เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน - ตอนที่ 319 แผนการระยะยาว
ตอนที่ 319 แผนการระยะยาว
สิ้นเสียงตู๋กูชิงเฟิงก็ขมวดคิ้วเบา ๆ พร้อมกับสีหน้าที่เปลี่ยนไปเล็กน้อย
‘นอกเสียจากนายท่านจะยอมยื่นมือเข้ามาช่วย ? ’
‘หมายความว่าเย่ฉางชิงมีวิธีที่จะเปลี่ยนชะตากรรมของเผ่าศักดิ์สิทธิ์เยี่ยงนั้นหรือ’
‘แต่การจะเปลี่ยนชะตากรรมของเผ่าศักดิ์สิทธิ์ได้ จะต้องเป็นวิธีที่มหัศจรรย์พันลึกเยี่ยงไรกัน ? ’
‘เป็นไปมิได้ ! ’
‘เป็นไปมิได้เด็ดขาด ! ’
“เจ้าคงจะยังมิรู้ว่าเผ่าแม่มดของเจ้านั้น จิตวิญญาณโดยกำเนิดมิสมบูรณ์ ทำให้เมื่อบำเพ็ญเพียรถึงขั้นสุดท้าย กลับมิสามารถรู้แจ้งในจิตแท้แห่งมหามรรคาได้”
เมื่อเห็นตู๋กูชิงเฟิงมีสีหน้าฉงน เทพหลิวก็ส่ายหน้าไปมายิ้ม ๆ “การจะเปลี่ยนแปลงชะตากรรมเผ่าแม่มดของเจ้า จึงจำเป็นจะต้องหาวิธีฟื้นฟูจิตวิญญาณ”
“หรือไม่ก็ให้เผ่าแม่มดของเจ้าหลอมรวมกับมนุษย์เสีย อย่างเช่นเจ้าที่เกิดมาก็ทำลายพันธการนั้นได้ จนสามารถบำเพ็ญเพียรมาจนถึงทุกวันนี้ มิเพียงรู้แจ้งในจิตแท้แห่งมรรคา ยิ่งกว่านั้นยังสามารถบรรลุเป็นเซียนได้ด้วย”
“ส่วนเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น คิดว่าเจ้าก็คงจะคิดเองได้กระมัง”
เอ่ยถึงตรงนี้ เทพหลิวก็ยกชาขึ้นจิบเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวต่อ
“ช่วงต้นของสมัยบรรพกาล เผ่าแม่มดและเผ่าปีศาจได้แบ่งโลกออกเป็นสองส่วน จากนั้นเมื่อเผ่าพันธุ์มนุษย์ถือกำเนิดและผงาดขึ้นมา ใช้เวลาเพียงหมื่นปีเท่านั้นกลับสามารถขับไล่เผ่าแม่มดของเจ้าและเผ่าปีศาจออกไปจากจงหยวนได้สำเร็จ”
“เช่นนั้นข้าจึงคิดว่าการมีอยู่ของเผ่าพันธุ์มนุษย์นับเป็นชะตาและตัวแปรสำคัญ ส่วนเผ่าแม่มดของพวกเจ้าหากต้องการเปลี่ยนแปลงโชคชะตา จึงจำเป็นจะต้องหลอมรวมกับเผ่าพันธุ์มนุษย์”
สิ้นเสียง ตู๋กูชิงเฟิงก็พยักหน้ารับอย่างมิอยากที่จะเชื่อ ก่อนจะถามอย่างสงสัยว่า “เช่นนั้นเหตุใดท่านถึงบอกว่า หากฉางชิงยอมยื่นมือเข้ามาช่วยก็จะสามารถเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของเผ่าศักดิ์สิทธิ์ของข้าได้เล่า ? ”
เทพหลิวเงียบไปสักพัก จากนั้นก็ลอบชำเลืองไปทางห้องครัว
“ก็มิมีอะไรมาก”
เทพหลิวหลุบตาลง พร้อมกับค่อย ๆ เอ่ยว่า “เพราะข้าอยูที่นี่มาสิบปีแล้ว เคยเห็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อมามากมาย”
“นายท่านสามารถผสานจิตแท้แห่งเต๋ามากมายเข้าไปอยู่ในพิณ หมากล้อม ภาพอักษรพู่กัน รวมถึงภาพวาดได้อย่างง่ายดาย นั่นหมายความว่านายท่านสามารถควบคุมมหามรรคาได้อย่างที่ใจต้องการ และข้ายังมิเคยได้ยินว่ามีผู้ที่สามารถทำเช่นนี้ได้มาก่อน”
“ส่วนเผ่าแม่มดของเจ้า เนื่องจากมีข้อบกพร่องมาตั้งแต่กำเนิด ทำให้มิสามารถรู้แจ้งในจิตแท้มหามรรคาได้ เช่นนั้นข้าเดาว่านับแต่อดีตมาคงมีเพียงนายท่านเท่านั้น ที่จะมีความสามารถมากพอเปลี่ยนแปลงสิ่งเหล่านี้ได้”
ได้ยินเช่นนั้น ตู๋กูชิงเฟิงพลันชะงักไปทันที
จนเวลาผ่านไปหลายอึดใจ
ตู๋กูชิงเฟิงก็หันไปมองทางห้องครัว จากนั้นก็พึมพำกับตัวเองว่า
“หากข้าเป็นคนขอร้องฉางชิง เขาจะยอมตกลงหรือไม่นะ ? ”
เสียงของตู๋กูชิงเฟิงมิดังเท่าไรนัก แต่เทพหลิวกลับได้ยินมันอย่างชัดถ้อยชัดคำ
ทว่าเทพหลิวกลับมิได้เอ่ยสิ่งใดออกมา นางเพียงยกมุมปากขึ้นและเผยรอยยิ้มที่มีเลศนัยออกมาแทน
เพราะนับตั้งแต่ที่ตู๋กูชิงเฟิงบอกนางว่า เย่ฉางชิงคือผู้ที่นางถวิลหาทุกค่ำเช้ากลับชาติมาเกิด
ความจริงแล้วส่วนลึกภายในใจของนางหาได้เชื่อคำพูดนั้นไม่
นางมองว่าผู้ที่เก่งกาจเช่นนายท่าน น่าจะอยู่บนโลกใบนี้มาก่อนที่นางจะกำเนิดสติปัญญาเสียอีก
หรืออาจจะนานกว่านั้น
อีกอย่างนายท่านมิมีทางเป็นคนของโลกใบนี้อย่างแน่นอน
ส่วนเหตุผลที่ว่าเหตุใดนายท่านถึงมิบอกความจริงแก่ตู๋กูชิงเฟิง
บางทีอาจจะเป็นเพราะนายท่านใกล้จะไปจากโลกใบนี้แล้ว จึงมิต้องการให้ตู๋กูชิงเฟิงรู้สึกหดหู่ใจ
สิ่งนี้เป็นเรื่องที่เทพหลิวรู้สึกนับถือเย่ฉางชิงเป็นอย่างมาก
เห็นได้ชัดว่าเขานั้นอยู่เหนือทุกสรรพสิ่ง แต่กลับเข้าถึงได้ง่ายดาย
จิตใจที่สูงส่งเช่นนี้ นางมิสามารถเข้าถึงได้จริง ๆ
คิดถึงตรงนี้เทพหลิวก็อดมิได้ที่จะยิ้มเยาะตัวเอง พลางทอดถอนใจ ‘นายท่านสามารถมีจิตใจเช่นนี้ได้ บางทีอาจเป็นเพราะพวกเราอ่อนแอเกินไปกระมัง ! ’
ตอนนั้นเอง เย่ฉางชิงก็เดินออกมาจากห้องครัว
“เสี่ยวหลิว ชิงเฟิง พวกเจ้าพอก่อนเถอะ มื้อค่ำใกล้จะเสร็จแล้ว พวกเจ้าไปเตรียมตัวเถอะ”
เย่ฉางชิงเอ่ยด้วยใบหน้าที่แฝงรอยยิ้มอบอุ่น
จนเวลาผ่านไปประมาณหนึ่งก้านธูป
พวกเย่ฉางชิงก็ได้นั่งล้อมกันอยู่ที่หน้าโต๊ะตัวหนึ่ง
ส่วนราชันทมิฬยังคงหมอบอยู่กับพื้น แลบลิ้นสีแดงสดออกมาและส่ายหางมิหยุด อยู่ทางด้านหลังของเย่ฉางชิงดังเดิม
“ชิงเฟิง เจ้าบอกว่าอยากกินซุปซี่โครงที่ข้าทำมิใช่หรือ เหตุใดถึงมิกินเล่า ? ”
เย่ฉางชิงอดที่จะถามขึ้นมามิได้ เมื่อเห็นท่าทางใจลอยของตู๋กูชิงเฟิง
ได้ยินเช่นนั้นตู๋กูชิงเฟิงจึงได้สติขึ้นมาอีกครั้ง ดวงตาของนางจับจ้องไปยังเย่ฉางชิง พร้อมกับเอ่ยออกมาอย่างช้า ๆ
“ฉางชิง ข้าอยากขอให้เจ้าช่วยคนในเผ่าของข้า”
สิ้นเสียงแม้สีหน้าของเย่ฉางชิงจะยังเรียบนิ่ง ทว่าภายในใจกลับเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก
‘เจ้าพูดจริงหรือนี่ ? ’
‘’เจ้าคิดว่าข้าเป็นพระเจ้าเยี่ยงนั้นหรือ ? ’
‘แค่สวดมนต์ก็สามารถทำให้กองทัพฝ่ายมารนับแสนตน ก้าวข้ามขีดจำกัดได้เยี่ยงนั้นหรือ ? ’
‘ข้ามีตบะบารมีเพียงแค่ระดับรวมชีพจรขั้นกลางจริง ๆ นะ ! ’
‘ยิ่งไปกว่านั้น ! ’
‘ต่อให้จะมีหนทางเช่นที่ข้าคิดเอาไว้ก่อนหน้านี้’
‘ใช้ตราประทับจิตวิญญาณดั้งเดิมจากเทพบรรพบุรุษ แก้ไขข้อบกพร่องโดยกำเนิดของเผ่าแม่มด’
‘แต่เทพบรรพบุรุษที่ว่าจะหามาจากไหนกันเล่า ? ’
‘พวกเจ้าคงมิคิดว่าข้าคือเทพบรรพบุรุษในตำนานหรอกกระมัง ? ’
‘พี่สาวทั้งหลาย ! ’
‘พวกเจ้าตื่นเสียทีเถอะ หากมิใช่เพราะเวลานี้ข้ายากที่จะลงจากหลังเสือแล้วล่ะก็ ข้าคงจะบอกความจริงกับพวกเจ้าไปตั้งนานแล้ว’
‘ข้าเป็นเพียงแค่ผู้ชายธรรมดาคนหนึ่ง หาใช่บุคคลที่ไร้เทียมทานเช่นที่พวกเจ้าคิดไม่’
ทว่าแม้จะเป็นเช่นนั้น แต่เย่ฉางชิงก็เข้าใจดีว่า
หากเวลานี้เขากล่าวปฏิเสธจักรพรรดิมารตนนี้ออกไป
ต่อให้จะมีเสี่ยวหลิวอยู่ด้วย และตู๋กูชิงเฟิงคงมิลงมือทำอะไรในตอนนี้ แต่หากนางหมายมั่นเอาไว้ในใจเล่า ?
อีกทั้งวันข้างหน้ายังอีกยาวไกลนัก มิแน่หากวันใดบังเอิญเผยพิรุธขึ้นมา
ถึงตอนนั้นทำให้ตู๋กูชิงเฟิงโมโหขึ้นมา คงมิอาจคาดเดาผลที่จะตามมาได้อย่างแน่นอน
‘อืม ! ’
‘เวลานี้จะปฏิเสธนางมิได้อย่างเด็ดขาด จำเป็นต้องคิดถึงผลที่จะตามมาในระยะยาวเข้าไว้ ! ’
หลังจากนิ่งเงียบไปสักพัก ทันทีที่เย่ฉางชิงได้สติขึ้นมา พลันเขาก็เผยสีหน้าที่ยากจะเข้าใจออกมา
“ชิงเฟิง มิใช่ข้ามิต้องการช่วยเจ้าหรอกนะ”
เย่ฉางชิงเอ่ยออกมาเรียบเรื่อย
ได้ยินเช่นนั้น ดวงตาเรียวยาวคู่นั้นของตู๋กูชิงเฟิง พลันมีประกายบางพาดผ่าน
“ฉางชิง เช่นนี้ก็แสดงว่าเจ้ามีวิธีเปลี่ยนแปลงโชคชะตาเผ่าศักดิ์สิทธิ์ของข้าจริง ๆ น่ะหรือ ? ”
ตู๋กูชิงเฟิงเอ่ยขึ้นด้วยความประหลาดใจ
เย่ฉางชิงเลียริมฝีปากเล็กน้อย จากนั้นจึงเอ่ยด้วยท่าทางจริงจังว่า “วิธีก็พอจะมีอยู่”
“แต่ว่าการจะแก้ไขข้อบกพร่องโดยกำเนิดของเผ่าแม่มด จำเป็นต้องใช้ตราประทับจิตวิญญาณดั้งเดิมจากเทพบรรพบุรุษ ทว่าจิตวิญญาณดั้งเดิมของข้าในตอนนี้ถูกทำลายและยังฟื้นฟูมิสำเร็จ เช่นนั้นตอนนี้จึงยังมิอาจช่วยเจ้าได้”
เอ่ยถึงตรงนี้เย่ฉางชิงก็แสร้งทำเป็นหยุดพูดไปดื้อ ๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้นอีกครั้ง
“ชิงเฟิง เจ้ามิต้องกังวลไปหรอก จิตวิญญาณดั้งเดิมของข้าเพียงแค่ต้องใช้เวลาในการฟื้นฟู ขอเพียงจิตวิญญาณของข้ากลับมาแล้ว ข้าก็จะสามารถใช้ตราประทับจิตวิญญาณดั้งเดิมช่วยแก้ไขข้อบกพร่องโดยกำเนิดให้เผ่าเจ้าได้”
‘เทพบรรพบุรุษ ? ’
‘ตราประทับจิตวิญญาณดั้งเดิม ! ’
‘มีวิธีแก้ไขข้อบกพร่องโดยกำเนิดของเผ่าแม่มดอยู่จริง ๆ ด้วย ! ’
สิ้นเสียง แม้พวกตู๋กูชิงเฟิงจะรู้สึกพูดมิออก ทว่าภายในใจกลับเต็มไปด้วยความยินดี
เพราะพวกนางมองว่านี่เป็นครั้งแรก ที่เย่ฉางชิงยอมเผยตัวตนที่แท้จริงของเขาออกมาต่อหน้าพวกนาง
‘เทพบรรพบุรุษ ! ’
แม้จะมิรู้ว่าแท้จริงแล้วคือสิ่งใดกันแน่ แต่เพียงแค่ชื่อเรียกนี้ก็ทำให้คนฟังอดที่จะรู้สึกหวั่นเกรงขึ้นมามิได้
เวลานี้ภายในใจของทั้งสามคน จึงรู้สึกตื่นแต้นและยินดียิ่งนัก
โดยเฉพาะตู๋กูชิงเฟิง
เมื่อได้ยินเย่ฉางชิงรับปากเช่นนั้น ความปิติภายในใจพลันยากที่จะอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้
ขณะเดียวกัน เมื่อเย่ฉางชิงเห็นท่าทางของพวกตู๋กูชิงเฟิง
ภายนอกแม้จะเขาจะยกยิ้มออกมาเรียบ ๆ ทว่าภายในใจกลับอดที่ถอนใจออกมาอย่างโล่งอกมิได้
โชคดีที่พวกนางต่างก็มิรู้ว่าเทพบรรพบุรุษหมายถึงสิ่งใดกันแน่
หากพวกนางรู้ว่าเทพบรรพบุรุษก็คือผู้ที่ถูกผ่าฟ้าจนดินแยกออกจากกันในยุคที่โลกมีแต่ความโกลาหลท่านนั้น เกรงว่าเขาคงมิมีชีวิตรอดจนพ้นคืนนี้เป็นแน่
ทว่าสิ่งนั้นสำคัญอะไรอีก เพราะสิ่งสำคัญกว่าในตอนนี้ ขอเพียงพวกนางทั้งสามคนเชื่อว่านั่นคือเรื่องจริงก็พอแล้ว
อีกทั้งเขายังได้บอกพวกตู๋กูชิงเฟิงไปแล้วว่า จิตวิญญาณดั้งเดิมของเขานั้นได้รับความเสียหาย
ในความเข้าใจของเย่ฉางชิงนั้น
จิตวิญญาณดั้งเดิมเป็นอะไรที่ลึกลับซับซ้อนอย่างมาก หากบาดเจ็บจะต้องใช้เวลาฟื้นฟูเป็นเวลานาน
โดยเฉพาะผู้ที่มีตบะบารมีสูงส่ง หลังจากได้บาดเจ็บมักจะใช้เวลาในการฟื้นฟูนานกว่าปกติ
เท่านี้ก็ใช้เป็นแผนการระยะยาวได้แล้ว
คิดได้เช่นนั้นเย่ฉางชิงก็ลอบเอ่ยกับตัวเองด้วยความดีใจว่า
‘หากสามารถถ่วงได้จนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต ถึงตอนนั้นข้าก็มิต้องกังวลสิ่งใดแล้ว’