เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน - ตอนที่ 324 ประตูสวรรค์ปรากฏ พบคนคุ้นเคย
ตอนที่ 324 ประตูสวรรค์ปรากฏ พบคนคุ้นเคย
“เปรี้ยง ! ”
ทันใดนั้นก็มีเสียงดังสนั่นหวั่นไหวมาจากส่วนลึกของกลุ่มเมฆสีคราม
เมฆที่ปกคลุมบริเวณนั้น พลันพลุ่งพล่านอย่างรุนแรง
มินานสายฟ้าสีขาวหลายสายก็ทะลุผ่านกลุ่มเมฆ เต็มไปด้วยไอพลังอันน่ากลัว ฟาดลงมาจากทุกทิศทุกทาง ห้วงอากาศเกิดเป็นรอยแยกอันน่าสะพรึงกลัวมากมาย
ภาพนี้ทั้งพิสดารและน่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก
ขณะเดียวกัน วินาทีนี้มิเพียงซือถูเจิ้นผิงที่สัมผัสได้อย่างชัดเจน ถึงพลานุภาพที่มิเคยพบเจอมาก่อน แม้แต่กลุ่มคนที่อยู่ไกลออกไปนับพันลี้ก็เหมือนจะรับรู้ได้เช่นกัน
“นี่มันเรื่องอะไรกัน ? ”
“เหตุใดจู่ ๆ พลานุภาพน่ากลัวเช่นนี้ถึงปรากฎขึ้นได้ หรือจะมีสิ่งน่ากลัวอะไรจะปรากฏขึ้นเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“แม้แต่ตรงนี้ยังสามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจน ดูก็รู้ว่าพลานุภาพตรงตำแหน่งที่ผู้อาวุโสซือถูยืนอยู่จะน่ากลัวมากเพียงใด ! ”
“จริงสิ เมื่อครู่มีผู้อาวุโสบอกว่า ทัณฑ์สวรรค์สายที่เก้านั้นเป็นการทดสอบจิตมรรคา”
“……”
“……”
ระหว่างที่พวกนักพรตฉางเสวียนกำลังวิพากษ์วิจารณ์กันอยู่นั้น
เย่ฉางชิงก็ลอบขมวดคิ้วเล็กน้อย พร้อมเผยสีหน้าสงสัยขึ้นมาอย่างอดมิได้
‘พลานุภาพ ? ’
‘พลานุภาพอะไร ! ’
‘เหตุใดข้าถึงมิรู้สึกอะไรเลย ? ’
‘มิใช่ว่าตบะบารมียิ่งต่ำก็จะยิ่งสัมผัสได้ง่าย ถึงสิ่งที่เรียกว่าพลานุภาพมิใช่หรอกหรือ ? ’
‘ดูจากตบะบารมีแล้ว หรือว่าทุกคนในที่นี้ยังมีตบะบารมีต่ำกว่าข้าอีกเยี่ยงนั้นหรือ ? ’
คิดถึงตรงนี้ เย่ฉางชิงก็ค่อย ๆ เบนสายตาไป ก่อนจะกวาดตามองใต้ฝ่าเท้าของคนที่อยู่ด้านข้างและด้านหลังของเขา
‘พวกเขาต่างก็ยืนกลางอากาศได้จริง ๆ นี่นา’
หลังจากครุ่นคิดอยู่สักพัก เย่ฉางชิงก็ก้มลงไปมองปทุมสูติที่อยู่ใต้ฝ่าเท้า ก่อนจะพ่นลมหายใจออกมาอย่างเอือมระอา
เขาคงมิสามารถถามคำถามเล็กน้อยเช่นนี้กับพวกเขาได้กระมัง ?
และมิควรถามอย่างเด็ดขาด มิเช่นนี้หากความแตกขึ้นมาจะทำเช่นไรเล่า ?
ตอนนั้นเอง จู่ ๆ ก็มีคนร้องตะโกนออกมา “พวกท่านดูนั่นสิ นั่นมันอะไรน่ะ ! ”
วินาทีต่อมา เมื่อทุกคนที่ได้ยินเช่นนั้น ต่างก็หันไปมองยังทิศทางที่ซือถูเจิ้นผิงยืนอยู่
ก่อนจะพบว่าด้านบนศีรษะของซือถูเจิ้นผิงตอนนี้ ได้มีกลุ่มเมฆหนาแน่นพลุ่งพล่านขึ้นมาอย่างรุนแรง สายฟ้าสีขาวมากมายเปล่งประกายจนแสบตา
เป็นปรากฏการณ์ที่น่ากลัวยิ่งนัก
จนเวลาผ่านไปมิกี่อึดใจ
บริเวณที่อยู่ไกลสุดสายตา จู่ ๆ ก็ปรากฏภูเขาหินสูงนับร้อยจั้งลูกหนึ่งขึ้นมา
ภูเขาหินลูกนี้ช่างพิสดารยิ่งนัก ด้านบนมีหินหน้าตาประหลาดซ้อนทับกันอยู่ บนหินแต่ละก้อนล้วนมีการแกะสลักสัญลักษณ์ และลวดลายโบราณที่ซับซ้อนมากมายเอาไว้ และขณะนี้กำลังเปล่งประกายระยิบระยับอยู่
ขณะเดียวกัน บนภูเขาหินที่ตอนนี้ได้มีสายฟ้าที่ทรงพลังแลบแปลบปลาบออกมามากมาย และมีมวลพลังที่ปั่นป่วนปรากฏขึ้นลาง ๆ
แน่นอนว่าสิ่งที่ทำให้ทุกคนสงสัยที่สุดก็คือ ยอดของภูเขาหินลูกนี้กลับมีกระบี่โบราณสัมฤทธิ์เล่มหนึ่งปักเอาไว้
อีกทั้งยังดูเหมือนพลานุภาพอันน่าสะพรึงกลัว ที่ปกคลุมบริเวณนั้นจะมีต้นเหตุที่แท้จริงมาจากกระบี่สัมฤทธิ์อีกด้วย
ทว่ากระบี่สัมฤทธิ์เล่มนั้นแท้จริงแล้วเกิดจากสิ่งใดกันแน่ ถึงได้แผ่พลานุภาพที่น่ากลัวเช่นนี้ออกมาได้
หรือว่าจะเป็นอาวุธเทพในตำนาน ?
จะต้องเป็นอาวุธเทพของจริงอย่างแน่นอน !
ในตอนนั้นเอง ขณะที่ทุกคนกำลังจับตามองอยู่นั้น
ภูเขาหินพิสดารลูกนี้ก็ลอยคว้างอยู่กลางอากาศครู่หนึ่ง จากนั้นก็มีพลังปั่นป่วนรุนแรงปกคลุมเอาไว้ และสายฟ้าสีขาวแสบตามากมายก็ฟาดลงมาที่ซือถูเจิ้นผิงในทันที
เป็นภาพที่น่ากลัวยิ่งนัก !
ราวกับภูเขาที่สวรรค์สร้าง ก่อนจะพุ่งเข้าสังหารซือถูเจิ้นผิง
เห็นได้ชัดว่านี่มิใช่เพียงบททดสอบจิตแห่งมรรคาเพียงอย่างเดียว ทว่ากลับเป็นบททดสอบความเป็นความตายอีกด้วย !
จนเวลาผ่านไปมิกี่อึดใจ
ขณะที่ภูเขาเซียนที่ลอยลงมาจากสวรรค์ลูกนี้ อยู่ห่างจากซือถูเจิ้นผิงเพียงร้อยจั้ง
พลานุภาพอันน่ากลัวก็ปกคลุมซือถูเจิ้นผิงเอาไว้ ราวกับฟ้าถล่มก็มิปาน
“แม้ข้าจะไร้เรี่ยวแรงที่จะต้านทานทัณฑ์สวรรค์สายที่เก้านี้แล้ว แต่ข้าขออุทิศตนเพื่อวิถีกระบี่ที่แท้จริง”
“ต่อให้วันนี้ข้าจะต้องกายสลายเต๋าสูญสิ้น อยู่ภายใต้ทัณฑ์สวรรค์สายที่เก้าข้าก็จะมิเสียใจ อีกทั้งมิว่าจะชาตินี้หรือชาติหน้า จิตใจนี้ของข้าก็จะมิมีวันสั่นคลอนอย่างแน่นอน ! ”
ซือถูเจิ้นผิงนั่งสมาธิอยู่กลางอากาศ ขณะที่เอ่ยออกมาอย่างยากลำบาก
วินาทีที่สิ้นเสียง
เขาก็ได้เงยหน้าขึ้นด้วยสีหน้าดำคล้ำ เส้นเลือดที่ขมับเต้นตุบ ๆ จ้องเขม็งไปยังภูเขาเซียนลูกนั้นที่ยังคงดิ่งลงมามิหยุด
ตอนนั้นเอง จู่ ๆ ภายในสมองของซือถูเจิ้นผิง ก็มีเสียงที่ทรงอำนาจและเย็นชาเสียงหนึ่งดังขึ้น
“มนุษย์เอ๋ย เจ้ารู้หรือไม่ว่าท่ามกลางวิถีเต๋ามากมายนับมิถ้วนนั้น ทัณฑ์สวรรค์ของผู้ที่บำเพ็ญเพียรวิถีกระบี่นั้นยากที่จะข้ามผ่านที่สุด”
“ข้ามิรู้อะไรทั้งนั้น ข้ารู้เพียงแค่วิถีกระบี่ได้เลือกข้า ข้าเองก็เลือกวิถีกระบี่เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว”
“มนุษย์เอ๋ย หากเจ้าละทิ้งวิถีกระบี่ในตอนนี้ และเปลี่ยนไปบำเพ็ญเพียรวิถีอื่นเสีย มิแน่เจ้าอาจจะมีโอกาสผ่านการทดสอบนี้ไปได้ มิเช่นนั้นวันนี้เจ้าจะต้องดับสูญอย่างแน่นอน”
“วันนี้ข้ายอมกายสลายเต๋าสูญสิ้น แต่ว่าเจตจำนงแห่งกระบี่ของข้านั้นเป็นอมตะ ! ”
“ในเมื่อเจ้าแน่วแน่เพียงนี้ เช่นนั้นข้าก็จะทำให้เจ้าสมปรารถนา ! ”
สิ้นเสียง ท่าทีของซือถูเจิ้นผิงก็ค่อย ๆ สงบนิ่งและปิดตาลงนั้น
ภูเขาเซียนสูงร้อยจั้งลูกนั้นที่อยู่ด้านบนศีรษะของเขา พลันทิ้งดิ่งลงมาทันทีราวกับดาวตก
“ปัง ! ”
เสียงอันกึกก้องเสียงหนึ่งดังขึ้น
เลือดสีแดงสดก็พุ่งกระจายออกมาในทันใด
ทั่วบริเวณนั้นราวกับไร้ซึ่งสิ่งมีชีวิตก็มิปาน
เมื่อเห็นฉากนองเลือดเช่นนี้
กลุ่มคนที่อยู่ไกลออกไปพันลี้ต่างก็มีสีหน้าเปลี่ยนไป พร้อมกับสูดลมหายใจเข้าเฮือกใหญ่ด้วยความหวาดหวั่น
จนเวลาผ่านไปประมาณหนึ่งก้านธูป
ซีเหมินเหลยหู่ชำเลืองมองเย่ฉางชิงและเทพหลิว ที่สีหน้ามิได้บ่งบอกอารมณ์ใด ๆ ก่อนจะเอ่ยถามขึ้นมาเบา ๆ ว่า “ล้มเหลวเยี่ยงนั้นหรือขอรับ ? ”
เย่ฉางชิงมีท่าทีมิแยแสต่อสิ่งใด มีเพียงแค่สายตาเท่านั้นที่ยังคงมองไกลออกไป
เทพหลิวจึงตอบกลับอย่างครุ่นคิดว่า “น่าจะ…”
ขณะที่เทพหลิวยังพูดมิทันจบประโยคนั้น
ภูเขาเซียนที่สูงนับร้อยจั้งอันพิสดารลูกนั้น ก็ค่อย ๆ เลือนลางลง จนสุดท้ายก็มลายหายไปในอากาศ ท่ามกลางสายตาของทุกคน
ตอนนั้นเอง ก็มีแสงสีทองกลุ่มหนึ่งเปล่งประกายขึ้นมา
ก่อนที่จะกลายเป็นลำแสงสีทองอันเจิดจ้านับพันพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า ลำแสงอาบไล้ก้อนเมฆที่ล่องลอยอยู่ จนกลายเป็นสีทองสว่างไสวไปทั่ว
มินานก็มีร่างสีทองร่างหนึ่งปรากฏขึ้นใจกลางลำแสงสีทองนั้นด้วย
ร่างนั้นนั่งขัดสมาธิอยู่กลางอากาศก่อนจะลุกขึ้นยืน ดูราวกับเซียนที่ลงมายังโลกมนุษย์
ผ่านไปครึ่งก้านธูป
เมื่อแสงสีทองค่อย ๆ จางลง
ก็เห็นร่างเพรียวบางร่างหนึ่งยืนตระหง่านอยู่กลางอากาศ
เป็นบุรุษหนุ่มที่สวมชุดบัณฑิตและมีผมสีดำสนิท ทว่ากลับเห็นใบหน้าที่แท้จริงมิชัดเท่าไรนัก
เพียงแต่เวลานี้เขากำลังมองดูภาพอักษรพู่กันภาพนั้นของเย่ฉางชิงอยู่อย่างตั้งอกตั้งใจ
ผ่านไปครู่หนึ่ง เสียงอิ่มเอมและสงบนิ่งเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น
“ศิษย์ซือถูเจิ้นผิงวันนี้สามารถผ่านการทดสอบจากสวรรค์ได้สำเร็จ ต้องขอบคุณอาจารย์ที่มอบสมบัติล้ำค่าเช่นนี้ให้ขอรับ”
“พระคุณนี้ ศิษย์จะจดจำเอาไว้ตลอดไปขอรับ”
ได้ยินเช่นนั้นทุกคนที่ยืนออกไปไกลนับพันลี้ ต่างก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปอีกครั้ง
พวกเขาสบตากัน จากนั้นก็ต่างหันไปมองทางเย่ฉางชิงที่ยืนเอามือไพล่หลัง ด้วยใบหน้าที่ยังคงเรียบนิ่งมิเปลี่ยน
‘นี่เป็นฝีมือของผู้อาวุโสเย่เยี่ยงนั้นหรือ ? ’
‘เพียงแค่ภาพอักษรพู่กันก็สามารถต้านทานทัณฑ์สวรรค์สายที่เก้าที่น่ากลัวเช่นนี้ได้ ! ’
‘น่าเหลือเชื่อ ! ’
‘น่าเหลือเชื่อยิ่งนัก ! ’
ขณะเดียวกัน เทพหลิวที่ยืนอยู่ทางด้านหลังของเย่ฉางชิง ก็มีสีหน้าสงสัยขึ้นมาอย่างอดมิได้ พร้อมกับจ้องมองแผ่นหลังของนายท่านเย่ฉางชิงนิ่ง ๆ
นางรู้ดีว่าเมื่อครู่นี้ มนุษย์ผู้บำเพ็ญเพียรวิถีกระบี่คนนั้น เรียกได้ว่ากายสลายเต๋าสูญสิ้นอย่างแท้จริงแล้ว
แต่เพราะภาพอักษรพู่กันเพียงภาพเดียวกลับสามารถฟื้นคืนชีพขึ้นมาได้ ทั้งยังผ่านการทดสอบได้สำเร็จอีกด้วย
แค่เห็นก็รู้แล้วว่าอักษรพู่กันภาพนั้นมีพลังแข็งแกร่งมากเพียงใด
ทว่าอักษรพู่กันภาพนั้น กลับมาจากฝีมือของนายท่าน...
ผ่านไปสักพัก ด้านบนศีรษะของซือถูเจิ้นผิงก็ปรากฏนิมิตขึ้นอีกครั้ง
ในครั้งนี้ได้มีลำแสงหลากสีสันมากมายลอดผ่านก้อนเมฆออกมา
ขณะเดียวกัน ลำแสงหลากสีที่มีหมอกลอยวนนั้นก็พุ่งลงมาจากฟ้า
ก่อนจะลอยวนอยู่รอบกายของซือถูเจิ้นผิง ช่างดูเป็นสิริมงคลยิ่งนัก และยิ่งเสริมให้ซือถูเจิ้นผิงดูลึกลับและน่าเกรงขามขึ้นอีกด้วย
มินาน
หมู่เมฆคลี่คลายปรากฏให้เห็นดวงตะวัน
หลังจากหมู่เมฆที่ลอยต่ำลงค่อย ๆ จางหายไป
ประตูเก่าแก่บานใหญ่ที่อยู่ท่ามกลางพลังปั่นป่วนนั้น ก็ค่อย ๆ ปรากฏสู่สายตาของทุกคน
ประตูสวรรค์ !
เป็นประตูสวรรค์ในตำนาน !
ทว่าตอนนี้ดวงตาของเย่ฉางชิงกลับหรี่ลง มุมปากกระตุกขึ้นอย่างอดมิได้
เพราะที่หน้าประตูสวรรค์ในตำนานบานนั้น เขาเห็นใบหน้าที่คุ้นเคยของคนผู้หนึ่งได้อย่างชัดเจน