เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน - ตอนที่ 348 อาจารย์ ขออภัยด้วย
ตอนที่ 348 อาจารย์ ขออภัยด้วย
หน้าตาดีกว่าศิษย์พี่ใหญ่หลายเท่า !
ได้ยินเช่นนั้น ชวี่เหวินเซี่ยก็ถึงกับชะงักงัน ก่อนจะหัวเราะออกมาอย่างกลั้นมิอยู่
“หล่อเหลากว่าหลี่ซิวหยวน แต่คุณสมบัติกลับด้อยกว่าหลี่ซิวหยวนอีกใช่หรือไม่ ? ”
นางกระดกสุราอึกใหญ่อีกครั้ง ก่อนจะลุกขึ้นนั่งและถามขึ้นอย่างสนใจ
จื่อเหยามีท่าทางสลดลงเล็กน้อย ก่อนจะส่ายหน้าออกมาอย่างลังเล
ความจริงแล้วนางก็พูดได้มิเต็มปากว่าด้อยกว่าจริงหรือไม่
เพราะศิษย์น้องเล็กที่มาใหม่ผู้นี้ ยังเป็นหน้าใหม่ในการฝึกเซียน
อีกทั้งที่ผ่านมาเวลาท่านอาจารย์รับศิษย์ใหม่ ก็มักจะสนใจแค่เพียงรูปลักษณ์ภายนอก มิเคยทดสอบคุณสมบัติของอีกฝ่ายว่าเป็นเช่นไร
ฉะนั้นคุณสมบัติแท้จริงเป็นเช่นไร คงต้องรอดูตอนที่บำเพ็ญเพียรในวันข้างหน้า จึงจะรู้ได้
แต่สิ่งหนึ่งนางรับรู้ได้อย่างชัดเจนตอนที่อยู่ในหอเก็บตำรา
นั่นก็คือศิษย์น้องเล็กผู้นี้ช่างดูไร้เดียงสามากจริง ๆ
เขามิได้รู้สึกสงสัยใด ๆ เกี่ยวกับเคล็ดวิชาจอมปลอมเหล่านั้น ที่วางอยู่ในหอเก็บตำราเลย แม้แต่น้อย เขาทำท่าทางราวกับว่าตัวเองนั้นกำลังอยู่ในสำนักเซียนลึกลับก็มิปาน
เช่นนั้นนางจึงอดมิได้ที่จะรู้สึกสงสัยในตัวศิษย์น้องเล็กผู้นี้
ตอนนั้นเอง
“จริงสิ ข้าเกือบลืมไป”
“คนประหลาดอย่างตาเฒ่าชิงอวิ๋น ที่ผ่านมาเวลารับศิษย์มักสนใจเพียงรูปลักษณ์ภายนอกเท่านั้น มิใช่คุณสมบัติของอีกฝ่าย”
ชวี่เหวินเซี่ยเหมือนกับนึกบางอย่างขึ้นมาได้ พลางตบหน้าผากของตัวเองเบา ๆ “แต่ดูจากรูปลักษณ์ภายนอกของพวกเราแล้ว ภายนอกยิ่งดูดีมากเท่าไร คุณสมบัติในการฝึกเซียนก็ยิ่งด้ อยมากเท่านั้น”
เอ่ยเพียงถึงตรงนี้ ชวี่เหวินเซี่ยเหมือนจะสังเกตเห็นความผิดปกติบางอย่างของจื่อเหยาโดยบังเอิญ ก่อนจะเอ่ยถามขึ้นว่า “จื่อเหยา เจ้าคงมิได้คิดอะไรกับศิษย์ที่มาใหม่ใช่หรือไม่ ? ”
ได้ยินเช่นนั้น
“ศิษย์พี่… ข้ารู้สึกละลายแล้ว”
จื่อเหยาตอบรับอย่างอ้อมแอ้มไปคำหนึ่ง จากนั้นก็เอ่ยถามสิ่งที่ค้างคาใจออกมาว่า “ศิษย์พี่ ท่านยังมิได้อธิบายให้ข้าฟังเลยว่า ละลายแล้ว หมายความว่าเยี่ยงไรกันแน่ ? ”
‘ละลายแล้ว ? ’
ดวงตาเรียวยาวของชวี่เหวินเซี่ยกะพริบปริบ ๆ ก่อนจะเอามือกุมท้องและหัวเราะออกมาเสียงดัง
จื่อเหยา “……”
อีกด้านหนึ่ง
หลังจากแยกกับจื่อเหยาแล้ว
เย่ฉางชิงก็กลับไปยังที่พักของตัวเองด้วยความรีบร้อน
หลังกลับถึงห้องพัก
เขาก็รีบนำภาพเทพปีศาจโบราณมาแขวนไว้ตรงหน้าของตัวเองทันทีโดยมิลังเล จากนั้นก็นั่งขัดสมาธิลงกับพื้น และเริ่มพิจารณาใคร่ครวญภาพเทพปีศาจโบราณอีกครั้ง
โดยเขาคิดว่าตอนนี้ตัวเองได้เข้ามาเป็นสมาชิกคนหนึ่ง ของสำนักเซียนลึกลับอย่างสำนักชิงหยางแล้ว ความสำเร็จบนวิถีเซียนในภายภาคหน้า จึงมิอาจประเมินได้อย่างแน่นอน
เช่นนั้นจึงมิจำเป็นที่จะต้องรีบร้อนในตอนนี้
แต่ผู้ที่มีชีวิตอยู่มาสามโลก และเป็นคนขี้แพ้มาแล้วถึงสองครั้งเช่นเขา
ต้องการที่จะรู้จริง ๆ ว่าในโลกนี้ คุณสมบัติของเขานั้นจะเป็นเช่นไร !
จะสามารถได้รับวาสนาเช่นไร จากภาพเทพปีศาจโบราณภาพนี้บ้าง !
แม้ศิษย์พี่เก้าผู้นั้นจะได้มอบเคล็ดวิชาชิงหยางเล่มหนึ่งให้แก่เขา อีกทั้งยังได้กำชับว่าการบำเพ็ญเพียรจะต้องค่อย ๆ ฝึกฝนอย่างเป็นขั้นเป็นตอน
แต่เขาคิดว่าตนเองจะสามารถทำความเข้าใจภาพเทพปีศาจโบราณภาพนี้ได้ ต่อให้ได้รับสุดยอดเคล็ดวิชาอะไรจากภาพนี้มา เขาก็ยังสามารถใช้เคล็ดวิชาชิงหยางในการเริ่มบำเพ็ญเพียรก่อน นได้ จากนั้นค่อยใช้เคล็ดวิชาอื่นในการบำเพ็ญเพียรต่อทีหลัง
แต่เวลานี้เขาแค่รู้สึกอดทนรอมิไหวแล้วที่จะพิสูจน์ตัวเองเสียก่อน
จนเวลาผ่านไปประมาณหนึ่งก้านธูป
ระหว่างที่เย่ฉางชิงค่อย ๆ ตกอยู่ในภวังค์ของการพิจารณาอะไรบางอย่างนั้น
ยอดเขาอวิ๋นชาง บนจัตุรัสแห่งหนึ่ง
นักพรตชิงอวิ๋นยืนเอามือไพล่หลังด้วยท่าทางหดหู่ ขณะที่สายตาจับจ้องไปยังขอบฟ้าที่ถูกแสงตะวันอาบไล้กลายเป็นสีแดงฉาน
“ท่านบรรพจารย์ หลายปีมานี้เจ้าสำนักทุกรุ่นของสำนักชิงหยาง ได้ทำตามที่ท่านกล่าวเอาไว้มาโดยตลอด การรับศิษย์ที่ผ่านมามิมีการถามหาคุณสมบัติ เพียงแค่ดูจากรูปลักษณ์ภายนอกและล ลักษณะท่าทางเท่านั้น”
“บัดนี้สำนักชิงหยางกำลังตกที่นั่งลำบาก และข้าก็บังเอิญได้พบกับเย่ฉางชิง จึงได้พาเขากลับมายังสำนักชิงหยางด้วย อีกทั้งมิว่าจะรูปลักษณ์หรือว่าลักษณะท่าทางของเย่ฉางชิง ล้วน นยากที่จะมีผู้ใดมาเทียบเคียงได้”
นักพรตชิงอวิ๋นเอ่ยพลางหยิบตำราเล่มหนึ่ง ออกมาจากอกเสื้ออย่างช้า ๆ
เขาค่อย ๆ เปิดตำราเล่มนั้นออก โดยด้านบนเขียนเอาไว้ว่า
ข้าบำเพ็ญเพียรมาห้าร้อยปี ในที่สุดก็สามารถก้าวเข้าสู่แดนก่อกำเนิดได้สำเร็จ ทว่ากลับยากที่จะก้าวต่อไปได้อีกแม้เพียงครึ่งก้าว
นับตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ข้าพบว่าผู้ที่มีหน้าตาและลักษณะท่าทางดี ความสำเร็จในวิถีเซียนมักมิอาจประเมินได้
ศิษย์ของสำนักชิงหยางจงจำเอาไว้ นับแต่นี้ต่อไปการรับศิษย์ของสำนักชิงหยางของเราจะมิดูที่คุณสมบัติ แต่จะดูที่รูปลักษณ์ภายนอกและลักษณะท่าทางเท่านั้น
นักพรตชิงอวิ๋นกวาดตามองมองเนื้อหาที่อยู่ในตำรา จากนั้นก็ได้เพ่งสมาธิ
วินาทีต่อมา ตำราที่สืบทอดต่อกันมาหลายพันปี ก็กลายเป็นผุยผงภายในพริบตา
จนเวลาผ่านไปประมาณหนึ่งก้านธูป
เมื่อราตรีคืบคลานเข้ามาอย่างช้า ๆ
ระหว่างที่นักพรตชิงอวิ๋นถอนสายตากลับมา พลางถอนหายใจออกมาเบา ๆ และเตรียมจะจากไปนั้น
จู่ ๆ ปราณวิญญาณฟ้าดินที่ปกคลุมบริเวณเขาอวิ๋นชาง พลันปะทุขึ้นมาอย่างมิทราบสาเหตุ
‘อ๊ะ ! ’
นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ! ’
นักพรตชิงอวิ๋นมีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที พร้อมกับมองไปรอบ ๆ
มิกี่อึดใจต่อมา
นักพรตชิงอวิ๋นเหมือนสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง จึงเงยหน้าขึ้น
ก็ได้พบกับภาพอันตระการตาภาพหนึ่ง !
เมื่อดวงดารามากมายบนท้องนภาลอยต่ำลงมา แสงอันเจิดจรัสแทบจะส่องให้โลกที่เพิ่งถูกราตรีอันมืดมิดดูดกลืน กลับมาสว่างอีกครั้งราวกับเวลากลางวันก็มิปาน
มินานก็มีเสียงลึกลับเสียงหนึ่งดังขึ้นกลางอากาศ ราวกับเสียงแห่งสามพันมหามรรคาก็มิปาน ทำให้เขาอดมิได้ที่จะใจสั่นสะท้านขึ้นมา
จากนั้นบนท้องนภาที่มิไกลเท่าไรนัก ก็ได้มีภาพมายาของเทพร่างหนึ่งค่อย ๆ ปรากฏขึ้น
เขาหันหลังให้แก่สรรพสิ่ง และถูกปกคลุมเอาไว้ด้วยสัญลักษณ์โบราณที่ซับซ้อนมากมาย ขณะเดียวกันรอบกายก็แผ่พลังที่เบาบางออกมาด้วย
และขณะที่เขานั่งลงนั้น รูปหยินหยางขนาดใหญ่รูปหนึ่งก็ปรากฏขึ้น
ภาพเช่นนี้ช่างทำให้รู้สึกตื่นตระหนก และใจสั่นสะท้านยิ่งนัก !
ทว่าเมื่อนักพรตชิงอวิ๋นได้เห็นภาพที่ตระการตาภาพนี้ เขากลับรู้สึกคุ้นเคยกับภาพดังกล่าว อย่างมิทราบสาเหตุ
หรือข้าจะเคยเห็นที่ไหนมาก่อน ? ’
‘มิน่าใช่ ! ’
‘ปรากฏการณ์ที่น่าอัศจรรย์เช่นนี้ ข้าจะลืมได้เยี่ยงไร ! ’
ระหว่างที่นักพรตชิงอวิ๋นกำลังเกาหัวด้วยความงุนงง และครุ่นคิดอยู่นั้น
หลี่ซิวหยวนที่กำลังฝึกกระบี่อยู่ที่หน้าประตูสำนักชิงหยาง ก็สังเกตเห็นการปะทุขึ้นของปราณวิญญาณฟ้าดิน รวมทั้งนิมิตอันน่ากลัวที่บนท้องฟ้าด้วยเช่นกัน
ทว่าเมื่อเขาได้เห็นภาพอันคุ้นเคยนี้ ร่างทั้งร่างพลันแข็งค้างราวกับหินก็มิปาน
‘ดวงดารานับล้านลอยต่ำลง ! ’
‘ร่างมายาที่นั่งสมาธิอยู่กลางอากาศ ! ’
‘ภาพหยินหยางขนาดใหญ่ ! ’
‘นี่มันเหมือนกับภาพวาดเทพปีศาจโบราณเลยนี่นา ! ’
‘แต่การที่ภาพเทพปีศาจโบราณปรากฏขึ้นในนิมิตเช่นนี้’
‘ก็หมายความว่ามีคนรู้แจ้งภาพเทพปีศาจโบราณได้สำเร็จแล้วงั้นหรือ’
คิดถึงตรงนี้น้ำตาแห่งความน้อยใจของหลี่ซิวหยวนก็ไหลออกมาเงียบ ๆ ในชั่วพริบตาเขาก็ร้องห่มร้องไห้ออกมาราวกับเด็ก
เพราะตอนที่ลงจากเขาไป เขาได้ใช้เงินทั้งหมดที่มีซื้อภาพเทพปีศาจโบราณภาพนี้มา โดยมิรู้สึกเสียดายเลยแม้แต่น้อย
ทว่าสุดท้ายเมื่อเขานำภาพเทพปีศาจโบราณไปให้นักพรตชิงอวิ๋น สิ่งที่ได้รับกลับมาหาใช่คำชมเชยไม่ แต่กลับถูกต่อว่าและถูกลงโทษอย่างหนักแทน
เช่นนั้นภาพเทพปีศาจโบราณภาพนี้ จึงกลายเป็นบาดแผลในใจของเขามาโดยตลอด
แต่ใครจะไปคิดว่า
จะมีสุดยอดอัจฉริยะสามารถรู้แจ้งภาพเทพปีศาจโบราณได้สำเร็จ
“ฮ่าฮ่า…”
หลังจากร้องไห้ฟูมฟายจนสาแก่ใจแล้ว ดวงตาของหลี่ซิวหยวนพลันแปรเปลี่ยนเป็นวาววับขึ้นมาทันที
“อาจารย์ ศิษย์ต้องขออภัยด้วย”
หลี่ซิวหยวนบีบที่กำปั้นของตนเอง ดวงตาหรี่ลงพร้อมกับเอ่ยว่า “ตอนนั้นท่านเคยบอกว่า ขอเพียงมีคนสามารถรู้แจ้งภาพเทพปีศาจโบราณ ศิษย์ก็จะสามารถเอาคืนท่านได้”
ขณะเดียวกันชวี่เหวินเซี่ยและจื่อเหยาที่กำลังหยอกล้อกันอยู่ ก็เห็นนิมิตที่ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า
ทั้งคู่ต่างก็อ้าปากค้างไปตาม ๆ กัน สีหน้าเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก
‘นิมิตเช่นนี้ ! ’
‘ศิษย์น้องเล็กที่มาใหม่ผู้นั้น สามารถรู้แจ้งภาพเทพปีศาจโบราณได้สำเร็จเยี่ยงนั้นหรือ’
‘นี่มัน ! ’
‘นี่มัน ! ’
‘นี่มัน ! ’
‘ภาพเทพปีศาจโบราณภาพนี้ มีคนสามารถรู้แจ้งได้จริง ๆ ? ’
‘หรือว่า’
‘คุณสมบัติของการเป็นเซียนของศิษย์น้องเล็กผู้นี้ ถึงขนาดพลิกฟ้าได้เลยหรือ ? ’