เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน - ตอนที่ 343 คนหน้าตาดีมักมีคุณสมบัติด้อย
ขณะเดียวกัน
ทางเหนือของหลิงโจว
ณ เขาอวิ๋นชาง
ความเข้มข้นของปราณวิญญาณฟ้ าดินของที่นี่ หากเทียบกับ พื้นที่อื่นทางตอนเหนือของหลิงโจวแล้วอาจมีมิมากนัก ทว่าที่นี่กลับมี ต้นไม้เก่าแก่เขียวชอุ่มขึ้นหนาแน่น ทิวเขาซ ้อนทับกันเรียงราย มีเมฆ หมอกปกคลุมตลอดทั้งปี
นั่นจึงยิ่งทาให้สานักชิงหยางสานักระดับเก้า ที่อยู่ในส่วนลึกของ เขาอวิ๋นชาง ดูราวกับสานักเซียนลึกลับก็มิปาน
เวลานี้ที่หน้าประตูสูงตระหง่านเต็มไปด้วยร่องรอยของกาลเวลา
บนหินสีครามที่ค่อนข้างแบนราบ
ได้มีบุรุษหนุ่มรูปงามผู้มีคิ้วคมเข้ม รูปหน้าเฉียบคมผู้หนึ่ง กาลัง นั่งสมาธิอยู่ด้านบน
นอกจากนี้ด้านหน้าของบุรุษหนุ่มผู้นั้นยังมีกระบี่ยาวสีขาวราว กับหิมะเล่มหนึ่งลอยอยู่
กระบี่เล่มนี้ช่างดูพิเศษยิ่งนัก คลื่นกระบี่ไหลเวียนไปทั่วตัวกระบี่ แผ่คลื่นแสงออกเป็ นชั้น ๆ อย่างต่อเนื่อง
กระบี่เล่มนี้จึงยิ่งเสริมให้บุรุษหนุ่มผู้หล่อเหลาดูโดดเด่นมากขึ้น ไปอีก ราวกับสุดยอดเซียนกระบี่แห่งยุค กาลังนั่งอยู่ ณ ที่แห่งนี้
ตอนนั้นเอง บุรุษหนุ่มผู้นั้นเหมือนจะสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง จึงลืมตาขึ้นทันที
“อาจารย์ ? ”
บุรุษหนุ่มผู้นั้นขมวดคิ้วน้อย ๆ ก่อนเพ่งสมาธิแล้วหยิบยันต์ ถ่ายทอดเสียงชิ้นหนึ่งออกมาจากแหวนเก็บสมบัติ
หลังจากที่บุรุษหนุ่มค่อย ๆ ประสานพลังปราณเข้าสู่ยันต์แล้ว
เพียงพริบตา บนยันต์หยกพลันเกิดแสงไหลเวียน ปรากฏ สัญลักษณ์มากมายขึ้นลาง ๆ
“ซิวหยวน ตอนนี้เป็ นสถานการณ์เร่งด่วน อาจารย์มีอะไร บางอย่างจะบอกให้รู ้เช่นนั้นเจ้าก็แค่ฟังและทาตามก็พอ”
มินานก็มีเสียงของนักพรตชิงอวิ๋นดังขึ้นจากยันต์ถ่ายทอดเสียง
“อาจารย์ ศิษย์ทราบแล้วขอรับ”
“เจ้าฟังให้ดี ตอนนี้อาจารย์หาคนที่จะเข้าร่วมการทดสอบของ นิกายกระบี่สวรรค์ในอีกครึ่งปีเจอแล้ว”
“แต่ก่อนที่จะเข้าร่วมการทดสอบ เวลาที่อยู่ต่อหน้าคนผู้นี้พวก เจ้าทั้งเก้าคนจะต้องทาตัวให้ดูราวกับยอดฝี มือจริง ๆ เพื่อให้เขา เข้าใจว่าสานักชิงหยางของเรานั้น เป็ นสานักเซียนลึกลับในตานาน”
“ตอนนี้เจ้ารีบไปเรียกศิษย์น้องทุกคนให้มารวมตัวกันก่อน และ แจ้งเรื่องนี้ให้พวกเขาทราบเสีย และกาชับพวกเขาด้วยว่าเรื่องนี้ เกี่ยวพันถึงอนาคตของสานักชิงหยาง เช่นนั้นห้ามเผยพิรุธใด ๆ ออกมาเป็ นอันขาด”
“และอีกสักพักอาจารย์ก็จะเดินทางกลับไปแล้ว คาดว่าอีกหนึ่ง ชั่วยามกว่า ๆ ก็คงจะถึง”
“อาจารย์ คนผู้นี้เป็ นพวกอ่อนหัดหรือขอรับ?”
“อย่าถามให้มากความ รีบไปทาตามคาสั่งเดี๋ยวนี้ ! ”
……………………….
หลังจากการสนทนาจบลงอย่างรวดเร็ว
หลี่ซิวหยวนผู้เป็ นศิษย์เอกของสานักชิงหยางมุมปากค่อย ๆ โค้ง ขึ้น อดมิได้ที่จะเผยรอยยิ้มอันฝืดเฝื่อนออกมา
ความจริงแล้วเขารู ้สึกมิชอบวิธีการของนักพรตชิงอวิ๋น ถึงขนาด ดูแคลนก็ว่าได้
แต่หากเขามิทาตามที่อาจารย์สั่ง แล้วอีกครึ่งปีเมื่อการทดสอบ ของนิกายกระบี่สวรรค์มาถึง ถึงตอนนั้นใครกันที่จะต้องเข้ารับการ ทดสอบนี้ ?
ตัวเขาหลี่ซิวหยวน ?
หรือว่าศิษย์น้องที่เหลือ ?
พอเถอะน่า !
แม้เขาและศิษย์น้องที่เหลืออีกแปดคน จะมีใบหน้าที่หล่อเหลา บุคลิกท่าทางที่โดดเด่น แต่ต้องยอมรับว่าคุณสมบัติของพวกเขานั้น กลับมิได้ดีเด่นดังเช่นหน้าตาเอาเสียเลย
ตัวเขานั้นหากวัดกันที่รูปร่างหน้าตาและบุคลิกท่าทางแล้ว เรียก ได้ว่ามิเป็ นสองรองใคร ถึงขนาดที่ว่าเหนือกว่าศิษย์เอกนิกายกระบี่ สวรรค์ผู้นั้นเสียด้วยซ้า ทว่าคุณสมบัติของทั้งสองคนกลับต่างกันราว ฟ้ ากับดิน
ย้อนไปตอนที่เขาเคยเข้าร่วมการทดสอบของส านักน้อยใหญ่ใน โลกมนุษย์
เมื่อแรกพบนั้นศิษย์หญิงของสานักน้อยใหญ่ เมื่อเห็นเขาต่างก็ เล่นหูเล่นตาด้วย ทว่าหลังจากผลการทดสอบออกมา แต่ละคนท า ราวกับอยากถลกหนังหน้าเขาออกมาเสียด้วยซ้า
แต่ต้องบอกว่าเขานั้นนับถือในสายตาของนักพรตชิงอวิ๋นมาก จริง ๆ
สานักชิงหยางมีศิษย์รวมทั้งหมดเก้าคน ทั้งหมดล้วนถูกนักพรต ชิงอวิ๋นคัดมากับมือ
นอกจากศิษย์ชายแต่ละคนจะมีใบหน้าที่หล่อเหลาแล้ว ศิษย์ หญิงของสานักนี้ก็ยังมีรูปร่างงามระหงมิแพ้กัน ทว่าหากพูดถึง คุณสมบัติแล้วกลับย่าแย่มิต่างกัน
ตอนแรกที่พวกเขาเข้ามาในสานักชิงหยางนั้น ก็เพราะหลงเชื่อ ในความเจ้าเล่ห์ของนักพรตชิงอวิ๋น
เพราะนักพรตชิงอวิ๋นได้บอกแก่พวกเขาว่า ลมปราณของพวก เขานั้นเพียงแค่อุดตันเท่านั้น ขอเพียงแค่ทาการระบายลมปราณ ราก วิญญาณก็จะเกิดการพัฒนา และจะกลายเป็ นอัจฉริยะในการฝึ ก เซียนอย่างแน่นอน
แต่ที่น่าเจ็บใจที่สุดก็คือ ตอนนั้นพวกเขาต่างก็หลงเชื่อคาพูดนั้น จริง ๆ
แต่ความสุขเดียวที่ทาให้พวกเขาทั้งเก้าคนยังมิจากไปไหนก็คือ
หลายปีมานี้นักพรตชิงอวิ๋นปฏิบัติกับพวกเขาราวกับเป็ นลูกแท้ ๆ มิเคยกดขี่ข่มเหงใด ๆ แม้แต่น้อย
นี่จึงเป็ นเหตุผลที่หลายปีมานี้พวกเขายังมิไปจากสานักชิงหยาง
หลังจากนิ่งเงียบอยู่พักใหญ่ หลี่ซิวหยวนก็ค่อย ๆ ทอดถอนใจ ออกมา “เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว เพื่อรับมือกับการทดสอบของนิกาย กระบี่สวรรค์ในอีกครึ่งปี เพื่อความอยู่รอดของสานักชิงหยาง ดูท่าคง ท าได้เพียงท าตามแผนการของท่านอาจารย์สินะ”
“เฮ้อ ขอให้คนผู้นี้หน้าตาดีน้อยกว่าพวกเรา แต่มีคุณสมบัติที่ โดดเด่นด้วยเถอะ และสามารถผ่านการทดสอบได้เข้าไปเป็ นศิษย์ สายนอกของนิกายกระบี่สวรรค์ได้”
เอ่ยเพียงเท่านั้น หลี่ซิวหยวนก็เก็บกระบี่ยาวที่ลอยอยู่ตรงหน้า เข้าไปในแหวนเก็บสมบัติ ก่อนจะหมุนตัวจากไป
ผ่านไปประมาณหนึ่งก้านธูป
ชายหญิงทั้งเก้าคนก็ได้มารวมตัวกัน ภายในโถงโบราณหลัง หนึ่ง โดยมีหลี่ซิวหยวนเป็ นผู้นา
พวกเขาแต่ละคนล้วนมีรูปร่างหน้าตาหล่อเหลาและงดงาม บุคลิกท่าทางโดดเด่น
“ศิษย์น้องทุกคน ที่ข้าบอกไปพวกเจ้าจาได้ขึ้นใจแล้วใช่หรือไม่ ? ”
หลังจากถ่ายทอดคาสั่งของนักพรตชิงอวิ๋นครบแล้ว
หลี่ซิวหยวนก็กวาดตามองทั้งแปดคน ที่มีท่าทางประหลาดใจ พร ้อมเอ่ยถามขึ้น
สิ้นเสียงสตรีชุดแดงที่นั่งฝั่งตรงข้ามกับหลี่ซิวหยวน ก็กลอกตา ใส่หลี่ซิวหยวนทันทีอย่างมิเกรงใจ
“มิรู ้ว่าตาเฒ่าชิงอวิ๋นคิดอะไรอยู่กันแน่”
สตรีชุดแดงผู้มีใบหน้าสวยหยาดเยิ้ม แต่มีรูปร่างอวบอั๋นแค่น เสียงเย็นออกมา “สิบปีมานี้สานักชิงหยางนอกจากจะมิมีศิษย์ใหม่เข้า มาแล้ว เวลานี้คนของนิกายกระบี่สวรรค์ยังยื่นขอเรียกร ้องที่ยากเย็น เช่นนี้อีก เห็นชัดว่าต้องการให้สานักชิงหยางถูกยุบ”
เอ่ยถึงตรงนี้สตรีชุดแดงก็กวาดตามองคนอื่น ๆ ก่อนจะเอ่ยเสียง เรียบว่า “เช่นนั้นข้าว่าพวกเรามิต้องแสร ้งทาเป็ นยอดฝี มือผู้สูงส่ง อะไรนั่นหรอก ให้ตาเฒ่ายุบสานักไปซะเถอะ”
“ศิษย์น้องเหวินเซี่ย เหตุใดถึงพูดอะไรที่มิเป็ นมงคลเช่นนั้นเล่า”
หลี่ซิวหยวนมุมปากกระตุกเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยว่า “สานักชิงห ยางของเราแม้จะเป็ นส านักระดับเก้า แต่ก็มีประวัติความเป็ นมานับพัน ปี ทั้งยังเคยเป็ นสานักระดับสามมาก่อน หากถูกยุบในมือของอาจารย์ เจ้าจะให้อาจารย์มองหน้าเหล่าอดีตเจ้าส านักเช่นไร”
“ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยตบะบารมีและคุณสมบัติของพวกเราในตอนนี้ หากส านักชิงหยางถูกยุบจริง ๆ แล้วพวกเราจะท าเช่นไร ? ”
ได้ยินเช่นนั้น
“ช่างเถอะ ข้าขี้เกียจจะเถียงกับเจ้าแล้ว”
ชวี่เหวินเซี่ยศิษย์รองของสานักชิงหยางโบกมือไปมา พร ้อมกับ ลุกขึ้นยืนในทันที “รอตาเฒ่าชิงอวิ๋นกลับมาแล้ว ก็บอกเขาไปว่าข้า เข้าฌานอยู่ก็แล้วกัน”
เอ่ยจบชวี่เหวินเซี่ยก็หมุนตัวจากไป
ตอนนั้นเองคนที่เหลือต่างก็ทยอยลุกขึ้น และอ้างว่าต้องเข้าฌาน จึงมาพบศิษย์ที่มาใหม่ผู้นั้นมิได้
ทันใดนั้นภายในโถงอันกว้างใหญ่ ก็เหลือเพียงพวกหลี่ซิวหยวน และศิษย์น้องอีกมิกี่คนเท่านั้น
หลังจากนิ่งเงียบอยู่สักพัก ลู่ซานหยางศิษย์คนที่สี่ก็เอ่ยให้ กาลังใจหลี่ซิวหยวน ที่ทาหน้านิ่วคิ้วขมวดว่า “ศิษย์พี่ใหญ่ ท่าน อย่าได้ท้อใจไปเลย ข้าจะให้ความร่วมมือแสดงละครในครานี้กับท่าน อย่างเต็มที่แน่นอน”
ทันทีที่สิ้นเสียง
“ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านวางใจเถอะ สิ่งที่อาจารย์และท่านไตร่ตรอง มาแล้ว ข้าล้วนเข้าใจดี”
ฉีชางหยวนศิษย์คนที่ห้าก็ได้เอ่ยขึ้นเช่นกันว่า “แค่ให้พวกเรา แสดงละครต่อหน้าศิษย์น้องเล็กผู้นี้เท่านั้นมิใช่หรือ ? ”
“ข้าฉีชางหยวนแม้คุณสมบัติจะมิโดดเด่นมากนัก แต่การแสดง ละครเป็ นยอดฝีมือ ส าหรับข้า มิมีปัญหาอยู่แล้ว”
ตอนนั้นเอง สาวน้อยนางหนึ่งที่นั่งอยู่ด้านหลังสุดก็กะพริบตา ปริบ ๆ ก่อนจะเอ่ยถามอย่างเพ้อฝันว่า
“ศิษย์พี่ใหญ่ อาจารย์ได้บอกหรือไม่ว่าศิษย์น้องเล็กผู้นี้มีหน้าตา เช่นไร ? ”
ได้ยินเช่นนั้นฉีชางหยวนก็เหลือบมองหลี่ซิวหยวน ก่อนจะรีบ เอ่ยค้านขึ้นทันทีว่า “ศิษย์น้องจื่อเหยา ถ้าพูดถึงเรื่องหน้าตาและ บุคลิกท่าทางแล้ว เจ้าคิดว่ายังมีคนเหนือกว่าศิษย์พี่ใหญ่อีกเยี่ยงนั้น หรือ ? ”
ลู่ซานหยางเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ศิษย์น้องฉี เจ้าอย่าพูดไป ช่วงนี้ ข้าเพิ่งจะพบปัญหาอย่างหนึ่ง”
ฉีชางหยวนเอ่ยถามด้วยความอย่างสงสัย “ปัญหาอะไรงั้นหรือ ? ”
ลู่ซานหยางจึงตอบกลับด้วยน้าเสียงอันอบอุ่นว่า “คนที่หน้าตาดี ส่วนใหญ่ล้วนมีคุณสมบัติด้อย เช่นนั้นศิษย์น้องเล็กผู้นี้คงจะต้องมี หน้าตาธรรมดาเป็ นแน่ เพราะเขาคือคนที่อาจารย์จะส่งไปเข้าร่วม
การทดสอบของนิกายกระบี่สวรรค์ นั่นแสดงว่าคุณสมบัติของเขา ย่อมมิธรรมดา”
หลี่ฉีเย่ “……”