เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน - ตอนที่ 308 ความแค้นระหว่างเจ้ากับข้า บัดนี้ถึงเวลาชำระความกันแล้ว
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน
- ตอนที่ 308 ความแค้นระหว่างเจ้ากับข้า บัดนี้ถึงเวลาชำระความกันแล้ว
ตอนที่ 308 ความแค้นระหว่างเจ้ากับข้า บัดนี้ถึงเวลาชำระความกันแล้ว
หลังจากยืนส่งเปาต้าเหมยกลับไปแล้ว
เย่ฉางชิงก็ปิดประตูลง ก่อนหมุนกายไปสบตากับตู๋กูชิงเฟิงที่นั่งรออยู่หน้าโต๊ะ จากนั้นก็หิ้วไตเสือดำแห้งสองห่อ เข้าไปเก็บในครัวเงียบ ๆ
มินานเย่ฉางชิงก็กลับออกมานั่งตรงข้ามกับตู๋กูชิงเฟิง
“คนเมื่อครู่เอาอะไรมาให้เจ้าหรือ ? ”
ตู๋กูชิงเฟิงคีบผักให้กับเย่ฉางชิง พลางถามขึ้นด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ
“มิมีอะไร”
เย่ฉางชิงชั่งใจเล็กน้อย จากนั้นก็ยิ้มออกมา “พวกเขาเห็นเจ้า จึงได้เอาเนื้อแห้งมาให้สองห่อ”
ตู๋กูชิงเฟิงมองเย่ฉางชิงอย่างครุ่นคิด พร้อมกับถามออกมาอย่างเรียบ ๆ ว่า “เจ้าชอบชีวิตที่เรียบง่ายเช่นนี้หรือ ? ”
เย่ฉางชิงผงะไปเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้าออกมาอย่างจำยอม
‘หากมิใช่เพราะขาดคุณสมบัติในการบำเพ็ญเพียร เป็นถึงผู้ทะลุมิติมา ทว่าจนถึงบัดนี้ก็ยังมิมีดัชนีทองคำอะไรนั่นเลย’
‘ใครจะยอมมาอยู่ในเมืองที่ห่างไกลเช่นนี้กัน ? ’
‘เป็นผู้แข็งแกร่งที่ไร้พ่ายเหนือผู้ใด ทะนงตนเหนือใต้หล้ามิดีหรือเยี่ยงไร ? ’
หลังจากทั้งสองกินมื้อค่ำเสร็จแล้ว
เย่ฉางชิงก็ได้ดีดเพลง ๆ หนึ่งให้กับตู๋กูชิงเฟิง
จนเวลาผ่านไปเกือบจะครึ่งค่อนคืน
หลังจากเย่ฉางชิงกลับเข้าห้องไปพักผ่อนแล้ว ตู๋กูชิงเฟิงก็ได้มายืนรับลมอยู่ใจกลางลานเพียงลำพัง
ทันใดนั้น ภายในลานเล็ก ๆ ที่อาบไปด้วยแสงสีขาวนวลของจันทรา เมื่อกระทบกับร่างอรชรอ้อนแอ้น ที่งดงามจับใจร่างนั้นแล้ว
จึงกลายเป็นภาพที่งดงามราวกับภาพวาดก็มิปาน
“พวกเราเคยอุทิศตนเพื่อเต๋า เพียงเพื่อแสวงหาโอกาสในการมีชีวิตบนมหามรรคาอันยากลำบาก และบรรลุขึ้นสวรรค์”
“ทว่าบัดนี้ทุกสิ่งที่ผ่านมาราวกับเมฆาที่เคลื่อนผ่าน เมื่อได้กลับมามีชีวิตที่เรียบง่ายเช่นนี้ จึงได้ตระหนักว่าชีวิตเช่นนี้ บางทีอาจจะเหมาะกับพวกเรามากกว่า”
เอ่ยถึงตรงนี้ มุมปากของตู๋กูชิงเฟิงก็ยกขึ้นเป็นรอยยิ้มอ่อนโยน พลางหันมองไปยังห้องของเย่ฉางชิง
“ฉางชิง นับแต่นี้ไปข้าจะอยู่เป็นเพื่อนเจ้าที่นี่ ใช้ชีวิตที่เรียบง่าย อยู่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับเจ้าตลอดไป…”
ขณะเดียวกัน หลังจากผ่านไปหลายชั่วยาม
ในที่สุดเทพหลิวและถูสือซานรวมทั้งราชันทมิฬ ก็ปรากฏตัวขึ้นยังพื้นที่ที่สมัยบรรพกาลเคยถูกปีศาจเผ่าต่าง ๆ ยึดครอง
สถานที่แห่งนี้ตั้งอยู่ทางใต้ของจงหยวน เป็นพื้นที่ของแคว้นต้าฉู่หนึ่งในสี่แคว้นโบราณแห่งจงหยวน
เพียงแต่ที่แห่งนี้ค่อนข้างห่างไกล และรายล้อมไปด้วยขุนเขา มีต้นไม้โบราณขึ้นเบียดเสียดหนาแน่น น้อยคนนักที่จะย่างกรายเข้าไป
ขณะเดียวกัน ที่นี่ยังมีค่ายกลสังหารมากมายกระจายอยู่ทุกทิศทุกทาง
เช่นนั้นจึงแทบมิมีใครกล้าก้าวเท้าเข้ามาที่นี่
แต่เวลานี้กองทัพปีศาจนับแสนตนที่ได้แปลงกายเป็นมนุษย์แล้ว
ต่างเข้ามายึดครองยังดินแดนของบรรพบุรุษแห่งนี้ ตามแผนที่ที่สืบทอดกันมาภายในเผ่า
และหลังจากที่มาถึงดินแดนโบราณนี้ หัวหน้าของแต่ละเผ่าก็รีบเรียกเหล่าปีศาจมาประชุมหารือกันทันที
เพื่อป้องกันการโจมตีอย่างกะทันหันของผู้ที่แข็งแกร่งกว่าจักรพรรดิท่านนั้น แล้วขับไล่พวกเขาออกไปจากจงหยวนอีกครั้ง
หัวหน้าของทุกเผ่าจึงตัดสินใจว่า คืนนี้ให้ปีศาจทุกเผ่าเตรียมความพร้อม พอถึงวันรุ่งขึ้นให้มุ่งหน้าเข้าไปยังส่วนลึกของดินแดนโบราณ และช่วยกันค้นหาเคล็ดวิชาที่บรรพบุรุษของแต่ละเผ่าทิ้งเอาไว้ทันที
ทว่าจู่ ๆ พวกเทพหลิวที่เหาะมาจากบนฟ้า ก็ปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศบนดินแดนโบราณแห่งนี้
โดยเฉพาะเมื่อสุนัขที่สวมกางเกงขาสั้น นำมือทั้งสองข้างไพล่หลังเอาไว้ปรากฏสู่สายตาของทุกคน
ทันใดนั้น ผู้แข็งแกร่งเผ่าปีศาจที่เฝ้าอยู่ตามที่ต่าง ๆ พลันมีสีหน้าเปลี่ยนไป พร้อมกับเริ่มถกเถียงกันขึ้น
“เจ้าสุนัขไร้ยางอายตัวนั้น เหตุใดจึงมาปรากฏตัวที่นี่ได้ ! ”
“หรือว่ามันจะมาจากเผ่าใดเผ่าหนึ่งที่หายสาบสูญไปแล้วจริง ๆ มิเช่นนั้นเหตุใดถึงหาที่นี่เจอได้เล่า ? ”
“มิต้องกังวลไป ราชันทมิฬแม้เวลานี้จะมีตบะบารมีระดับจ้าวปีศาจ แต่พวกเรามีเหล่าผู้อาวุโสอยู่ด้วย เขามิกล้าเข้ามาก่อกวนหรอก”
“พวกเจ้าดูสตรีที่สวมอาภรณ์สีขาวนั่นสิ นั่นถูสือซานแห่งเผ่าจิ้งจอกวิญญาณมิใช่หรือ ? ”
“เหมือนกับในตำนานมิมีผิด แต่ไอพลังของนางดูแข็งแกร่งขึ้นมากจริง ๆ ! ”
“สมกับเป็นอัจฉริยะของเผ่าวิญญาณจิ้งจอก อายุเท่านี้แต่กลับแข็งแกร่งได้ถึงเพียงนี้ ! ”
“จริงสิ พวกเจ้าสังเกตเห็นสตรีที่งดงามและเย่อหยิ่งนั่นหรือไม่ ? ”
“คนผู้นี้แม้มิมีไอพลังใด ๆ แผ่ออกมา แต่กลับรู้สึกมีแรงกดดันบางอย่างที่น่าสะพรึงกลัว คาดว่าจะต้องเป็นผู้แข็งแกร่งและมีฝีมือมิธรรมดาเป็นแน่ ! ”
“……”
“……”
ขณะที่ผู้แข็งแกร่งเผ่าปีศาจซึ่งเฝ้าอยู่ตามที่ต่าง ๆ คาดเดากันและถกเถียงกันอยู่นั้น
ราชันทมิฬก็หันไปสบตากับเทพหลิว เมื่อเห็นอีกฝ่ายพยักหน้าให้น้อย ๆ เขาก็รีบก้าวออกไปข้างหน้า
“พวกเจ้าจงฟังให้ดี ! ”
ราชันทมิฬเอาขาหน้าทั้งสองข้างไพล่หลังเอาไว้ ก่อนจะออกคำสั่งว่า “ตามคำสั่งนายท่านของข้า ขอสั่งพวกเจ้าให้ออกไปจากจงหยวนเสีย”
เอ่ยถึงตรงนี้ ราชันทมิฬก็แสยะยิ้มออกมา แสร้งหยุดไปเล็กน้อย ก่อนเอ่ยต่อว่า “มิเช่นนั้นโลกนี้จะไร้เผ่าปีศาจไปตลอดกาล ! ”
หลังจากคำว่า โลกนี้จะไร้เผ่าปีศาจไปตลอดกาล !
“สูด ! ”
ผู้แข็งแกร่งเผ่าปีศาจที่เฝ้าอยู่ตามที่ต่าง ๆ ก็มีสีหน้าสับสนขึ้นมาทันที พลันต่างก็สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ อย่างห้ามมิได้
เห็นได้ชัดว่านายท่านที่ราชันทมิฬเอ่ยถึง เป็นไปได้สูงว่าจะเป็นผู้ที่เหนือกว่าจักรพรรดิท่านนั้น
ผู้ที่เหนือกว่าจักรพรรดิ เช่นนั้นแล้วจะน่ากลัวเพียงใดกัน !
แต่พวกเขาเพิ่งจะเสี่ยงตายบุกเข้ามาในจงหยวน เพื่อกลับมายังดินแดนของบรรพบุรุษได้มิทันไร
แต่จู่ ๆ ผู้ที่เหนือกว่าจักรพรรดิท่านนี้ กลับส่งคนมาบอกให้พวกเขาออกไปจากจงหยวน และกลับไปยังเทือกเขาแดนใต้เสีย
ยิ่งกว่านั้นยังขู่ด้วยว่าจะกำจัดเผ่าปีศาจให้สิ้นซากอีกด้วย
ตอนนั้นเอง ขณะที่ผู้แข็งแกร่งของเผ่าปีศาจซึ่งเฝ้าอยู่ตามที่ต่าง ๆ กำลังตกอยู่ในความเงียบ
เมื่อได้ยินคำขู่อันเหิมเกริมของราชันทมิฬแล้ว
ผู้นำของปีศาจเผ่าต่าง ๆ ก็ทยอยเดินออกมาจากกระโจม
พร้อมกับจ้องมองไปยังพวกราชันทมิฬที่ยืนอยู่กลางอากาศ ด้วยท่าทางเคร่งเครียด ก่อนจะหันไปมองยังกระโจมกลางพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย
มิกี่อึดใจต่อมา
พวกชิวหลงซึ่งมีพลังแข็งแกร่งที่สุดในเผ่าปีศาจ ก็ทยอยเดินออกมานอกกระโจม
“ราชันทมิฬ เจ้าจงกลับไปเรียนนายท่านของเจ้า ว่าพวกเราจะออกไปจากจงหยวน”
ชิวหลงและอีกสี่คนที่เหลือสบตากันเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยออกมาเรียบ ๆ “เพียงแต่ ที่พวกเราเข้ามาจงหยวนก็เพื่อมาเอาเคล็ดวิชาที่เหล่าบรรพบุรุษทิ้งเอาไว้ ขอเพียงพวกเราได้เคล็ดวิชาแล้ว พวกเราจะไปจากจงหยวนทันที”
ขณะที่ชิวหลงกำลังเอ่ยประโยคนี้ออกมา เขาเชื่ออย่างสนิทใจแล้วว่า จงหยวนนั้นมีผู้ที่เหนือกว่าจักรพรรดิอยู่อย่างแน่นอน
เพราะด้วยตบะบารมีของผู้ที่ก้าวเข้าสู่ระดับจักรพรรดิปีศาจเช่นเขา กลับมิอาจสัมผัสได้ถึงไอพลังใด ๆ จากสตรีสวมอาภรณ์เขียว ที่อยู่ทางด้านหลังของราชันทมิฬนางนั้น
เช่นนี้หากมิใช่เพราะสตรีอาภรณ์เขียวมิเคยเข้าสู่วิถีการบำเพ็ญเพียรเลย ก็คงเป็นเพราะตบะบารมีของนางนั้นสูงส่งกว่าเขา
หากตบะบารมีสูงส่งกว่าเขา มิเท่ากับว่านางบรรลุถึงระดับจักรพรรดิในตำนานหรอกหรือ ?
ให้ผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิมาเป็นผู้ส่งสาส์น เพื่อให้พวกเขาถอยกลับเทือกเขาแดนใต้
คิดดูก็รู้แล้วว่าคนที่อยู่เบื้องหลังของพวกเขานั้น แท้จริงแล้วน่ากลัวเพียงใด !
สิ้นเสียงราชันทมิฬก็หันไปสบตากับเทพหลิว ก่อนที่จะปรายตามองลงไปยังผู้เฒ่าชิวหลงที่มีร่างกายกำยำ
“ตาเฒ่า เจ้าฟังที่ข้าพูดมิเข้าใจหรือเยี่ยงไร ? ”
“ห๊ะ ! ”
ชิวหลงหลุบตาลง ท่าทางเคร่งขรึมขึ้น ก่อนจะลอบสื่อสารทางสายตากับอีกสี่คนข้างกาย
“ทุกท่าน ตอนนี้พวกเราจะทำเช่นไรดี ? ”
ชิวหลงเพ่งกระแสจิตเอ่ยถามขึ้น
“จะรับปากมิได้เด็ดขาด ! ”
บุรุษวัยกลางคนที่สวมชุดบัณฑิต ดวงตาเย็นเยียบ มุมปากกระตุกเล็กน้อย ก่อนจะตอบกลับว่า “เผ่าปีศาจของเรากว่าจะเข้ามายังจงหยวนได้ ต้องสูญเสียไปมาก ต่อให้อีกฝ่ายเป็นผู้ที่เหนือกว่าจักรพรรดิจริง ก็มิควรที่จะบีบบังคับกันเช่นนี้”
ชิวหลงขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางเอ่ยขึ้นอย่างเป็นกังวล “แต่เยี่ยงไรเสียอีกฝ่ายก็เป็นผู้ที่เหนือกว่าจักรพรรดิ หาใช่คนที่พวกเราจะสามารถต่อกรด้วยได้”
หลังจากนิ่งเงียบอยู่สักพัก ผู้เฒ่าหลังค่อมก็เพ่งกระแสจิตออกไป “สามวัน ขอเพียงพวกเราสามารถหาสถานที่ที่บรรพบุรุษเคยอาศัยอยู่เจอ ให้ปีศาจเผ่าต่าง ๆ กลับเทือกเขาแดนใต้ไปก่อน ส่วนพวกเราหลังจากได้เคล็ดวิชามาแล้วค่อยตามไปทีหลัง”
ชิวหลงพยักหน้าน้อย ๆ ทว่าในตอนที่เขาเตรียมจะอ้าปากนั้น
เทพหลิวก็ชิงเอ่ยปากขึ้นเสียก่อน
ขณะเดียวกันก็มีมวลพลังทำลายล้างก้อนใหญ่แผ่ออกมา ก่อนจะปกคลุมไปทั่วทั้งดินแดนโบราณภายในพริบตา
“อีกสองวันจงออกไปจากจงหยวนซะ ! ”
เสียงของเทพหลิวเย็นเยียบ เต็มไปด้วยอำนาจที่คนฟังมิอาจขัดขืนได้
‘สองวัน ? ’
ทันใดนั้น มิเพียงแต่ผู้แข็งแกร่งของปีศาจเผ่าต่าง ๆ ที่พากันตกตะลึงจนอ้าปากค้าง แม้แต่พวกชิวหลงเองก็ถึงกับนิ่งงันอย่างมิอาจตอบโต้ได้
จนเวลาผ่านไปหลายอึดใจ
ดวงตาที่เปล่งประกายสีเขียวจาง ๆ ของเทพหลิว พลันจ้องเขม็งไปยังชิวหลง
“อีกเรื่อง”
“ความแค้นระหว่างเจ้ากับข้า บัดนี้ถึงเวลาชำระความกันแล้ว!”
ระดับขั้นพลังของเผ่าปีศาจ
ปีศาจน้อย
ยอดปีศาจ
ราชาปีศาจ
จ้าวปีศาจ (ราชันทมิฬ/ถูสือซาน)
จอมปีศาจ
จักรพรรดิปีศาจ (ชิวหลง)