เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน - ตอนที่ 326 วาสนาและหายนะ
ตอนที่ 326 วาสนาและหายนะ
ผ่านไปครู่ใหญ่ ระหว่างที่ประตูสวรรค์ถูกพลังอันปั่นป่วนจำนวนมหาศาลปกคลุมไว้ ก่อนจะค่อย ๆ จางหายไปจากโลก
ทุกคนราวกับเพิ่งตื่นขึ้นจากความฝัน
พวกเขาสบตากันเล็กน้อย จากนั้นก็หันไปยังทิศทางที่ประตูสวรรค์เคยตั้งอยู่ก่อนหน้านี้ พลางประสานมือคาราวะ
“ผู้น้อยน้อมส่งผู้อาวุโสซือถู ! ”
ขณะเดียวกันในสายตาของพวกซีเหมินเหลยหู่
แม้ซือถูเจิ้นผิงจะมีอายุน้อยกว่า ทว่ากลับได้ขึ้นสวรรค์ไปก่อนพวกเขา
เช่นนั้นพวกเขาจึงต้องแสดงความเคารพ โดยการประสานมือคารวะให้
จนเวลาผ่านไปได้หลายอึดใจ
“ทิวทัศน์ด้านหลังประตูบานนั้นก็คือสวรรค์เยี่ยงนั้นหรือ ? ”
เย่ฉางชิงถอนสายตากลับมา ก่อนจะพึมพำกับตัวเองว่า “ช่างเป็นโลกที่ข้ามิเคยเห็นมาก่อนจริง ๆ…”
มินาน ดวงตาเรียวยาวคู่นั้นก็พลันเปล่งประกายขึ้นมา
เพราะในที่สุดเย่ฉางชิงก็จะค้นพบแรงบันดาลใจ สำหรับภาพเทพเซียนที่คิดเอาไว้ก่อนหน้านี้แล้ว
“ฉางชิง ผู้บำเพ็ญเพียรวิถีกระบี่ผู้นั้นขึ้นสวรรค์ไปแล้ว และตอนนี้ก็เย็นมากแล้วพวกเราก็กลับกันเถอะ”
เอ่ยถึงตรงนี้ ตู๋กูชิงเฟิงที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เย่ฉางชิงก็กดเสียงต่ำลง แล้วเอ่ยด้วยเสียงนุ่มว่า “เมื่อวานเจ้าสัญญากับข้าว่าวันนี้เจ้าจะทำอาหารรสเลิศให้ข้ากินนะ”
เย่ฉางชิงเอ่ยพลางครุ่นคิดว่า “วันนี้เกรงว่าคงมิได้แล้ว”
คิ้วของตู๋กูชิงเฟิงเลิกขึ้นเบา ๆ ก่อนจะถามอย่างสงสัย “ทำไมล่ะ ? ”
“ชิงเฟิง เจ้ายังจำเรื่องแนวความคิดเกี่ยวกับภาพเทพเซียน ที่ข้าเคยบอกก่อนหน้านี้ได้หรือไม่ ? ”
เย่ฉางชิงยิ้มอย่างมีเลศนัย “ในที่สุดข้าก็มีแรงบันดาลใจแล้ว เช่นนั้นหลังจากกลับไปถึงเรือนแล้ว ข้าจะเริ่มวาดผลงานชิ้นเอกนี้ทันที”
ตู๋กูชิงเฟิงพลันยิ้มหวานออกมาทันที “ถ้าเช่นนั้นข้าจะเข้าครัวเองก็แล้วกัน”
เย่ฉางชิงพยักหน้ายิ้ม ๆ
เวลานี้เมื่อเหล่าผู้นำลัทธิเต๋า ได้เห็นท่าทางสนิทสนมระหว่างเย่ฉางชิงและตู๋กูชิงเฟิง
พวกเขาต่างก็มีท่าทีสับสนขึ้นมาทันที ก่อนจะหันมาสื่อสารกันทางสายตา
หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ซีเหมินเหลยหู่ก็โค้งคำนับให้แก่เย่ฉางชิง
“ท่านเย่ ผู้น้อยมีเรื่องจะแจ้งให้ทราบขอรับ ขอเชิญท่านเย่ไปพูดคุยกันที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนสักหน่อยจะได้หรือไม่ขอรับ”
ได้ยินเช่นนั้น เย่ฉางชิงก็ปรายตามองซีเหมินเหลยหู่ ก่อนจะโบกมือไปมา
“วันนี้ข้าต้องกลับก่อน ธุระที่เจ้าพูดถึงเอาไว้ค่อยคุยกันคราวหลังก็แล้วกัน”
ความจริงแล้วช่วงนี้เย่ฉางชิงรู้สึกเอือมระอาเหล่าผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงพวกนี้จริง ๆ
‘หากมาขอภาพอักษรพู่กันหรือภาพวาดอะไรพวกนั้น ข้าจะมิคิดอะไรมากเลย’
‘แต่ช่วงนี้พวกเจ้ากลับจะให้ข้าสู้กับกองทัพปีศาจ และกองทัพมารที่มาบุกจงหยวน’
‘และมินานมานี้ เสี่ยวหลิวเพิ่งจะขับไล่กองทัพปีศาจออกไป’
‘บัดนี้พวกเจ้ายังคิดจะให้ข้าไปช่วยขับไล่กองทัพมารอีกเยี่ยงนั้นหรือ ? ’
‘หากข้ามีตบะบารมีสูงส่งเหมือนที่พวกเจ้าคิดก็คงจะดี’
‘แต่ความจริงข้ามีตบะบารมีเพียงระดับรวมชีพจรขั้นกลางเท่านั้นนะ’
‘หรือพวกเจ้าต้องการบีบให้ข้าตายก่อน พวกเจ้าถึงจะพอใจเยี่ยงนั้นหรือ ? ’
‘ยิ่งไปกว่านั้นจักรพรรดิมารตนนี้ก็ยังอาศัยอยู่เรือนเดียวกันกับข้าอีก’
‘ในเมื่อพวกเจ้ามั่นใจว่าข้าคือยอดฝีมือที่ไร้เทียมทานอะไรนั่น เช่นนั้นวันนี้ข้าจะแสดงอำนาจที่น่าเกรงขามของยอดฝีมือที่ไร้เทียมทานให้ดูก็แล้วกัน’
คิดได้เช่นนั้น เย่ฉางชิงก็ส่งเสียง ฮึ ออกมาเบา ๆ ก่อนจะขี่ปทุมสูติจากไปอย่างมิแยแสผู้ใดอีก
หลังจากพวกเย่ฉางชิงกลับไปแล้ว
เจ้าสำนักดินแดนศักดิ์สิทธิ์ใหญ่ทั้งห้า รวมทั้งเหล่าผู้แข็งแกร่งของตระกูลซีเหมินพลันมีสีหน้าย่ำแย่ลงกว่าเดิมหลายเท่า
หลังจากนิ่งเงียบอยู่พักใหญ่ เจ้าสำนักจื่อชิง สวีฉิงเทียน จึงหันไปมองและเอ่ยกับซีเหมินเหลยหู่ที่มีท่าทางสับสนว่า
“ผู้อาวุโสซีเหมิน ข้าว่าท่านใจร้อนเกินไปแล้ว”
นักพรตอี่เจ๋อจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์กู่หัว พยักหน้าน้อย ๆ แล้วเอ่ยว่า “ยังมิต้องพูดถึงเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างผู้อาวุโสกับจักรพรรดิมารตนนั้น แต่การจะขอให้ผู้อาวุโสเย่ลงมือต่อหน้าจักรพรรดิมารนั้นถือว่าเป็นเรื่องที่มิควรอย่างยิ่ง”
“อีกอย่างหากถึงเวลาที่จงหยวนอยู่ในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวานจริง ๆ ข้าคิดว่าผู้อาวุโสเย่มิมีทางนิ่งดูดายอย่างแน่นอน เช่นนั้นครานี้ท่านใจร้อนเกินไปจริง ๆ ”
ซีเหมินเหลยหู่เม้มริมฝีปากเล็กน้อย ก่อนจะทอดถอนใจออกมา “พวกเจ้าประเมินสิ่งมีชีวิตโบราณในส่วนลึกของแดนต้องห้ามต่ำเกินไปแล้ว”
“หากรอจนพวกมันตื่นขึ้นและออกมาจากแดนต้องห้ามแล้วล่ะก็ ถึงตอนนั้นราษฎรจะต้องเดือดร้อนไปทั่วทุกหย่อมหญ้า ต่อให้ผู้อาวุโสเย่ยื่นมือเข้ามาช่วย เกรงว่าก็คงยากที่จะยับยั้งมิให้โศกนาฏกรรมเกิดขึ้นได้ ! ”
สิ้นเสียง ทุกคนต่างก็สบตากัน ก่อนที่จะเผยสีหน้าท้อแท้ใจออกมา
ลัทธิเต๋าในยุคนี้ช่างอ่อนแอยิ่งนัก
หากเป็นยุคที่ลัทธิเต๋ารุ่งเรืองดังเช่นแต่ก่อน
ต่อให้เป็นเผ่าปีศาจเทือกเขาแดนใต้ มารจากแดนรกร้างทางเหนือ หรือว่าสิ่งมีชีวิตโบราณแห่งแดนต้องห้าม
ไหนเลยพวกเขาจะกล้าบุกเข้ามาในจงหยวน ?
แต่บัดนี้กองทัพปีศาจบุกโจมตีแดนใต้ จากนั้นกองทัพมารก็บุกโจมตีจงหยวนจากแดนเหนือ
ลัทธิเต๋าแม้จะบาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก ทว่าสุดท้ายสถานการณ์ก็ยังเลวร้ายลงได้อีก
ตอนนั้นเอง เจ้าสำนักหยินหยาง ต้วนฉางเต๋อ ก็ได้หันไปเอ่ยกับนักพรตฉางเสวียนที่มีท่าทีนิ่งเงียบ ด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า
“พี่ฉางเสวียน ข้าเคยบังเอิญได้อ่านตำราโบราณเล่มหนึ่ง”
“ตามที่เขียนเอาไว้ พื้นที่ที่มีผู้บรรลุเป็นเซียนจะมีผลมรรคาในตำนานทิ้งเอาไว้ เช่นนั้นสำหรับดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนของพวกท่านแล้ว หากสามารถตามหาผลมรรคาที่ผู้อาวุโสซือถูทิ้งเอาไว้ได้ ก็จะนับว่าโอกาสและวาสนาอันยิ่งใหญ่”
“ทว่ายังมีตำนานโบราณอีกเล่มบันทึกเอาไว้ด้วยว่า หากมีผู้บรรลุเป็นเซียนวันนั้นจะทำให้ฟ้าดินเกิดการเปลี่ยนแปลง และสิ่งมีชีวิตโบราณจะอ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงของฟ้าดินนี้”
“บัดนี้ค่ายกลกักขังบริเวณชายแดนแดนต้องห้ามถูกทำลายลงแล้ว เช่นนั้นต่อจากนี้ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนของพวกท่าน เกรงว่าคงต้องประสบกับหายนะที่มิเคยพบมาก่อนเป็นแน่”
ได้ยินเช่นนั้น นักพรตฉางเสวียนก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที ท่าทางเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก
ความหมายของต้วนฉางเต๋อนั้นเขาเข้าใจได้เป็นอย่างดี สิ่งมีชีวิตเหล่านั้นจะต้องแห่มายังดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน เพื่อตามหาสิ่งที่เรียกว่าผลมรรคาเป็นแน่
เช่นนี้ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนก็จะต้องเผชิญหน้ากับการโจมตีของเหล่าสิ่งมีชีวิตโบราณมากมาย !
หรือว่าดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนจะมาถึงจุดจบในน้ำมือของข้าเหอฉางเสวียนจริง ๆ เยี่ยงนั้นหรือ ?
เช่นนั้นมิเท่ากับว่าเขาจะกลายเป็นคนบาปของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนเยี่ยงนั้นหรือ !
“พี่ต้วน จริงหรือ ? ”
นักพรตฉางเสวียนมีสีหน้าโศกเศร้า ขณะเอ่ยถามต้วนฉางเต๋อ
ทว่าต้วนฉางเต๋อกลับยกยิ้มที่มุมปาก ก่อนจะกวาดตามองทุกคนแล้วยิ้มออกมาอย่างมั่นใจ
“แต่เจ้ามิต้องกังวลไปหรอก ในเมื่อผู้อาวุโสเย่ท่านนั้นพำนักอยู่ภายในเขตแดนของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน คิดว่าเมื่อถึงเวลานั้นเขาจะต้องมินิ่งดูดายอย่างแน่นอน ยิ่งไปกว่านั่นเขายังเป็นถึงบรรพจารย์ท่านหนึ่ง ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนด้วยมิใช่หรือ”
มินาน ซีเหมินเหลยหู่ที่เริ่มเข้าใจในสิ่งที่ต้วนฉางเต๋อต้องการจะสื่อ จึงเอ่ยถามด้วยความสงสัยว่า “เป็นเช่นนั้นจริงหรือ ? ”
ต้วนฉางเต๋อ “จริงแท้แน่นอน”
ซีเหมินเหลยหู่พลันพ่นลมหายใจออกมา “หากเป็นเช่นนั้นจริง เช่นนั้นขอเพียงแดนต้องห้ามของสิ่งมีชีวิตอื่นยังมิมีเรื่องที่มิคาดฝันเกิดขึ้น หายนะครานี้ก็จะแผ่ออกไปมิกว้างเท่าไรนัก”
สิ้นเสียง คนที่เหลือก็เหมือนจะเพิ่งรู้ตัว ก่อนจะมีท่าทีอ่อนลง และพยักหน้าเห็นด้วย
……………………………
ขณะเดียวกัน
หลังผ่านไปอีกครึ่งชั่วยาม
พวกเย่ฉางชิงก็กลับมาถึงเมืองเสี่ยวฉืออีกครั้ง
หลังจากกลับมาถึงเรือน
เย่ฉางชิงก็มิได้พักผ่อนแต่อย่างใด เขารีบเดินมาตรงหน้าโต๊ะยาว เพื่อเตรียมวาดภาพทันที
“ฉางชิง เจ้ารีบขนาดนั้นเชียวหรือ ? ”
ตู๋กูชิงเฟิงที่ยืนอยู่ตรงข้ามกับเย่ฉางชิง เอ่ยถามขึ้นมาอย่างสนใจ
เย่ฉางชิงค่อย ๆ คลี่กระดาษซวนแผ่นหนึ่งออกอย่างระมัดระวัง พลางตอบนางว่า “แรงบันดาลใจเป็นสิ่งที่แปลกประหลาด หากรอให้ถึงพรุ่งนี้มิแน่อาจจะมิรู้สึกอยากวาดรูปเช่นวันนี้ก็ได้”
เอ่ยจบ ขณะที่พวกตู๋กูชิงเฟิงกำลังมองด้วยความสนใจอยู่นั้น
เย่ฉางชิงก็เริ่มตวัดพู่กัน โดยมิลังเลทันที…
จนเวลาผ่านไปประมาณหนึ่งก้านธูป
ด้านหลังของเย่ฉางชิงพลันปรากฏนิมิตขึ้น
อีกทั้งนิมิตในครั้งนี้ยังแตกต่างจากทุกครั้งที่ผ่านมา ทั้งอลังการและน่าตื่นตระหนกกว่าเดิมหลายเท่านัก