เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน - ตอนที่ 303 ท่านเย่มิรู้วิชาแพทย์จริง ๆ
ตอนที่ 303 ท่านเย่มิรู้วิชาแพทย์จริง ๆ
สิ้นเสียง เจ้าสำนักต้าหลัว หลัวชุนเฟิง และเหล่าผู้นำของลัทธิเต๋าก็ทะยานขึ้นฟ้าไปทันที
ศิษย์ลัทธิเต๋านับแสนคนภายในเมืองก็เหาะขึ้นฟ้าไปแทบจะพร้อมกัน ตามกระบวนทัพที่กำหนดเอาไว้
จากนั้นได้เหาะผ่านกำแพงแดนใต้ออกไป เพื่อเผชิญกับกองทัพเผ่าปีศาจ
ขณะเดียวกันกองทัพเผ่าปีศาจก็ได้ยกทัพมุ่งหน้ามาที่กำแพงของแดนใต้เช่นเดียวกัน เป็นภาพที่น่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก
ทว่าขณะที่กองทัพปีศาจบุกเข้ามาประชิดกำแพงแดนใต้นั้น เหล่าปีศาจกลับถูกสังหารจนนองไปด้วยเลือดโดยมิทันรู้ตัว
เมื่อจู่ ๆ ก็มีลำแสงลึกลับพวยพุ่งขึ้นมา ท่ามกลางกองทัพเผ่าปีศาจ
ขณะเดียวกันจิตสังหารอันน่าสะพรึงกลัว และไอพลังเก่าแก่จากค่ายกลสังหารก็ปะทุออกมา
“ปัง ปัง ปัง ปัง ปัง ! ”
มินานหลังจากเสียงระเบิดดังขึ้น กองทัพปีศาจก็ถูกปกคลุมไปด้วยไอเลือดอันรุนแรงภายในพริบตา
เพียงมิกี่อึดใจ
เหล่าปีศาจนับพันนับหมื่นที่อยู่ในร่างเดิม ต่างนอนตายจนเกลื่อนกลาดไปทั่ว
ภาพที่เห็นช่างน่าสยดสยองยิ่งนัก !
ถูกต้อง !
แม้ว่าด้านบนของกำแพงแดนใต้จะมิได้มีสุดยอดค่ายกลสังหาร และค่ายกลป้องกันที่เหล่าบรรพบุรุษทิ้งเอาไว้ ทว่าในสมัยบรรพกาล ผู้แข็งแกร่งมากมายของเผ่ามารและเหล่าบรรพบุรุษของลัทธิเต๋าเคยเปิดศึกครั้งใหญ่ขึ้นที่นี่
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือที่นี่เคยเป็นสนามรบโบราณมาก่อน ภายในพื้นที่แห่งนี้จึงเต็มไปด้วยอันตรายมากมาย เรียกว่าเป็นแดนต้องห้ามของสิ่งมีชีวิตเลยก็ว่าได้ !
และกำแพงแดนใต้ก็ถูกสร้างขึ้น ตรงตำแหน่งที่เป็นชายแดนของสนามรบโบราณพอดี
จึงทำให้ด้านหน้าของกำแพงแดนใต้ กลายเป็นเขตป้องกันตามธรรมชาติไปโดยปริยาย
หากกองทัพปีศาจต้องการผ่านกำแพงแดนใต้เพื่อบุกเข้าจงหยวน เช่นนั้นพวกเขาก็จะต้องผ่านแดนต้องห้ามแห่งนี้มาให้ได้เสียก่อน
แน่นอนว่าบรรดาผู้แข็งแกร่งของเผ่าปีศาจเองก็รู้ความลับนี้เช่นกัน
นั่นก็คือเหตุผลว่าทำไมต้องให้กองทัพปีศาจทั้งหมดแปลงเป็นร่างเดิมเสียก่อน มิได้ผ่านแดนต้องห้ามแห่งนี้เข้ามาด้วยร่างมนุษย์
เพราะหลังจากพวกปีศาจแปลงเป็นร่างเดิมแล้ว ล้วนมีร่างกายใหญ่โต
หากบังเอิญสัมผัสโดนค่ายกลสังหารที่แฝงอยู่ภายในสนามรบโบราณแห่งนี้ หรือต้องพบกับอันตรายอื่น ๆ ต่อให้ร่างกายจะถูกสังหาร แต่ก็ยังสามารถช่วยให้พวกพ้องที่ตามมาทางด้านหลัง สามารถหลีกเลี่ยงอันตรายและลดการสูญเสียลงได้
เช่นนี้มิเพียงเผ่าปีศาจจะลดการสูญเสียลง ทว่ายังสามารถเข้าจงหยวนได้เร็วขึ้นอีกด้วย
แต่ต้องยอมรับว่าเนื่องด้วยท่าทีของจ้าวปีศาจถูซื่อในการประชุมครั้งนั้น ทำให้ปีศาจเผ่าต่าง ๆ อดมิได้ที่จะเกิดความหวาดกลัวต่อผู้ที่เหนือกว่าจักรพรรดิในจงหยวนท่านนั้น
ด้วยเหตุนี้ก่อนหน้าที่จะบุกมาที่นี่ หัวหน้าเผ่าปีศาจต่าง ๆ จึงได้ปรึกษาหารือกันล่วงหน้ามาแล้ว
ขอเพียงพวกเขาเข้าสู่จงหยวนได้ภายในเวลาอันสั้น และสามารถนำเคล็ดวิชาที่เหล่าบรรพบุรุษของเผ่าต่าง ๆ ทิ้งเอาไว้ในดินแดนโบราณของเผ่าปีศาจออกมาได้
ถึงตอนนั้นต่อให้ผู้ที่เหนือกว่าจักรพรรดิท่านนั้นจะเข้ามาขวาง อย่างมากพวกเขาก็แค่กลับไปเทือกเขาแดนใต้อีกครั้งก็เท่านั้น
ขอเพียงได้เคล็ดวิชาที่เหล่าบรรพบุรุษทิ้งเอาไว้ แค่รอเวลาเท่านั้น เผ่าปีศาจก็จะกลับมาผงาดอีกครั้ง
เมื่อปีศาจเผ่าต่าง ๆ กลับมาผงาดอีกครั้ง ดินแดนจงหยวนก็จะตกเป็นสมบัติของพวกเขาในที่สุด
ตอนนั้นเอง สงครามระหว่างผู้บำเพ็ญเพียรลัทธิเต๋านับแสนคน และกองทัพปีศาจก็กำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว
โดยเหล่าผู้นำของสำนักเต๋าแต่ละสำนักต่างร่วมมือกัน เปิดศึกกับมังกรดำที่ผงาดอยู่บนท้องฟ้า
ทันใดนั้นท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ก็เกิดเสียงคำรามกึกก้องไปทั่ว คลื่นพลังถาโถมจนห้วงอากาศบิดเบี้ยวและพังทลายลง
พลังฟ้าดินมหาศาลปั่นป่วนและโกลาหลจนยากจะคาดเดา พุ่งทะยานออกไปอย่างต่อเนื่อง ดวงดาวที่ส่องแสงเรืองรองราวกับเปลวไฟ…
ส่วนเบื้องล่างนั้นศิษย์ลัทธิเต๋านับแสนคนก็ได้รวมตัวกัน สร้างกระบวนทัพมากมาย กระจายอยู่กลางอากาศ
ก่อนที่พวกเขาจะสร้างค่ายกลหลากหลายขนาดขึ้น
มินานก็มีกระบี่แสงอันงดงามพุ่งลงมาจากค่ายกลเหล่านั้น ก่อนจะทิ่มแทงใส่กองทัพปีศาจที่อยู่บนพื้นดิน บ้างก็ทะยานขึ้นฟ้าฟาดฟันเข้าใส่ปีศาจนกขนาดใหญ่ที่มีดวงตาแดงก่ำ
บ้างก็มีตราประทับโบราณที่ห่อหุ้มพลังทำลายล้างเอาไว้ เปล่งแสงออกมาจากกระบวนทัพ ก่อนจะพุ่งลงสู่ด้านล่าง…
แน่นอนว่าเมื่อต้องเผชิญหน้ากับการโจมตีของศิษย์ลัทธิเต๋านับแสน
เหล่าปีศาจที่มีร่างกายสูงใหญ่ที่อยู่บนพื้นดินก็กระโจนขึ้นไปกลางอากาศทันที เพียงพริบตาก็พ่นเปลวเพลิงอันร้อนแรงออกมาจากปาก เพื่อต้องการเผาทำลายทุกสิ่งทุกอย่างให้สิ้นซาก
ปีศาจวานรร่างกายกำยำ มีฝ่ามือขนาดใหญ่ ได้หยิบก้อนหินขนาดใหญ่ขึ้นมา ก่อนขว้างขึ้นไปด้านบน…
ทันใดนั้น ทั้งบนฟ้าและบนดินต่างก็เต็มไปด้วยความโกลาหล กระบี่แสงฟาดฟันลงมาใส่ปีศาจที่ร่างกายขนาดใหญ่นับสิบตน จนเลือดสาดกระเซ็นไปทั่ว
ทว่าเปลวไฟอันร้อนแรงที่พ่นขึ้นไปกลางอากาศ ก็ทำให้ศิษย์ลัทธิเต๋าหนึ่งกระบวนทัพถูกเผาจนไหม้เกรียมเช่นกัน
เป็นภาพที่น่าสยดสยองยิ่งนัก !
หลังจากสงครามปะทุขึ้นมิถึงหนึ่งชั่วยาม
ศิษย์ของลัทธิเต๋านับหมื่นคนต่างล้มตายอยู่นอกกำแพงแดนใต้ บ้างก็มิเหลือแม้แต่ซาก
ส่วนกองทัพปีศาจเองก็สูญเสียไปมิน้อยเช่นกัน
มีปีศาจนับหมื่นตนต่างดับสูญกลายเป็นเพียงหมอกเลือดที่มีกลิ่นคาวคละคลุ้งจนติดจมูก เพราะถูกค่ายกลสังหาร รวมถึงอันตรายอื่น ๆ ที่ซ่อนอยู่ในสนามรบโบราณแห่งนี้
ขณะเดียวกันเนื่องจากการโจมตีที่รุนแรงและต่อเนื่องของบรรดาศิษย์ลัทธิเต๋า ก็ทำให้ค่ายกลสังหารอันน่าสะพรึงกลัวที่ถูกฝังอยู่ในส่วนลึกในพื้นดินถูกกระตุ้นไปด้วย
จึงทำให้ภายในระยะเวลาหนึ่งชั่วยามนี้ กองทัพปีศาจที่มีเหล่าปีศาจนับแสนตนต้องเสียชีวิตอยู่ ณ ที่แห่งนี้เป็นจำนวนมาก
แต่แม้จะเป็นเช่นนั้น
หากเทียบกับการสูญเสียของฝั่งลัทธิเต๋าแล้ว ถือว่ากองทัพปีศาจนั้นเกิดการสูญเสียน้อยกว่าอย่างเห็นได้ชัด
เยี่ยงไรเสียกองทัพปีศาจก็มีจำนวนมากกว่าเกือบล้านตน ส่วนลัทธิเต๋านั้นมีคนทั้งหมดเพียงแค่แสนคนเท่านั้น
และที่ทำให้ทุกคนกังวลมากที่สุดก็คือ
บนท้องฟ้าของแดนใต้
ต่อให้ผู้นำของสำนักเต๋าร่วมมือกัน แต่เมื่อต้องเผชิญกับปีศาจที่เกือบจะกลายเป็นจักรพรรดิปีศาจจำนวนมากเช่นนี้ มิหนำซ้ำยังต้องรับมือกับการโจมตีของปีศาจที่เหลืออีกมากมายด้วยแล้ว
ลัทธิเต๋าย่อมตกเป็นรองอย่างเห็นได้ชัด
………………………………
เพียงพริบตา
หลายวันผ่านไป
ข่าวอันน่าตกใจ ก็แพร่ไปทั่วทั้งจงหยวนอย่างรวดเร็วราวกับไฟลามทุ่ง
หลังจากการต่อสู้ยืดเยื้ออยู่หลายวัน แดนใต้ก็เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ กองทัพปีศาจนับแสนจึงสามารถข้ามกำแพงแดนใต้เข้ามาสู่จงหยวนได้สำเร็จ
ศิษย์ลัทธิเต๋านับแสนคนหลังเจอกับศึกใหญ่ครั้งนี้ ก็บาดเจ็บล้มตายไปเป็นจำนวนมาก และเหลือเพียงมิถึงสามหมื่นคนเท่านั้น
ขณะเดียวกัน แม้ว่าฝ่ายมารจะยังมิได้ข้ามกำแพงแดนเหนือมา แต่คนของลัทธิเต๋าบัดนี้ก็บาดเจ็บล้มตายไปมิน้อย เชื่อว่าอีกมินานฝ่ายมารก็จะสามารถเข้ามาในจงหยวนได้
ซึ่งหมายความว่าจงหยวนจะต้องเผชิญกับสงครามที่แท้จริงแล้ว
ในวันเดียวนี้เอง
ด้านนอกเมืองเสี่ยวฉือ
เจ้าสำนักต้าหลัวที่สวมอาภรณ์เปรอะเปื้อนไปด้วยเลือด รวมทั้งผู้นำลัทธิเต๋าที่รอดมาได้ต่างก็มารวมตัวกันอยู่ที่นี่
“เจ้าสำนักต้าหลัว จะลังเลอีกมิได้แล้วนะ”
ประมุขเฒ่าจากนิกายกระดูกเหล็กเอ่ยด้วยใบหน้าซีดเซียว และท่าทางเศร้าสร้อย “เจ้าสำนักกู่หัวและประมุขสำนักบำเพ็ญเพียรหลายคนต้องสละชีวิตในศึกแดนใต้ครานี้ ศิษย์ลัทธิเต๋านับแสนคนของเรา บัดนี้เหลือมิถึงสามหมื่น”
ทันทีที่สิ้นเสียง
“ใช่แล้ว เจ้าสำนักต้าหลัว พวกเราจะลังเลอีกต่อไปมิได้แล้ว”
ผู้เฒ่าที่แขนขาดท่านหนึ่ง เอ่ยขึ้นพร้อมน้ำตาที่ไหลพราก “แดนใต้ถูกทำลายแล้ว และตามข่าวที่ส่งมาจากแดนเหนือ แดนเหนือเองก็คาดว่าจะยื้อเอาไว้ได้อีกมินานแล้ว”
“มิว่าผู้อาวุโสเย่จะมีท่าทีเช่นไร แต่เรื่องนี้เกี่ยวพันกับความอยู่รอดของลัทธิเต๋าของเรา เยี่ยงไรเสียพวกเราก็ต้องแจ้งเรื่องนี้ให้ผู้อาวุโสเย่ทราบอยู่ดี”
ก่อนที่จะมีอีกคนเอ่ยขึ้นด้วยความโมโหว่า “ต่อให้ผู้อาวุโสเย่มาจากสวรรค์ แต่เยี่ยงไรเสียเขาก็เป็นคนในลัทธิเต๋าของเรา ข้ามิเชื่อหรอกว่าเขาจะทนดูลัทธิเต๋าล่มสลายไปต่อหน้าต่อตาได้”
ได้ยินเช่นนั้น หลัวชุนเฟิงก็เผยสีหน้าแน่วแน่ออกมา พร้อมกับพยักหน้าเห็นด้วย
“ข้าเข้าใจความรู้สึกของพวกเจ้าในตอนนี้ดี”
เอ่ยถึงตรงนี้ หลัวชุนเฟิงก็กวาดตามองทุกคนด้วยสายตาแน่วแน่ “พวกเจ้ารออยู่ที่นี่ก่อน ข้าจะไปพบผู้อาวุโสเย่เดี๋ยวนี้”
เอ่ยจบหลัวชุนเฟิงก็หมุนตัว เดินตรงไปยังเมืองเสี่ยวฉือในทันที
เวลาผ่านไปประมาณหนึ่งก้านธูป
เมื่อหลัวชุนเฟิงปรากฏตัวขึ้นที่กลางเมืองเสี่ยวฉือ
ทันใดนั้น ทุกคนต่างก็จ้องมองมาที่เขาด้วยสายตาแปลก ๆ
“เถ้าแก่ มิทราบว่าบ้านของท่านเย่อยู่ที่ใดงั้นหรือ ? ”
หลัวชุนเฟิงเอ่ยถามกับเถ้าแก่เว่ย ขณะมาหยุดอยู่ตรงหน้าร้านสุราแห่งเดียวในเมืองเสี่ยวฉือ
เมื่อเห็นหลัวชุนเฟิงที่อยู่ในชุดเปื้อนเลือด ผมเผ้ายุ่งเหยิง เถ้าแก่เว่ยก็ตกใจเป็นอย่างมาก
“ท่านผู้เฒ่า ท่านประสบกับอะไรมาเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
เถ้าแก่เว่ยรีบฉีกยิ้มก่อนจะเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง
หลัวชุนเฟิงโบกมือไปมา แล้วตอบกลับไปว่า “ข้ามิได้เป็นอะไร วันนี้ที่มาก็เพื่อมาตามหาท่านเย่ก็เท่านั้น”
เถ้าแก่เว่ยพิจารณาผู้เฒ่าที่สวมชุดเปื้อนเลือดไปทั่วร่างอีกครั้ง พร้อมกับพยายามอธิบายว่า “ท่านผู้เฒ่า ท่านเย่เขามิรู้วิชาแพทย์จริง ๆ อีกทั้งร้านของชำของเขาก็มิได้ขายยาด้วย ท่านไปร้านอื่นจะดีกว่า”
หลัวชุนเฟิงได้ยินเช่นนั้น มุมปากก็กระตุกขึ้นมาอย่างอดมิได้