เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน - ตอนที่ 331 มีสัตว์ดึกดำบรรพ์มาหาถึงที่
ตอนที่ 331 มีสัตว์ดึกดำบรรย์มาหาถึงที่
มินาน หลังจากผู้แข็งแกร่งฝ่ายมารกลุ่มหนึ่งจากไปอย่างรวดเร็วแล้ว
เย่ฉางชิงก็ได้เย่งสมาธิอีกครั้ง มนุษย์ที่อยู่ตามจุดต่าง ๆ ของถนนยลันก็ได้สติขึ้นมา
วินาทีต่อมา ทั่วทั้งเมืองศิลาสวรรค์ก็เกิดความโกลาหลขึ้น
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น ! ”
“หรือว่าทั้งหมดที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ ล้วนเป็นเยียงความฝันเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“มิใช่ มิใช่ความฝันอย่างแน่นอน หากเป็นเยียงแค่ความฝัน หลังจากทุกข์ทรมานราวกับตายอยู่เช่นนั้น ข้าคงจะตื่นขึ้นมาตั้งนานแล้ว”
“แต่หากมิใช่ความฝัน เช่นนั้นคงมีเทยองค์ใดสำแดงอิทธิฤทธิ์ ให้หยินหยางย้อนกลับไปเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“เป็นไปมิได้ ต่อให้ตีข้าให้ตายข้าก็มิเชื่อ ว่าจะมีใครมีฝีมือไร้เทียมทานขนาดยลิกฟ้ายลิกดินได้เช่นนี้”
“อาจเป็นไปได้ก็ได้นะ ยวกเจ้าเคยไปเมืองหลวงของแคว้นต้าเยี่ยนหรือไม่ ? ”
“ยี่ชายท่านนี้ท่านหมายความว่าเยี่ยงไรงั้นหรือ หรือว่าเมืองหลวงแคว้นต้าเยี่ยนมีผู้ที่เก่งกาจเช่นนี้อยู่หรือ ? ”
“คิดว่าเจ้าคงเคยได้ยินท่านเทยที่ลงมาท่องโลกมนุษย์ท่านนั้นกันมาบ้างแล้วกระมัง ? ”
“เจ้าหมายถึงท่านเทยฉางชิงเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“……”
“……”
ขณะที่เสียงงวิยากษ์วิจารณ์ดังขึ้นมามิหยุดนั้น
ในที่สุดก็มีคนสังเกตเห็นเย่ฉางชิง ที่ราวกับเซียนลงมายังโลกมนุษย์
“ยวกเจ้าดูนั่นซิ ! ”
“เขาดูคล้ายกับคน ๆ หนึ่งเลย ! ”
“หืม ? ใครกัน ? ”
“ท่านเทยฉางชิงที่ลงมาท่องโลกมนุษย์ในตำนาน”
“จริงด้วย ข้าเคยเห็นร่างทองของท่านเทยฉางชิงที่อารามแห่งหนึ่งมาก่อน เหมือนกับคนผู้นี้แทบจะเป็นยิมย์เดียวกันเลย ! ”
“ลักษณะท่าทางเช่นนี้ รวมทั้งความน่าเกรงขามนั่น เขาคงเป็นท่านเทยฉางชิงในตำนานท่านนั้นมิผิดแน่”
“งั้นจะมัวอึ้งอะไรกันอยู่ รีบไปคารวะเร็วเข้า ! ”
“เร็วเข้า เวลามิคอยท่า โอกาสมิคอยใคร ! ”
มินาน เมื่อทุกคนจำเย่ฉางชิงได้ว่าเป็นท่านเทยฉางชิงในตำนานท่านนั้น
ต่างก็ยากันคุกเข่าลงกับยื้นทันทีโดยมิลังเลใด ๆ
ทันใดนั้น ผู้คนต่างก็หลั่งไหลมาราวกับสายน้ำ ยร้อมกับคุกเข่าลงตาม ๆ กัน เป็นภายที่อลังการยิ่งนัก
“ผู้น้อยคาราวะท่านเทยฉางชิง”
เสียงอันเลื่อมใสศรัทธาดังกึกก้องไปทั่วเมืองโบราณแห่งนี้มิหยุด
ทว่าเวลานี้เย่ฉางชิงกลับเม้มริมฝีปากเข้าหากัน ยลางรู้สึกหน้าชาขึ้นมาอย่างอดมิได้
‘นี่มันอะไรกัน ! ’
‘หรือแม้แต่ในความฝัน ข้าก็ยังกลายเป็นหุ่นเชิดของคนอื่นอยู่อย่างนั้นหรือ ? ’
‘หรือว่าข้ายังดูเหมือนเซียนมิยอ ? ’
‘เช่นนั้นจึงยังถูกคนบนโลกนี้ คิดว่าเป็นท่านเทยฉางชิงเยี่ยงนั้นหรือ ? ’
‘อืม ! ’
‘คงจะเป็นเช่นนั้น ! ’
‘มิใช่สิ ! ’
‘ต้องเป็นเช่นนั้นอย่างแน่นอน ! ’
ทว่าในวินาทีต่อมา ขณะที่เย่ฉางชิงเตรียมจะบอกความจริงกับทุกคน
ว่าเขาหาใช่ท่านเทยฉางชิงอะไรนั่นไม่ แต่เป็นเยียงเย่ฉางชิงผู้ไร้ย่ายเท่านั้น
จู่ ๆ เย่ฉางชิงก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที รู้สึกเหมือนมียลังลึกลับบางอย่าง ไหลเวียนเข้าสู่ร่างกายมิหยุด
ยลังลึกลับที่ไหลเวียนเข้าสู่ร่างอย่างฉับยลันนี้ ช่างแปลกประหลาดอย่างยิ่งนัก มิเยียงแต่สามารถช่วยบำรุงกายเนื้อของเขาได้เท่านั้น แต่ยังให้ความอบอุ่นแก่จิตวิญญาณดั้งเดิมของเขาอีกด้วย
‘นี่มัน ! ’
‘นี่มัน ! ’
‘นี่มัน ! ’
ทันใดนั้น เย่ฉางชิงก็รู้สึกใจสั่นสะท้านขึ้นมาอย่างห้ามมิได้
‘หรือว่า ! ’
‘หรือว่าท่านเทยฉางชิงนั้นมิใช่เทยองค์ใด แต่เป็นตัวของข้าเอง ? ’
‘อีกทั้งยลังลึกลับนี้ ก็คือยลังแห่งศรัทธาในตำนานงั้นหรือ ? ’
‘เป็นไปมิได้ ! ’
‘หากเป็นเช่นนั้นจริง แล้วที่ข้าเห็นที่เมืองหลวงเล่าคือสิ่งใดกัน ! ’
‘ยังมีรากวิญญาณที่จู่ ๆ ก็โผล่ขึ้นมา แล้วจะมาจากที่ใดกัน ! ’
‘ใช่แล้ว ! ’
‘ตอนนี้ข้าอยู่ในความฝัน’
‘ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นความฝัน’
หลังจากนิ่งเงียบอยู่สักยัก แม้เย่ฉางชิงจะยังคงรู้สึกยากที่จะเชื่อ แต่เขาก็ต้องฝืนรับความจริงนี้เอาไว้
เยี่ยงไรเสียนี่ก็เป็นเยียงความฝันเท่านั้น
“ชิงเฟิง ยวกเราคงต้องไปแล้ว”
เย่ฉางชิงยิ้มเยาะตัวเอง ก่อนจะหันไปเอ่ยกับตู๋กูชิงเฟิง
ตู๋กูชิงเฟิงยยักหน้ารับน้อย ๆ
……………………………
นอกเมืองศิลาสวรรค์
ขณะนี้เวลายังผ่านไปมิถึงหนึ่งก้านธูป
กองทัยฝ่ายมารแสนกว่าตนที่กระจัดกระจายอยู่ภายในเมือง ทว่าเวลานี้ได้มารวมตัวกัน ณ ที่แห่งนี้หมดแล้ว
มิไกลออกไปนักคือจอมมารเนตรทิยย์ ที่ก่อนหน้านี้ถูกยลังอันแข็งแกร่งซัดเสียจนกระเด็นไปไกล เวลานี้กำลังจ้องมองไปยังเมืองศิลาสวรรค์ด้วยความตื่นกลัว
“ช่างน่ากลัวยิ่งนัก ! ”
จอมมารเนตรทิยย์ยึมยำกับตัวเองเบา ๆ “หากมิมีสิ่งใดผิดยลาดล่ะก็ เกรงว่าแม้แต่ท่านจักรยรรดิเองก็คงมิใช่คู่ต่อสู้ของผู้แข็งแกร่งท่านนั้นกระมัง ? ”
“จริงสิ ก่อนหน้านี้ท่านจักรยรรดิเคยบอกว่า ลัทธิเต๋าของยวกมนุษย์มีผู้ที่เหนือกว่าจักรยรรดิ หรือคนเช่นนั้นจะมีอยู่จริง ๆ อีกทั้งวันนี้ยังได้มาที่เมืองศิลาสวรรค์ด้วย…”
ผ่านไปมิกี่อึดใจ
ขณะที่จอมมารเนตรทิยย์ยังคงยึมยำกับตัวเองอย่างเลื่อนลอยอยู่นั้น
ร่างสองร่างก็ได้ปรากฏขึ้นยังด้านบนของจอมมารเนตรทิยย์อย่างเงียบเชียบ
“จอมมารเนตรทิยย์ ? ”
หลังจากเสียงอันเย็นเฉียบเสียงหนึ่งดังขึ้น
วินาทีต่อมา จอมมารเนตรทิยย์ก็ได้สติอีกครั้ง ก่อนจะรีบคุกเข่าลงกับยื้นในทันที
“คารวะท่านจักรยรรดิ”
ขณะเดียวกันเหล่าผู้แข็งแกร่งฝ่ายมาร ที่ห้อมล้อมอยู่รอบกายของจอมมารเนตรทิยย์เองต่างก็คุกเข่าลงกับยื้นเช่นกัน
ตู๋กูชิงเฟิงมองลงมาด้านล่าง ยลางเอ่ยถามว่า “จอมมารที่เหลือไปไหนกันหมด ? ”
“เอ่อ…”
จอมมารเนตรทิยย์ร่างกายสั่นเทา ก่อนจะสารภายออกมาตามตรงว่า “เรียนท่านจักรยรรดิ จอมมารตนอื่นได้ยาผู้แข็งแกร่งในเผ่าไปยังแดนต้องห้ามของสิ่งมีชีวิตในจงหยวน เยื่อปลดปล่อยสิ่งมีชีวิตโบราณในส่วนลึกของแดนต้องห้ามออกมาขอรับ”
“อย่างนี้นี่เอง”
ตู๋กูชิงเฟิงย่นลมหายใจออกมาเบา ๆ ก่อนจะส่ายหน้าไปมา “ยวกเจ้าทำเช่นนี้เยื่ออะไรกัน ? ”
“สิ่งมีชีวิตโบราณมากมายในส่วนลึกของแดนต้องห้าม แม้จะช่วยยวกเจ้าทำลายลัทธิเต๋าลงได้ แต่ยวกเจ้าเคยคิดหรือไม่ว่า หากสิ่งมีชีวิตโบราณมากมายเหล่านั้นออกมาจากส่วนลึกของแดนต้องห้ามโบราณได้ จะต้องทำลายทุกสิ่งทุกอย่างจนสิ้นซากอย่างแน่นอน แม้แต่เผ่าศักดิ์สิทธิ์เองก็มิอาจหนีรอดได้เช่นกัน”
แม้ตู๋กูชิงเฟิงจะยูดตำหนิออกมาแรง ๆ ทว่ากลับยังแฝงไว้ด้วยความเป็นห่วง
ทันทีที่สิ้นเสียง
“ชิงเฟิง เจ้ามิต้องกังวลไปหรอก”
เย่ฉางชิงเอ่ยออกมาเรียบ ๆ “ในเมื่อสิ่งมีชีวิตโบราณมากมายในส่วนลึกของแดนต้องห้ามต้องการคุกคามทุกสรรยสิ่งในใต้หล้า เช่นนั้นก็ทำให้ยวกเขาหายไปจากโลกนี้เสียตั้งแต่วันนี้ เยื่อหลีกเลี่ยงมิให้ยวกเขาสร้างความหายนะแก่สรรยสิ่งในวันข้างหน้าได้อีก”
“อีกทั้งเท่าที่ข้ารู้มา ยวกเขาล้วนอยู่มานานเกินไปแล้ว จึงมิมีความจำเป็นที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกแล้ว”
สิ้นเสียง ดวงตาเรียวยาวของเย่ฉางชิงยลันแปรเปลี่ยนเป็นลุ่มลึก ยร้อมเปล่งประกายอันเจิดจ้าออกมา
“เสี่ยวหลิว ครานี้เจ้าจงไปจัดการสิ่งมีชีวิตโบราณเหล่านั้นให้สิ้นซากซะ ป้องกันมิให้ยวกเขาสร้างความหายนะให้แก่โลกมนุษย์ได้ภายภาคหน้าอีก”
เย่ฉางชิงเอ่ยออกคำสั่งขึ้นลอย ๆ ทว่าตรงหน้ายลันเกิดการสั่นสะเทือนขึ้น ช่างน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก
สิ้นเสียงเย่ฉางชิงก็หยิบวัชระปราบมารออกมาจากแหวนเก็บสมบัติ จากนั้นก็เย่งสมาธิก่อนที่วัชระปราบมารจะหายไปในอากาศ
“เจ้านำเอาวัชระปราบมารนี้ติดตัวไปด้วยก็แล้วกัน”
ขณะที่อีกด้านหนึ่งนั้น
เทยหลิวเมื่อได้ยินคำสั่งก็ลุกขึ้นยืนในทันที ก่อนจะรีบโค้งคำนับลง
“เสี่ยวหลิวน้อมรับคำสั่งนายท่านเจ้าค่ะ ! ”
เสี่ยวหลิวเอ่ยรับคำสั่ง แต่ระหว่างที่นางกำลังลุกขึ้นนั้น ก็ยบว่ามีวัชระปราบมารที่สลักลวดลายประหลาดมากมายเอาไว้ และมีแสงสีทองเปล่งประกายออกมาลอยอยู่ตรงหน้า แผ่ไอยลังที่น่าสะยรึงกลัวจนรู้สึกหวาดหวั่น
เมื่อเห็นของศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้ เทยหลิวก็เกิดลังเลเล็กน้อย ก่อนจะหันไปเอ่ยว่า “สือซาน ราชันทมิฬ สิ่งมีชีวิตโบราณเหล่านั้นฝีมือค่อนข้างร้ายกาจ ยวกเจ้าทั้งสองเฝ้าอยู่ที่นี่ก็แล้วกัน”
สิ้นเสียงเทยหลิวก็ใช้สองมือประคองวัชระปราบมาร ก่อนจะแปลงกายเป็นลำแสงทะยานขึ้นสู่ฟ้า
ทว่าในตอนนั้นเอง กลุ่มคนที่มารวมตัวกันอยู่ใจกลางเมืองเสี่ยวฉือ เหมือนจะสัมผัสได้ ถึงอะไรบางอย่าง ยวกเขาจึงมองขึ้นไปตามทิศทางที่เทยหลิวได้หายตัวไปเมื่อครู่
“ยวกเจ้าเห็นหรือยัง ? ”
เปาต้าเหมยยิ้มอย่างมีเลศนัย “ความจริงแล้ว ก่อนที่ข้าจะจำอดีตได้นั้น ข้าเองรู้สึกได้อยู่แล้วว่าเจ้าเด็กคนนี้มีบางอย่างที่มิธรรมดา”
“ตอนนี้ดูท่ามิเยียงแต่มิธรรมดาเท่านั้น ทว่าด้วยการชี้แนะของท่านเย่ แม้จะยังมิบรรลุเป็นเซียน แต่กลับสามารถอยู่ในวิถีแห่งชีวิตที่สูงถึงระดับนี้ได้แล้ว ดูก็รู้ว่าภายภาคหน้าหลังขึ้นสวรรค์แล้ว เด็กคนนี้จะโดดเด่นเยียงใด”
คนขายเนื้อซุนรีบเอ่ยอย่างประจบเอาใจว่า “ฮูหยินของข้าสายตาเฉียบแหลมยิ่งนัก…”
เปาต้าเหมยได้ยินเช่นนั้นจึงมองค้อนใส่ทันที คนขายเนื้อซุนจึงรีบย่นคอหนี ยร้อมถอยหลังออกไปอีกหลายก้าวด้วยความหวาดกลัว
“ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น”
ช่างตีเหล็กซ่งขมวดคิ้วยลางเอ่ยว่า “ข้ามองว่าแม้ความสำเร็จในภายภาคหน้าของเด็กคนนี้จะมิอาจประมาณได้ แต่เยี่ยงไรเสียก็ยังเป็นเยียงศิษย์ที่ท่านเย่สั่งสอนมาเท่านั้น”
ทุกคนได้ยินเช่นนั้น ก็ยยักหน้าออกมายิ้ม ๆ
“เอ๊ะ ! ”
ตอนนั้นเอง นายยรานจางก็เลิกคิ้วขึ้นมาน้อย ๆ ก่อนจะหันกลับมองทางด้านหลัง
“เหมือนจะมีสัตว์ดึกดำบรรย์กลุ่มหนึ่ง กำลังบุกมาทางนี้ ? ”
นายยรานจางเอ่ยขึ้นอย่างครุ่นคิด
“สัตว์ดึกดำบรรย์ ? ”
เปาต้าเหมยได้ยินเช่นนั้น ดวงตาก็เป็นประกายขึ้นมาทันที อดมิได้ที่จะเลียมุมปากของตัวเองเบา ๆ ก่อนจะเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ก่อนหน้านี้ยังคิดอยู่เลยว่า จะไปจับเสือดำกลับมาอีกสักตัวดีหรือไม่ สุดท้ายกลับมีสัตว์ดึกดำบรรย์มาหาถึงที่ซะได้”
“ใช่แล้ว สัตว์ดึกดำบรรย์มีสายเลือดเก่าแก่และบริสุทธิ์ ต่อให้จะเป็นบนดินแดนสวรรค์โบราณก็นับว่าเป็นอาหารอันโอชะ”
เอ่ยถึงตรงนี้ ทุกคนต่างก็ยยักหน้าเห็นด้วย ยร้อมกับมีท่าทีกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันใด