เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน - ตอนที่ 317 หรือว่าท่านคือต้นหลิวต้นนั้นจริง ๆ ?
‘เขายลสรวง ? ’
ตู๋กูชิงเฟิงขมวดคิ้วน้อย ๆ พร้อมจ้องมองไปยังสตรีลึกลับ ที่มีดวงตาเป็นประกายสีเขียว รอบกายแผ่ไอพลังเต๋าจาง ๆ ออกมา
ใช่แล้ว !
นางเคยไปที่เขายลสรวงนั่นจริง ๆ
แต่ว่า
นี่เหมือนจะเป็นชื่อภูเขาลูกหนึ่งในสมัยบรรพกาล
หากจำมิผิดแล้วล่ะก็ ยังเป็นช่วงที่นางบำเพ็ญเพียรอยู่ในลัทธิเต๋าอีกด้วย
นางตามศิษย์ลัทธิเต๋ามากมายเข้าไปส่วนลึกของแดนลับแห่งหนึ่ง เพื่อหาวิธีฝึกฝนตบะบารมี สุดท้ายก็บังเอิญไปพบเขาลึกลับนามว่าเขายลสรวงเข้า
บนเนินเขาลึกลับลูกนั้น แม้จะมีโอกาสและวาสนาอันยิ่งใหญ่มากมาย แต่ขณะเดียวกันก็แฝงไว้ด้วยค่ายกลสังหารนับมิถ้วน
ตอนนั้นนางและศิษย์ร่วมสำนักได้รับโอกาสและวาสนามากมายก็จริง แต่ทว่ากลับไปกระตุ้นกลสังหารอันน่าสะพรึงกลัวเข้า
สุดท้าย ศิษย์ร่วมสำนักของนางก็ถูกฆ่าตายจนหมด
ส่วนนางโชคดีที่ไปหลบอยู่ใต้ต้นหลิวลึกลับต้นหนึ่ง จึงมีชีวิตรอดมาได้
คิดถึงตรงนี้
ตู๋กูชิงเฟิงอดมิได้ที่จะเอ่ยกับตัวเองในใจว่า
‘มิจริง สตรีนางนี้มิมีทางเป็นสหายร่วมสำนัก ที่ไปร่วมฝึกตนในครานั้นกับข้าอย่างแน่นอน พวกเขาถูกสังหารจนตายไปหมดแล้ว ข้าเห็นมากับตาตัวเองว่ามิมีผู้ใดรอดออกมาได้อีก’
‘แต่ในเมื่อมิใช่พวกเขา เช่นนั้นสตรีลึกลับนางนี้เป็นผู้ใดกันแน่ คงมิใช่ต้นหลิวลึกลับต้นนั้นหรอกกระมัง ? ’
หลังจากนิ่งเงียบอยู่สักพัก ตู๋กูชิงเฟิงก็เผยสีหน้าฉงนออกมา ก่อนจะถามหยั่งเชิงว่า “ท่านคงมิใช่ต้นหลิวบนเขายลสรวงต้นนั้นหรอกกระมัง ? ”
สิ้นเสียงเทพหลิวก็ยิ้มออกมาอย่างมีเลศนัย แต่มิได้เอ่ยสิ่งใด
ถูสือซานและราชันทมิฬนิ่งไปเล็กน้อย ท่าทางเต็มไปด้วยความสงสัยใคร่รู้
สตรีนางนี้เป็นใครกันแน่ ?
ถึงรู้จักกับพี่ต้นไม้ได้
ขณะเดียวกัน ดวงตาของเย่ฉางชิงพลันเปล่งประกายบางอย่างออกมา รอยยิ้มบนใบหน้าพลันดูร่าเริงขึ้นเป็นอย่างมาก
พลังของเสี่ยวหลิวแข็งแกร่งเพียงใดนั้น ผู้ที่ตบะบารมีระดับรวมชีพจรขั้นกลางเช่นเขา ย่อมมิอาจคาดเดาได้
แต่นางแข็งแกร่งจนสามารถพร้อมขึ้นสวรรค์ได้ตลอดเวลา เช่นนี้ก็สามารถอธิบายข้อสงสัยหลาย ๆ อย่างได้แล้ว
ส่วนตู๋กูชิงเฟิงจักรพรรดิมารตนนี้ พลังของนางคงมิต้องพูดถึง
แต่โชคดีที่พวกนางสองคนเคยรู้จักกันมาก่อน
เช่นนี้แล้วขอเพียงเสี่ยวหลิวยังอยู่
ต่อให้จักรพรรดิมารที่มีนิสัยเอาแน่เอานอนมิได้เกิดโมโหขึ้นมา แล้วต้องการที่จะสังหารเขา ถึงเวลานั้นเสี่ยวหลิวย่อมมิมีทางที่จะนิ่งดูดายอย่างแน่นอน
‘เยี่ยม ! ’
‘เยี่ยมจริง ๆ ! ’
‘ขอเพียงมีนางคอยปกป้องเช่นนี้ ต่อไปก็สามารถวางใจและมีเวลาคิดหาแผนการเกลี้ยกล่อมจักรพรรดิมารตนนี้ ให้จากไปแต่โดยดีได้แล้ว’
คิดได้เช่นนั้น เย่ฉางชิงจึงเอ่ยกับทั้งสอง ด้วยรอยยิ้มเต็มหน้าว่า “ในเมื่อพวกเจ้าทั้งสองคนเคยรู้จักกันมาก่อน เช่นนั้นก็เชิญพูดคุยกันตามสบายนะ ข้าจะไปเตรียมมื้อค่ำให้”
ได้ยินเช่นนั้น ตู๋กูชิงเฟิงก็ยิ้มหวานออกมา ดวงตาเรียวยาวเป็นประกาย พร้อมกับเอ่ยออกมาอย่างออดอ้อนว่า
“ฉางชิง ข้าอยากจะกินซุปซี่โครงอะไรนั่น ที่เจ้าทำให้ข้าเมื่อคืนก่อนอีก”
“ห๊ะ ! ”
พวกเทพหลิวได้ยินเช่นนั้น ก็หันไปมองตู๋กูชิงเฟิงที่แสดงท่าทางราวกับเด็กสาว แทบจะพร้อมกัน
ทันใดนั้น ทั้งสามคนก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที พร้อมกับมีท่าทีประหลาดใจ
‘สตรีนางนี้มีความสัมพันธ์เช่นไรกับนายท่านกันแน่ ? ’
‘นี่มัน ! ’
‘นี่… หรือว่าจะเป็นคู่รักหวานแหววในตำนาน ? ’
‘มิใช่กระมัง ! ’
‘ยอดฝีมือที่ไร้เทียมทานอย่างนายท่าน ยังจะมีอารมณ์รักใคร่อีกเยี่ยงนั้นหรือ ? ’
‘อีกทั้งสตรีนางนี้แม้จะมิใช่คนธรรมดา แต่การที่นางคบหากับนายท่านเช่นนี้’
‘นางมิรู้สึกถึงแรงกดดันบ้างเลยเยี่ยงนั้นหรือ ? ’
‘ใสซื่อ ! ’
‘ช่างใสซื่อจริง ๆ ! ’
ผ่านไปครู่หนึ่ง หลังจากเย่ฉางชิงพยักหน้ายิ้ม ๆ แล้ว
ตู๋กูชิงเฟิงและเทพหลิวก็ได้มานั่งเผชิญหน้ากันอยู่ที่หน้าโต๊ะชา
เวลานี้ในใจของทั้งคู่ ต่างก็อยากรู้ว่าอีกฝ่ายนั้นมีความสัมพันธ์กับเย่ฉางชิงเช่นไรกันแน่
“เจ้ารู้จักนายท่านได้เยี่ยงไร ? ”
“ท่านรู้จักกับฉางชิงได้เยี่ยงไร ? ”
“ทำไมเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่ได้ ? ”
ทันทีที่ทั้งสองนั่งลง ก็เอ่ยถามขึ้นมาแทบจะพร้อม ๆ กัน
ทว่าทั้งคู่กลับปิดปากเงียบ เพียงแค่จ้องเขม็งไปยังอีกฝ่ายเท่านั้น
หลังจากเงียบอยู่พักใหญ่ เทพหลิวก็เป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นก่อนว่า
“สิบปีก่อนหลังจากประสบกับหลายสิ่งหลายอย่าง ในที่สุดข้าก็ได้รู้แจ้งถึงจิตแท้ในวิถีแห่งชีวิต จากนั้นจึงอัญเชิญทัณฑ์สวรรค์พิฆาต…”
เวลาผ่านไปประมาณหนึ่งก้านธูป
เทพหลิวก็ได้เล่าตั้งแต่ตอนที่เย่ฉางชิงช่วยเหลือนาง และการที่ได้มาอยู่ในลานที่เต็มไปด้วยจิตแท้แห่งเต๋าอันบริสุทธิ์หลากหลายชนิด เพื่อฟื้นฟูร่างกายและบำเพ็ญเพียรตลอดสิบปีมานี้ ให้ตู๋กูชิงเฟิงฟังจนหมด
ตู๋กูชิงเฟิงที่เงียบอยู่พักใหญ่ จึงเอ่ยถามอย่างครุ่นคิดว่า
“ท่านอยู่กับฉางชิงมานานขนาดนี้ เช่นนั้นท่านรู้หรือไม่ว่าตอนนี้เขาอยู่ระดับใดกันแน่ ? ”
“ตอนนี้แม้วิถีแห่งชีวิตของข้าจะอยู่ในระดับสูงสุดแล้ว แต่ข้าก็ยังคงมิอาจสัมผัสถึงระดับของนายท่านได้”
“เดิมข้าคิดว่าวิถีแห่งชีวิตของข้าบรรลุถึงระดับสูงสุดแล้ว จึงได้อัญเชิญทัณฑ์สวรรค์พิฆาต ทว่าหลังจากที่บำเพ็ญเพียรอยู่ที่ลานเล็ก ๆ แห่งนี้เป็นเวลานับสิบปี ข้าเพิ่งจะรู้ว่าระดับสูงสุดในวิถีแห่งชีวิตที่แท้จริงนั้นเป็นเช่นไร”
เอ่ยถึงตรงนี้ มุมปากของเทพหลิวพลันปรากฏรอยยิ้มเย้ยหยันตัวเองขึ้นมา ก่อนจะถามกลับว่า “เจ้าอยู่กับนายท่านมาสองวันแล้ว คงสัมผัสได้ใช่หรือไม่ ? ”
ตู๋กูชิงเฟิงชะงักงัน จากนั้นก็พยักหน้ารับ
เทพหลิวจึงเอ่ยต่ออีกว่า “ข้ามองว่าผู้ที่ไร้เทียมทานเช่นนายท่าน มิควรถูกวัดด้วยสิ่งที่เรียกว่าระดับขั้นของการบำเพ็ญเพียร และข้าสามารถพูดได้เต็มปากว่า ในโลกใบนี้นายท่านเป็นผู้ที่ไร้พ่ายอย่างแน่นอน”
ตู๋กูชิงเฟิงผงะไปเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้าเห็นด้วย
“จริงสิ เจ้ากับนายท่านรู้จักกันได้เยี่ยงไรงั้นหรือ อีกทั้งยังดูสนิทสนมกันอย่างมากอีกด้วย ? ”
เทพหลิวเอ่ยถามออกมาด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยสงสัย
ได้ยินเช่นนั้น ตู๋กูชิงเฟิงก็เผยสีหน้าอ่อนโยนออกมาทันที
ดวงตาเรียวยาวคู่นั้นพลันเปล่งประกายระยิบระยับ
“ฐานะของข้าคิดว่าท่านคงพอจะเดาได้แล้วกระมัง ? ”
ตู๋กูชิงเฟิงเอ่ยถามออกมาก่อน
เทพหลิวพยักหน้า “ตอนอยู่เขายลสรวง ข้าก็รู้แล้ว”
ตู๋กูชิงเฟิงยิ้มออกมา จากนั้นก็จมอยู่ในห้วงความคิดของตัวเอง อย่างมิได้ตั้งใจอีกครั้ง
“ความจริงแล้วในสมัยบรรพกาล พวกเราทำในสิ่งที่ทุกคนมิกล้าทำ เป็นคู่ชะตาบำเพ็ญเพียร1 ในยุคนั้น”
“จากนั้นในศึกตัดสินระหว่างลัทธิเต๋าของเผ่ามนุษย์และเผ่ามารของข้า ที่สู้รบกันทางแดนเหนือ ขณะที่ชีวิตของข้าอยู่ระหว่างความเป็นและความตายนั้น เขาก็ได้ก้าวออกมาจากกลุ่มผู้แข็งแกร่งลัทธิเต๋า…”
เวลาผ่านไปอีกประมาณหนึ่งก้านธูป
ตู๋กูชิงเฟิงก็ได้เล่าเรื่องราวในอดีตให้เทพหลิวฟังจนหมด
ขณะเดียวกัน จักรพรรดิมารเช่นตู๋กูชิงเฟิงก็ขอบตาแดงก่ำขึ้นมาอีกครั้งอย่างห้ามมิได้ ก่อนที่น้ำตาจะไหลรินลงมาเงียบ ๆ
“บัดนี้ความแตกฉานในวิถีดนตรีของข้าอยู่ในระดับสูงสุดที่แท้จริงแล้ว หากมิใช่เพราะใช้เคล็ดวิชาโบราณสะกดตบะบารมีเอาไว้ตลอด เกรงว่าคงมีทัณฑ์สวรรค์พิฆาตฟาดลงมานานแล้ว”
ตู๋กูชิงเฟิงมองไปยังเทพหลิว พลางเอ่ยด้วยท่าทางแน่วแน่ “นับแต่วันนี้ ข้าจะคอยอยู่เคียงข้างฉางชิงตลอดไป”
“หากวันใดฉางชิงเบื่อหน่ายชีวิตธรรมดาเช่นนี้แล้ว ข้าจะอัญเชิญทัณฑ์สวรรค์พิฆาต จากนั้นก็จะขึ้นสวรรค์ไปพร้อมกับเขา เยี่ยงไรเสียนับแต่นี้ต่อไปมิว่าอะไรก็จะมิสามารถแยกพวกเราจากกันได้อีก”
เทพหลิวชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มแห้ง ๆ ออกมา
ขณะเดียวกัน เย่ฉางชิงที่กำลังเตรียมอาหารอยู่ในครัว และบังเอิญได้ยินคำสารภาพที่ลึกซึ้งของตู๋กูชิงเฟิง ก็มีสีหน้าเอือมระอาขึ้นมาอย่างอดมิได้
‘จริงด้วย ! ’
‘จักรพรรดิมารตนนี้จำคนผิดจริง ๆ ด้วย’
‘ข้าหาใช่ผู้แข็งแกร่งที่กลับชาติมาเกิดไม่ แต่มาจากโลกอันศิวิไลซ์ที่มิมีผู้บำเพ็ญเพียรแล้วต่างหากเล่า’
‘พวกเจ้านี่แปลกประหลาดจริง ๆ ’
‘ข้าใช้หินหุนหยวนไปเป็นล้านก้อน ทว่ากลับยังคงเป็นเพียงผู้บำเพ็ญเพียรระดับรวมชีพจรขั้นกลางเท่านั้น’
‘ทำไมถึงกลายเป็นยอดฝีมือที่ไร้เทียมทานในสายตาของพวกเจ้าได้ ? ’
‘บาปกรรม ! ’
‘หรือว่าการเป็นผู้ทะลุมิติ ต่อให้ไร้ประโยชน์ก็มิสามารถใช้ชีวิตเยี่ยงคนธรรมดาทั่วไปได้ ? ’
หลังจากเย่ฉางชิงพร่ำบ่นออกมาแล้ว ก็เริ่มจัดการอาหารต่อ
ในเวลานี้เย่ฉางชิงแทบอยากจะพุ่งออกไปป่าวประกาศต่อหน้าพวกเขาว่า ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเพียงความเข้าใจผิดเท่านั้น
แต่เพียงมินานเหตุผลก็สามารเอาชนะอารมณ์ชั่ววูบได้
เขารู้ดีว่าหากพูดความจริงออกไปแล้ว
เกรงว่าแม้แต่สุนัขดำตัวใหญ่ภายในลานเล็ก ๆ แห่งนี้ ก็คงจะฉีกกระชากเขาออกเป็นชิ้น ๆ ส่วนอีกสามคนที่เหลือยิ่งมิต้องพูดถึง
ในตอนนั้นเอง จู่ ๆ ตู๋กูชิงเฟิงก็เอ่ยถามขึ้น
“จริงสิ หรือว่าท่านคือต้นหลิวต้นนั้นจริง ๆ งั้นหรือ ? ”
1 คู่ชะตาบำเพ็ญเพียร หมายถึง สหายหรือคู่รักที่ฝึกฝนและบำเพ็ญเพียรร่วมกัน