เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน - ตอนที่ 327 ภาพเทพเซียน สุดยอดวาสนา
ตอนที่ 327 ภาพเทพเซียน สุดยอดวาสนา
“เปรี้ยง ! ”
ขณะที่เย่ฉางชิงยังคงดำดิ่งกับการวาดภาพอยู่นั้น
ด้านหลังของเขาพลันปรากฏแสงเรืองรองขึ้น ไอหมอกพวยพุ่งขึ้นมา
จากนั้นหมอกแสงอันเจิดจ้าก็ลอยขึ้น ก่อนที่ลำแสงมากมายจะสาดส่องออกไป
หลังจากนิมิตปรากฏขึ้นเป็นเวลาครึ่งก้านธูป
“ฟิ้ว ! ”
ก็มีเสียงกัมปนาทดังขึ้นกลางอากาศ
ด้านหลังของเย่ฉางชิงมีระลอกคลื่นเกิดขึ้นในห้วงอากาศ
จนเวลาผ่านไปมิกี่อึดใจ
พลังอันปั่นป่วนรุนแรงก็พลุ่งพล่านขึ้นมา สัญลักษณ์โบราณเปล่งแสงระยิบระยับโปรยปรายลงมาราวกับฝนดาวตก
จู่ ๆ ก็มีประตูโบราณบานใหญ่ดูลึกลับน่าค้นหาบานหนึ่งค่อย ๆ ปรากฏขึ้นท่ามกลางมวลพลังที่ปั่นป่วนนั้น
ประตูสวรรค์ !
ใช่แล้ว !
สิ่งนี้คือประตูสวรรค์ที่พวกเย่ฉางชิงเห็นขณะที่อยู่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนในวันนี้นั่นเอง !
เพียงแต่ตอนที่อยู่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน หลังจากที่ซือถูเจิ้นผิงถูกแสงเทพดูดกลืนเข้าไปนั้น
ความเจิดจ้าที่เปล่งออกมาก็ทำให้สายตาของทุกคนพล่ามัว จนมิอาจมองเห็นทิวทัศน์ด้านหลังประตูสวรรค์บานนั้น
ทว่าบัดนี้กลับต่างออกไป
ด้านหลังของเย่ฉางชิงนั้น
หลังจากที่ประตูสวรรค์ปรากฏขึ้น หมอกแสงอันเจิดจ้ายังคงพวยพุ่งอย่างต่อเนื่อง
มินาน หลังจากมวลพลังอันปั่นป่วนและหมอกแสงค่อย ๆ จางหายไป ก็พบว่ามีสถานที่ลึกลับค่อย ๆ ปรากฏขึ้น
เมื่อเห็นภาพนี้ แม้แต่ตู๋กูชิงเฟิงและเทพหลิว ก็ยังอดมิได้ที่จะอกสั่นขวัญแขวน จนขนลุกชันไปทั้งตัว
‘พวกข้าเห็นอะไรกันนี่ ! ’
‘หรือว่าภาพที่ปรากฏอยู่ด้านหลังประตูสวรรค์ ก็คือสรวงสวรรค์ที่เหล่าผู้บำเพ็ญเพียรทั้งหมดเฝ้าฝันถึงเยี่ยงนั้นหรือ ? ’
‘น่าเหลือเชื่อ ! ’
‘ช่างน่าเหลือเชื่อยิ่งนัก ! ’
‘แต่เป็นไปมิได้ ! ’
‘ตอนนี้พวกข้ายังอยู่บนโลกมนุษย์ แล้วจะสามารถเห็นทิวทัศน์บนสวรรค์ได้เยี่ยงไร’
‘เช่นนี้แล้ว ! ’
‘นี่มิเท่ากับว่าพวกนางได้รู้ความลับสวรรค์หรอกหรือ ? ’
‘เช่นนั้นก็จะต้องถูกสวรรค์ลงโทษน่ะสิ ! ’
คิดได้เช่นนั้น
“สูด ! ”
ตู๋กูชิงเฟิงและเทพหลิวพลันสูดหายใจเข้าด้วยความหวาดหวั่น พร้อมกับรีบเบือนหน้าหนี มิกล้ามองไปที่นิมิตด้านหลังของเย่ฉางชิงอีก
ขณะเดียวกันเมื่อตู๋กูชิงเฟิงเหลือบไปเห็นถูสือซาน ที่ยังคงจ้องมองภาพนิมิตด้านหลังของเย่ฉางชิงอยู่นั้น นางจึงรีบสะบัดแขนและใช้เคล็ดวิชาลับปิดบังสายตาของถูสือซานเอาไว้ทันที
“สือซาน หยุดดูได้แล้ว มิเช่นนั้นอาจจะนำภัยมาสู่ตัวเจ้าได้ ! ”
วินาทีต่อมา เสียงที่เต็มไปด้วยความน่าเกรงขามของตู๋กูชิงเฟิง ก็ดังก้องขึ้นในโสตประสาทของถูสือซาน ราวกับเสียงอสนีบาต
ถูสือซานร่างกายสั่นเทา ก่อนจะมีเสียงครางแผ่ว ๆ ออกมาจากปากของนาง
“พี่ชิงเฟิง…”
ถูสือซานมีทีท่าห่อเหี่ยวใจ พลางเอ่ยออกมาอย่างอึกอัก
ตู๋กูชิงเฟิงเม้มริมฝีปากเบา ๆ ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “เด็กโง่ เจ้ายังบำเพ็ญเพียรได้มินาน หนทางในภายภาคหน้ายังอีกยาวไกลนัก วันนี้หากล่วงรู้ความลับสวรรค์เข้า ผลกรรมนี้มิใช่สิ่งที่เจ้าจะสามารถรับไหว”
ถูสือซานเอ่ยพลางครุ่นคิดว่า “พี่ชิงเฟิง ตอนนี้ดูเหมือนท่านเย่จะมาจากสวรรค์จริง ๆ นะเจ้าคะ มิเช่นนั้นเหตุใดถึงมีนิมิตต้องห้ามเช่นนี้ปรากฎขึ้นได้ล่ะเจ้าค่ะ”
ตู๋กูชิงเฟิงยิ้มออกมา “คำถามนี้ดูเหมือนจะได้คำตอบตั้งนานแล้วมิใช่หรือ?”
ตอนนั้นเอง ถูสือซานดูเหมือนจะคิดบางอย่างขึ้นมาได้ สายตาพลันเปล่งประกายบางอย่างขึ้นมา
“พี่ชิงเฟิง ท่านว่าในเมื่อท่านเย่สามารถก้าวข้ามประตูสวรรค์ไปมาระหว่างสองโลกได้ตลอดเวลา เช่นนั้นพวกเราสามารถหลีกเลี่ยงทัณฑ์สวรรค์ ให้ท่านเย่พาเราเข้าประตูสวรรค์ไปเลยได้หรือไม่เจ้าคะ ? ”
ถูสือซานเอ่ยเพ้อเจ้อออกมา พร้อมด้วยแววตาเจ้าเล่ห์
ตู๋กูชิงเฟิงอดมิได้ที่จะกลอกตามองบน ก่อนจะเอ่ยด้วยความโมโหว่า “ทัณฑ์สวรรค์เป็นเจตจำนงของสวรรค์ เป็นกฎของโลก จะดูหมิ่นได้เยี่ยงไร ? ”
ถูสือซานจึงเอ่ยอย่างไร้เดียงสาว่า “ในเมื่อเป็นกฎของโลก เป็นเจตจำนงของสวรรค์ แล้วเหตุใดท่านเย่ถึงสามารถดูหมิ่นได้เล่าเจ้าคะ หรือว่าท่านเย่อยู่เหนือกฎแห่งสวรรค์อีกหรือเจ้าคะ ? ”
“ห๊ะ ! ”
ตู๋กูชิงเฟิงขมวดคิ้วขึ้นมาทันที ทว่ากลับพูดมิออก
‘จริงด้วย ! ’
‘ในเมื่อการจะขึ้นสวรรค์ได้ ต้องประสบกับทัณฑ์สวรรค์ เป็นกฎของโลก เป็นเจตจำนงของสวรรค์ แล้วเหตุใดฉางชิงถึงสามารถข้ามไปมาได้เล่า ? ’
‘อีกทั้งนับตั้งแต่สมัยบรรพกาลมาจนถึงบัดนี้ เกรงว่าคงมีเพียงฉางชิงผู้เดียวเท่านั้นที่ลงมาจากสรวงสวรรค์’
‘หรือว่าจะเป็นดังที่ถูสือซานคิด ฉางชิงอยู่เหนือกว่ากฎแห่งสวรรค์อีกเยี่ยงนั้นหรือ ? ’
‘มิน่าใช่ ! ’
‘เป็นไปมิได้ ! ’
‘เหนือกว่ากฎแห่งสวรรค์ เช่นนั้นเขาเป็นใครกันแน่ ! ’
จนเวลาผ่านไปอีกครึ่งชั่วยาม
ภาพเทพเซียนของเย่ฉางชิงก็ดูเหมือนเกือบจะเสร็จสมบูรณ์แล้ว
แต่ในตอนนั้นเอง เขาก็ขมวดคิ้วขึ้น และชะงักลงกระทันหัน
‘ในเมื่อภาพนี้ชื่อว่าภาพเทพเซียน เช่นนั้นก็ต้องมีคนจากโลกมนุษย์ ข้ามประตูสวรรค์ เพื่อขึ้นไปสู่เบื้องบน...’
หลังจากใคร่ครวญอยู่สักพัก เย่ฉางชิงก็ค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมองพวกตู๋กูชิงเฟิง ที่ยืนนิ่งราวกับท่อนไม้
“ฉางชิง มีอะไรงั้นหรือ ? ”
ตู๋กูชิงเฟิงเอ่ยถามอย่างสงสัย
เย่ฉางชิงยกยิ้มขึ้นพลางส่ายหน้าไปมา จากนั้นสายตาก็ค้างอยู่ที่ร่างของถูสือซานเล็กน้อย
แม้ทั้งสามคนจะมีบุคลิกท่าทางที่โดดเด่น รูปโฉมงดงาม แต่หากเทียบกันแล้วดูเหมือนถูสือซานที่สวมกระโปรงยาวสีขาว จะมีลักษณะที่ดูเหมือนเซียนมากกว่า
เมื่อพิจารณาดูแล้ว เย่ฉางชิงก็จรดพู่กันลงอีกครั้ง ก่อนจะวาดภาพร่างอรชรร่างหนึ่งยืนอยู่ด้านหน้าของประตูสวรรค์
ทว่าในตอนนั้นเอง ก็เกิดเหตุการณ์แปลกประหลาดเกิดขึ้น
เมื่อจู่ ๆ ร่างของถูสือซานก็เกิดกระตุกขึ้นมาน้อย ๆ ก่อนที่รอบกายจะมีหมอกลอยวนขึ้น
ขณะเดียวกัน ภายในลานเล็ก ๆ ก็เกิดไอพลังเต๋าอันบริสุทธิ์ชนิดต่าง ๆ แผ่ออกมา ก่อนจะพุ่งเข้าใส่ร่างของถูสือซานอย่างมิอาจควบคุมได้
เมื่อเห็นเหตุการณ์สุดพิสดารนั้น
ตู๋กูชิงเฟิงและเทพหลิวต่างก็ตกตะลึง ท่าทางของพวกนางเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ
‘นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ? ’
‘ไอพลังเต๋ามากมาย ทว่ากลับพุ่งเข้าใส่ร่างของถูสือซานมิหยุด’
‘หรือว่าจะเป็นการเพิ่มความรู้แจ้งในจิตแท้แห่งมรรคาให้กับถูสือซาน เพื่อให้นางบรรลุขึ้นสวรรค์ ? ’
‘อิทธิฤทธิ์นี้น่าเหลือเชื่อเกินไปกระมัง ? ’
หลังจากนิ่งเงียบสักพัก ตู๋กูชิงเฟิงและถูสือซานก็ส่งสายตาสื่อสารกัน ก่อนจะมองไปที่ภาพเทพเซียนของเย่ฉางชิง
ก็พบว่าบนภาพนั้นได้มีร่างอรชรร่างหนึ่งยืนอยู่ที่หน้าประตูสวรรค์ อีกเพียงก้าวเดียวก็จะสามารถก้าวข้ามประตูสวรรค์ไปได้แล้ว
“คิดมิถึงว่าฉางชิงจะมอบโอกาสและวาสนาที่น่าเหลือเชื่อเช่นนี้ให้แก่สือซาน อีกมิเกินร้อยปีเด็กคนนี้จะต้องบรรลุเป็นเซียนได้อย่างแน่นอน”
ตู๋กูชิงเฟิงพึมพำกับตัวเองเบา ๆ
“ด้วยระดับของข้ากับท่านในตอนนี้ เพียงแค่คิดก็สามารถอัญเชิญทัณฑ์สวรรค์ได้ทุกเมื่อ ส่วนสือซานนั้นเยี่ยงไรเสียตอนนี้ก็ยังคงมีตบะบารมีแค่ระดับจ้าวปีศาจอยู่”
เทพหลิวเอ่ยอย่างครุ่นคิด “บางทีอาจเป็นเพราะเหตุนี้ นายท่านจึงได้มอบวาสนาที่พลิกฟ้าเช่นนี้ให้แก่สือซาน”
“อีกทั้งหากมิมีสิ่งใดผิดพลาด บางทีครานี้นายท่านอาจจะไปจากโลกใบนี้แล้วจริง ๆ ก็ได้”
ตู๋กูชิงเฟิงเผยสีหน้าสับสนขึ้นมา ก่อนจะพยักหน้ารับน้อย ๆ
ตอนนั้นเอง ในที่สุดเย่ฉางชิงก็ได้ยกพู่กันขึ้น ก่อนจะเงยหน้าขึ้นพร้อมฉีกยิ้มออกมา “พวกเจ้าสามคนมาดูนี่สิ ภาพเทพเซียนของข้าภาพนี้เป็นเช่นไรบ้าง ? ”
ได้ยินเช่นนั้น ตู๋กูชิงเฟิงและเทพหลิวก็สบตากันอีกครั้ง ก่อนจะกวาดสายตามองภาพเทพเซียนที่อยู่บนโต๊ะยาวพร้อม ๆ กัน
“ฉางชิง ภาพเทพเซียนภาพนี้ดูเหมือนจะเป็นภาพที่ยอดเยี่ยมที่สุด นับตั้งแต่ที่เจ้าเคยวาดมาจนถึงตอนนี้ใช่หรือไม่ ? ”
ตู๋กูชิงเฟิงตอบกลับเย่ฉางชิงอย่างใส่ใจ ด้วยใบหน้าแฝงรอยยิ้มอ่อนโยน
เย่ฉางชิงลอบขมวดคิ้วเล็กน้อย อดมิได้ที่จะกวาดสายตามองทั้งสามคนอีกครั้ง
‘หรือว่าภาพเทพเซียนภาพนี้จะมีปัญหางั้นหรือ ? ’
‘มิน่าจะเป็นไปได้ ! ’
‘มิว่าจะเป็นแนวความคิด หรือตัวภาพของภาพเทพเซียนนี้ ต่อให้ทั่วทั้งโลกบำเพ็ญเพียรแห่งนี้ ก็ยากที่จะมีผู้ใดเทียบเคียงได้ ! ’
‘แต่เหตุใดทั้งสามคนถึงมีท่าทางราวกับจิตใจมิอยู่กับเนื้อกับตัวเช่นนั้นเล่า ? ’
‘แต่ก็ช่างเถอะ’
‘ความแตกฉานระดับพวกนางสามคน ก็คงมองอะไรมิออกอยู่ดี’
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง เย่ฉางชิงส่งยิ้มให้แก่ตู๋กูชิงเฟิง “ชิงเฟิง นี่เหมือนจะเย็นมากแล้ว”
ตู๋กูชิงเฟิงชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะได้สติกลับมา
“จริงสิ เกือบลืมไปเลย วันนี้ข้าต้องเข้าครัวทำอาหารนี่นา”
“พี่ชิงเฟิง ข้าช่วยท่านเองเจ้าค่ะ”
……………………….
หลังจากพวกเย่ฉางชิงกินมื้อค่ำเสร็จเรียบร้อยแล้ว
ครั้งนี้ตู๋กูชิงเฟิงขอเป็นคนดีดพิณเพลงฮั่วฟานด้วยตัวเอง
จนยามค่ำ
เย่ฉางชิงจึงได้เอ่ยขอตัวกับทั้งสามคน พร้อมหยิบภาพเทพเซียนนั้นเข้าห้องไปด้วย
บางทีอาจเป็นเพราะความรู้สึกที่เย่ฉางชิงมีต่อภาพเทพเซียนภาพนี้ต่างออกไป
เช่นนั้นเขาจึงนำภาพเทพเซียนออกมาพิจารณาใหม่อยู่นาน ก่อนจะแขวนไว้บนหัวนอนแล้วขึ้นเตียงไปพักผ่อน
ทว่าผ่านไปนานเท่าไรมิทราบได้
เหตุอัศจรรย์พันลึกบางอย่างก็เกิดขึ้น
เมื่อภาพเทพเซียนเปล่งแสงมงคลออกมา จากนั้นร่างเพรียวบางร่างหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้น ที่ข้างเตียงของเย่ฉางชิง
“เต๋าที่กล่าวเรียกขานได้ มิใช่เต๋าอันแท้จริง นามที่เรียกขานได้ มิใช่นามอันแท้จริง…”
“ความดีอันสูงสุดดุจดั่งน้ำ ตั้งตนอยู่ในที่ผู้คนรังเกียจ จึงนับว่าเข้าใกล้เต๋า…”
“เต๋าส่งเสริมให้มีหนึ่ง หนึ่งเกื้อหนุนให้มีสอง สองส่งเสริมเกื้อหนุนให้มีสาม สามเกื้อหนุนให้มีสรรพสิ่ง…”
“……”
“……”
ทันใดนั้นหลังจากที่ร่างนั้นปรากฏตัวขึ้น เสียงแห่งเต๋ามากมายก็ดังขึ้น
เวลาผ่านไปมิกี่อึดใจ
ร่างสีทองลึกลับร่างนั้นก็ค่อย ๆ ย่อส่วนลง
ร่างนั้นได้นั่งขัดสมาธิอยู่บนดอกบัวสีทองดอกหนึ่ง และลอยอยู่กลางหว่างคิ้วของเย่ฉางชิง พร้อมเสียงแห่งเต๋ามากมาย
หลังจากนั้นร่างสีทองที่ย่อส่วนลงและนั่งอยู่บนดอกบัว ก็ค่อย ๆ หายเข้าไปบนหน้าผากหว่างคิ้วของเย่ฉางชิง