เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน - ตอนที่ 338 ด้วยนามของข้า ประตูสวรรค์จงเปิดขึ้นอีกครั้ง
จากนั้นเย่ฉางชิงและตู๋กูชิงเฟิงก็เดินทางต่อลงใต้
พวกเขาทั้งสองได้สะกดไอพลังของตัวเองเอาไว้ ให้ดูราวกับเป็ น คู่สามีภรรยาธรรมดาที่จะไปเยี่ยมญาติ ขณะนั่งเรือสินค้าล่องไปตาม แม่น้าของแคว้นต้าเยี่ยน
ระหว่างทางเมื่อเรือบรรทุกสินค้าลานี้เข้าเทียบท่ายังท่าเรือข้าม ฟากต่าง ๆ พวกเขาทั้งสองก็จะขึ้นไปท่องเที่ยว ตามเมืองท่าน้อยใหญ่ เหล่านั้น
เนื่องจากเมืองต่าง ๆ ในแคว้นต้าเยี่ยน ล้วนสร ้างอารามฉางชิง ขึ้นทุกหัวระแหง
เช่นนั้นเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่มิจาเป็ น เย่ฉางชิงจาต้องใช ้เคล็ด วิชาแปลงโฉมเปลี่ยนใบหน้าของเขาหลายครั้ง
ทว่าการเดินทางท่องเที่ยวไปตามเมืองน้อยใหญ่นั้น ย่อมเลี่ยง มิได้ที่จะต้องใช ้เงินตราของโลกมนุษย์
เช่นนั้นเย่ฉางชิงจึงจาต้องวาดภาพและเขียนอักษรพู่กัน เพื่อ นาไปแลกเป็ นเงินเพื่อใช ้จ่าย
เย่ฉางชิงในตอนนี้กลับรู ้สึกสนุกสนาน จนมิรู ้สึกเหน็ดเหนื่อย
อีกทั้งระหว่างที่ทั้งสองเดินทางท่องไปทั่วจงหยวน ก็ยังได้ผ่าน ดินแดนบาเพ็ญเพียรต่าง ๆ ที่มีคนรู ้จักอาศัยอยู่ด้วย
อาทิเช่น ถานไถชิงเสว่ที่บาเพ็ญเพียรอยู่ที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ จื่อชิง
มู่หรงลี่จูและเยี่ยนปิงซิน ที่บาเพ็ญเพียรอยู่ที่ตระกูลโบราณมู่หรง เป็ นต้น
ทว่าเมื่อเย่ฉางชิงสัมผัสได้ถึงไอพลังของพวกนาง ก็มิได้เข้าไป รบกวนแต่อย่างใด
เพียงแต่แอบมอบวาสนาให้อย่างเงียบ ๆ และรีบจากไปเท่านั้น
เพียงพริบตา เวลาหลายเดือนก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว
วันนี้ในที่สุดเย่ฉางชิงและตู๋กูชิงเฟิ ง ก็ได้เดินทางมาถึงแดนใต้ ของจงหยวนเสียที
เนื่องจากก่อนหน้านี้ หลังจากกองทัพปีศาจได้บุกโจมตีจงหยวน แล้ว ก็ถูกสั่งให้กลับไปยังเทือกเขาแดนใต้อย่างรีบร ้อน ด้วยเหตุนี้จึง ทาให้การป้ องกันของแดนใต้หนาแน่นขึ้นอย่างมาก ถึงขนาดที่ว่า มนุษย์ธรรมดาและปีศาจตัวเล็ก ๆ มิสามารถเข้าออกจงหยวนได้อีก
ส่วนเย่ฉางชิงและตู๋กูชิงเฟิงที่สะกดไอพลังเอาไว้ ย่อมถูกปฏิเสธ มิให้ผ่านเข้าประตูเช่นกัน
ณ ทิวเขาที่ทอดยาวตามแนวชายแดนของทางใต้
เย่ฉางชิงและตู๋กูชิงเฟิ งที่ดั้นด้นมาอย่างยากลาบาก กาลังยืน เคียงกันอยู่ พร ้อมกับทอดมองออกไปนอกแดนใต้ อันเป็ นดินแดนที่ กว้างใหญ่ไร ้ขอบเขต
“ฉางชิง เทือกเขาแดนใต้ห่างจากที่นี่อีกประมาณหมื่นลี้ พวกเรา จะไปเทือกเขาแดนใต้หรือไม่ ? ”
ตู๋กูชิงเฟิ งถอนสายตากลับมา ก่อนจะหันไปถามเย่ฉางชิงด้วย น้าเสียงอ่อนโยน
เวลานี้แววตาของเย่ฉางชิงเป็ นประกายระยิบระยับ
เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมา ขณะท่องไปทั่วจงหยวนนั้น
เย่ฉางชิงก็ได้เข้าใจถึงการใช ้อิทธิฤทธิ์ต่าง ๆ มากมาย
อาทิเช่น การสัมผัสได้ถึงไอพลังชีวิตที่ซุกซ่อนอยู่ตามที่ต่าง ๆ ของโลกใบนี้ และสามารถจดจาสิ่งต่าง ๆ เหล่านั้นได้ทั้งหมดจนขึ้นใจ
สามารถควบคุมกาลเวลาได้อย่างที่ใจปรารถนา
อีกทั้งยังสามารถมอบสติปัญญาให้แก่สิ่งมีชีวิต หรือพราก สติปัญญาไปจากสิ่งมีชีวิตได้เช่นกัน
เช่นนั้น เขาจึงมิมีสิ่งใดที่คิดแล้วจะมิสามารถทาได้อีกแล้ว
ตอนนี้แม้เขาจะยังมิได้เข้าไปในแดนใต้ ทว่าสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด ในแดนใต้ล้วนอยู่ในสายตาของเขาจนหมดสิ้น
“มิต้องแล้วล่ะ พวกเราออกจากนานมากแล้ว คงได้เวลากลับไป แล้วล่ะ”
เย่ฉางชิงถอนสายตากลับมา จากนั้นก็ได้เอ่ยด้วยรอยยิ้มสบาย ๆ
และถึงแม้เวลานี้เย่ฉางชิงจะมีพลังที่สามารถควบคุมทุกอย่างได้ แต่สาหรับเขาแล้ว ทั้งหมดนี้ล้วนมิใช่เรื่องจริงเลยสักนิด
หรือกล่าวอีกอย่างว่าเรื่องทั้งหมดเป็ นเพียงความฝันเท่านั้น
เพียงแค่เขาตื่นขึ้น เรื่องทั้งหมดนี้ก็ถูกลบหายไปทันที
และสาหรับเขา หลังจากได้ออกท่องไปทั่วทั้งจงหยวนกับตู๋กูชิง เฟิงแล้ว ตอนนี้จึงอยากที่จะกลับไปยังเมืองเสี่ยวฉือ และตื่นขึ้นจาก ความฝันนี้เสียที
ได้ยินเช่นนั้นตู๋กูชิงเฟิงก็พยักหน้ารับทันที
ตอนนี้นางเองก็มิมีความปรารถนาอื่นใดอีกแล้ว
หวังเพียงว่าหลังจากนี้ มิว่าเย่ฉางชิงจะไปที่ใด นางจะยังสามารถ เคียงข้างเขาได้ก็พอแล้ว
ตอนนั้นเองเย่ฉางชิงก็ได้ประคองมือของตู๋กูชิงเฟิงขึ้นมาเบา ๆ ก่อนจะสบตาพร ้อมกับยิ้มให้นางน้อย ๆ
ก่อนที่ร่างของทั้งสองจะค่อย ๆ เลือนรางลง เพียงพริบตาก็หาย วับไปในอากาศ
จากนั้นทั้งคู่ก็ได้ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง ที่ด้านนอกเมืองเสี่ยวฉืออ ย่างเงียบ ๆ
ทว่าในตอนนั้นเอง เย่ฉางชิงและตู๋กูชิงเฟิ งก็มีสีหน้าเปลี่ยนไป แทบจะพร ้อมกัน ท่าทางของพวกเขาเต็มไปด้วยความงุนงง
เพราะเวลานี้ปราณวิญญาณฟ้ าดินในรัศมีร ้อยลี้รอบเมืองเสี่ยว ฉือ เรียกได้ว่าแทบจะเหือดแห้งเต็มที และที่น่าตกใจกว่านั้นก็คือ ปราณวิญญาณฟ้ าดินมหาศาลจากที่ต่าง ๆ ล้วนหลั่งไหลเข้ามา อย่างมิขาดสาย
ขณะเดียวกัน เวลานี้ภายในเมืองเสี่ยวฉือกลับปกคลุมไปด้วยไอ พลังต้องห้ามมากมาย
เห็นได้ชัดว่าการเปลี่ยนแปลงฟ้ าดินทั้งหมดนี้ ดูเหมือนว่าจะมี ส่วนเกี่ยวข้องกับเมืองเสี่ยวฉือ
คิดได้เช่นนั้นเย่ฉางชิงก็เพ่งสมาธิ พลันภาพทั้งหมดในเมือง เสี่ยวฉือก็ปรากฏสู่สายตา
ทว่าหลังจากที่เขาเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเมืองเสี่ยวฉือแล้ว กลับมีสีหน้าสับสนขึ้นมา
ใช่แล้ว !
ผู้ที่ทาให้เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นก็คือชาวเมืองเสี่ยวฉือนั่นเอง
อีกทั้งพวกเขาในเวลานี้ก็หาได้เป็ นมนุษย์ธรรมดาเช่นก่อนหน้า นี้ไม่
มิหนาซ้ารอบกายของแต่ละคนในตอนนี้กลับมีแสงลอยวนอยู่ ด้านหลังปกคลุมเอาไว้ด้วยวงแสงอันลึกลับ ราวกับเทพสงครามลง มายังโลกมนุษย์ ช่างดูน่าเกรงขามยิ่งนัก
“ฉางชิง เมืองเสี่ยวฉือเกิดอะไรขึ้นเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
ตู๋กูชิงเฟิงเหมือนสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง จึงอดมิได้ที่จะถาม ออกมาอย่างเคร่งเครียด
“ข้าเองก็มิแน่ใจ”
เย่ฉางชิงตอบกลับเพียงเรียบ ๆ จากนั้นร่างของเขาและตู๋กูชิงเฟิง ก็หายวับไปจากที่ตรงนั้นทันที
ก่อนที่เย่ฉางชิงและตู๋กูชิงเฟิ งจะปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง บนถนน สายหลักของเมืองเสี่ยวฉือพร ้อม ๆ กัน
ขณะเดียวกัน เมื่อชาวเมืองที่กาลังนั่งสมาธิอยู่ตามที่ต่าง ๆ เหมือนสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง พวกเขาก็ลืมตาขึ้นในทันที
ทว่าวินาทีที่พวกเขาลืมตาขึ้นมานั้น แววตาของแต่ละคนล้วนมี ประกายบางอย่างลุกโชนออกมาด้วย
“ท่านเย่ ในที่สุดท่านก็กลับมาเสียที”
เปาต้าเหมยที่มีรังสีเปลี่ยนไป แต่ยังคงมีร่างกายกายาเช่นเดิม ก็ เหาะเข้ามาหาเย่ฉางชิงในทันที
มินานคนที่เหลือเองก็เหาะตามมา ก็หยุดลงตรงหน้าของเย่ฉาง ชิง
“ซ ้อเปา พวกท่านเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ? ”
เย่ฉางชิงกวาดตามองทุกคน พลางเอ่ยถามอย่างฉงน เมื่อสัมผัส ได้ถึงพลังปราณอันแข็งแกร่งที่ปกคลุมร่างกายของทุกคนในตอนนี้
เปาต้าเหมยเอ่ยด้วยอย่างว้าวุ่นใจว่า “พวกเราเองก็มิรู ้ว่าเกิด อะไรขึ้น อยู่ดี ๆ ตื่นขึ้นมาพวกเราก็จาอดีตชาติได้ จากนั้นกายเนื้อ และจิตวิญญาณดั้งเดิมก็เกิดการฟื้นฟูขึ้นมิหยุด และดูดกลืนปราณ วิญญาณฟ้ าดินอย่างบ้าคลั่ง”
ช่างตีเหล็กซ่งที่มีสายตาเฉียบคม พยักหน้าพร ้อมกล่าวเสริมว่า “ท่านเย่ พวกเราต้องรีบไปจากโลกใบนี้ มิเช่นนั้นปราณวิญญาณฟ้ า ดินของโลกใบนี้จะต้องถูกกายเนื้อและจิตวิญญาณดั้งเดิมของพวก เราดูดกลืนจนหมดแน่ ถึงตอนนั้นโลกนี้และพวกเราจะต้องพินาศลง พร ้อม ๆ กันอย่างแน่นอน”
‘ไปจากโลกใบนี้ ? ’
‘ไปอย่างไร ? ’
‘หรือว่าจะต้องใช ้ประตูสวรรค์ จากนั้นพวกเจ้าก็ก้าวข้ามประตู สวรรค์ เพื่อไปจากโลกใบนี้เยี่ยงนั้นหรือ ? ’
‘อีกอย่างเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับพวกเจ้า คงมิเกี่ยวกับข้าหรอก กระมัง ? ’
‘ต่อให้นี่จะเป็ นเพียงความฝัน แต่ถึงกับต้องเล่นกันใหญ่โตขนาด นี้เลยหรือ ! ’
คิดถึงตรงนี้ เย่ฉางชิงจึงได้ถามออกไปตรง ๆ ว่า “ซ ้อเปา ท่านลุง ซ่ง พวกท่านต้องการให้ข้าเปิดประตูสวรรค์ให้พวกท่านเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
สิ้นเสียงทุกคนต่างก็สบตากันเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้ารับ
ทว่าเมื่อเห็นทุกคนต่างก็พยักหน้ารับ เย่ฉางชิงกลับรู ้สึกนิ่งงัน
‘เปิดประตูสวรรค์ ? ’
‘ประตูสวรรค์นี่มันต้องเปิดอย่างไรเล่า ! ’
‘คงมิสามารถใช ้วิธีเดิมได้อีกแล้วกระมัง ? ’
ตอนนั้นเอง เปาต้าเหมยก็ได้เอ่ยขึ้นอีกว่า “ท่านเย่ ขอเพียงท่าน สามารถเปิดประตูสวรรค์ ช่วยให้พวกเรากลับขึ้นไปบนสวรรค์ได้”
“ภายภาคหน้าหากพวกเราได้มีโอกาสพบกันยังดินแดนสวรรค์ โบราณอีกครา พวกเราขอสาบานด้วยมรรคาที่มี ว่าจะขอติดตาม ท่านตลอดไป”
ได้ยินเช่นนั้นคนที่เหลือต่างก็เอ่ยคาสาบานตามอย่างมิลังเล “พวกข้าขอสาบานด้วยมรรคาที่มี ภายภาคหน้าหากได้พบกันยัง ดินแดนสวรรค์โบราณอีกครา พวกเราจะขอติดตามท่านเย่ตลอดไป”
เย่ฉางชิงถึงกับขมวดคิ้วมุ่น ก่อนจะเอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัย ว่า “พวกท่าน… ต้องรีบไปใช่หรือไม่ ? ”
นายพรานจางจึงเอ่ยว่า “ท่านเย่ ท่านคงยังมิทราบว่าหากพวก เรายังอยู่บนโลกนี้ต่อแม้เพียงแค่เสี้ยววินาที โลกใบนี้ก็จะอันตราย มากขึ้นเท่านั้น”
ทุกคนต่างก็พยักหน้าเห็นด้วย
เย่ฉางชิงจึงพิจารณาทุกคนที่มีท่าทีเป็ นกังวลอีกครั้ง ก่อนจะ กระโดดขึ้นจากพื้น
มิกี่อึดใจต่อมา เย่ฉางชิงก็ได้แหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้ า พร ้อม ตะโกเสียงดังจนก้องไปทั่วทั้งโลกา
“ด้วยนามของข้า ประตูสวรรค์จงเปิดขึ้นอีกครั้ง ! ”
สิ้นเสียง เย่ฉางชิงก็ได้เพ่งสมาธิ รอบกายพลันเปล่งแสงสีทอง ออกมา พร ้อมไอหมอกหนาแน่นลอยวน ด้านหลังปรากฏวงแสง หลากสีสัน ที่อัศจรรย์และงดงามขึ้นมากมาย
มินาน ห้วงอากาศภายในรัศมีพันลี้ จากตาแหน่งที่เย่ฉางชิงยืน อยู่ก็เกิดพังทลายลง
ทันใดนั้น พลังอันปั่นป่ วนและรุนแรงจานวนมหาศาลก็ปะทุขึ้น จิตแท้และไอพลังมหามรรคาอันบริสุทธิ์ไร ้ที่เปรียบมากมายก็แผ่ ออกมา…
บัดนี้ราวกับฟ้ าดินถูกแยกออกจากกันเป็ นครั้งแรกก็มิปาน