พิทักษ์โบราณ
ทุกคนต่างก็ต้องเบิกตาโพลง และเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก
กระบวนท่านี้ของซือถูเจิ้นผิงน่ากลัวเพียงใด พวกเขาต่างก็เคยได้สัมผัสมันมาแล้ว
ทว่าจักรพรรดิมารตนนั้น ใช้วิชาภูตผีอันใดกัน ถึงสามารถทำลายพลังโจมตีของซือถูเจิ้นผิงได้ง่ายดายเช่นนี้ ?
น่าเหลือเชื่อ !
ช่างน่าเหลือเชื่อยิ่งนัก !
เวลาผ่านไปมิกี่อึดใจ
วินาทีที่ตู๋กูชิงเฟิงกดสายพิณเอาไว้
ความเสียหายที่ซือถูเจิ้นผิงสร้างเอาไว้ก่อนหน้านี้ ก็กลับมาเป็นปกติดังเดิม
ตอนนั้นเอง ซือถูเจิ้นผิงพลันมีสีหน้าซีดเผือดลง ไร้ซึ่งเรี่ยวแรงใด ๆ จนร่างกายสั่นเทา ก่อนจะกระอักเลือดสีแดงสดออกมา
“ท่านฝึกวิชาอันใดกันแน่ ถึงได้พิสดารถึงเพียงนี้ ? ”
ซือถูเจิ้นผิงที่บัดนี้สีหน้าเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง เอ่ยถามพร้อมกับจับจ้องไปยังจักรพรรดิมารตนนั้น
“ข้ายอมรับว่ากระบวนท่านี้ของเจ้านับว่าแข็งแกร่งมิน้อย”
“หากเป็นสมัยบรรพกาล ตอนที่ข้าเพิ่งก้าวเข้าสู่ระดับจักรพรรดิ กระบวนท่านี้ของเจ้าคงสามารถใช้ต่อกรกับข้าได้”
น้ำเสียงของตู๋กูชิงเฟิงเย็นชาจนน่ากลัว และหาได้ตอบตรงคำถามไม่ “แต่เพราะข้าประสบกับเหตุการณ์เสี่ยงตายภายในโลงนวโลกามา บัดนี้ความรู้แจ้งในเคล็ดวิชาของข้าจึงเกินกว่าที่พวกเจ้าจะคาดคิดไปมาก”
เอ่ยเพียงเท่านั้น ตู๋กูชิงเฟิงก็เหลือบมองไปยังฮูเอี๋ยนเจินชวน พลางเอ่ยขึ้นมาเรียบ ๆ ว่า “ต่อไป เชิญพวกเจ้าเข้ามาพร้อมกันได้เลย”
ได้ยินเช่นนั้น พวกฮูเอี๋ยนเจินชวนก็หันไปสบตากันเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้ารับพร้อม ๆ กัน
วินาทีต่อมา พลังปราณรอบกายของพวกเขาก็ปะทุขึ้น ไอพลังอันแข็งแกร่งโหมกระหน่ำ ปกคลุมไปทั่วท้องฟ้าในทันใด
ขณะเดียวกัน พวกเขาต่างก็เลือกใช้ท่าไม้ตายที่แท้จริงของตน ก่อนพุ่งเข้าหาตู๋กูชิงเฟิงพร้อม ๆ กันเพื่อหวังสังหารนางโดยมิลังเลใด ๆ