เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน - ตอนที่ 366 ศิษย์พี่ ข้าสานึกผิดแล้วจริง ๆ
“ศิษย์น้องฉี เจ้าจะพูดเหลวไหลเยี่ยงนี้มิได้นะ เรื่องนี้เกี่ยวพันถึง ชื่อเสียงของศิษย์น้องเย่และศิษย์พี่ชวี่ พวกเขาทั้งสองคนมีฐานะเช่น ไรในสานักชิงหยาง คิดว่าเจ้าคงจะรู ้ดีที่สุดกระมัง ? ”
“หากเกิดปัญหาอะไรขึ้นมา หรือเป็ นแค่เรื่องเข้าใจผิดไป ผลลัพธ ์จะเป็ นเช่นไร เจ้าได้ลองทบทวนดูหรือยัง ? ”
“ศิษย์พี่ลู่ เรื่องทั้งหมดนี้ข้าเห็นมากับตาตนเองจริง ๆ จะยังเป็ น เรื่องเข้าใจผิดได้อีกเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“อีกอย่างหากเป็ นเช่นนั้นจริง ข้าจะกล้านามาบอกท่าน และจะ มาเชิญท่านไปปรึกษาเรื่องนี้กับศิษย์พี่ใหญ่อีกเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“ขอให้เป็ นอย่างที่เจ้าพูดมาจริง ๆ ก็แล้วกัน เพราะหากเป็ นเรื่อง เข้าใจผิดล่ะก็ ข้ามิอยากจะจินตนาการถึงสภาพของเจ้าเลย”
“ศิษย์พี่ลู่ ท่านวางใจได้ หากมิใช่เพราะอาจารย์ออกไปข้างนอก ข้าก็คงมิบอกท่านกับศิษย์พี่ใหญ่หรอกขอรับ”
“หืม ? ”
“ศิษย์พี่ลู่มีอะไรหรือขอรับ ? ”
“ศิษย์น้องฉี เจ้ารู ้สึกหรือไม่ว่าเหมือนมีใครก าลังตามเรามา ? ”
“ศิษย์พี่ลู่ ข้ามิได้อยากจะว่าท่านหรอกนะ บางคราท่านก็ อ่อนไหวเกินไป ส านักระดับเก้าอย่างส านักชิงหยางของเรา จะมี ขโมยที่ไหนมาปรากฏตัวเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“……”
“……”
จากนั้นลู่ซานหยางและฉีชางหยวนก็ได้คุยไปตลอดทาง ระหว่าง เดินไปยังที่พักของหลี่ซิวหยวน
เวลาผ่านไปหนึ่งก้านธูป
ลู่ซานหยางและฉีชางหยวนก็มาถึงยังที่พักของหลี่ซิวหยวน
ที่ตั้งของที่แห่งนี้ค่อนข้างสูงชัน เพียงมองออกไปก็สามารถเห็น ทุกสิ่งอย่างภายในสานักชิงหยางได้แล้ว
“ศิษย์พี่ใหญ่ ข้า ฉีชางหยวน ขอรับ”
ฉีชางหยวนเคาะประตู และเอ่ยขึ้นอย่างมีมารยาท
“ข้ากาลังบาเพ็ญเพียรอยู่ หากมิใช่เรื่องสาคัญ รอข้าบาเพ็ญ เพียรเสร็จแล้ว เราค่อยคุยกันเถอะ”
ด้านในมีน้าเสียงที่มิพอใจของหลี่ซิวหยวนดังออกมา
“ศิษย์พี่ใหญ่ ข้ามาพบท่านย่อมต้องมีเรื่องสาคัญต้องการจะ ปรึกษาอยู่แล้วขอรับ”
ฉีชางหยวนหันไปสบตากับลู่ซานหยางที่อยู่ข้าง ๆ เล็กน้อย พลางเอ่ยต่ออีกว่า “อีกทั้งเรื่องนี้ยังสาคัญยิ่ง ข้าจึงได้พาศิษย์พี่ลู่มา ด้วยขอรับ”
ผ่านไปครู่หนึ่ง ประตูก็แง้มออก
“พูดมาสิ เรื่องอะไรกันที่ทาให้พวกเจ้าทั้งสองมาพร ้อมกันได้”
หลี่ซิวหยวนกวาดตามองทั้งสองคน พร ้อมกับเอ่ยออกมาด้วย ใบหน้าเรียบตึง
“ศิษย์พี่ใหญ่ หากสิ่งที่ศิษย์น้องฉีพูดมาเป็ นความจริงแล้วล่ะก็ เรื่องนี้ถือเป็ นเรื่องใหญ่จริง ๆ นะขอรับ ! ”
ลู่ซานหยางใคร่ครวญอยู่สักพัก ก่อนจะเอ่ยเสริมขึ้น
หลี่ซิวหยวนและลู่ซานหยางสบตากันเล็กน้อย รู ้สึกราวกับว่า กาลังจะมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นจริง ๆ
“ถ้าเช่นนั้นพวกเจ้าทั้งสองก็เข้ามาคุยข้างในเถอะ”
หลี่ซิวหยวนเม้มริมฝีปากเล็กน้อย ก่อนจะหมุนตัวเดินเข้าไปด้าน ใน
ลู่ซานหยางและฉีชางหยวน จึงรีบตามเข้าไปทันที
“เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ พวกเจ้าสองคนพูดออกมาตามตรง เถอะ”
หลี่ซิวหยวนนั่งลงตรงหน้าโต๊ะหินตัวหนึ่ง ก่อนจะจิบชาอันเย็น ชืด พลางเอ่ยออกมา
“ศิษย์พี่ลู่…”
ฉีชางหยวนอดมิได้ที่จะสบตากับลู่ซานหยางเล็กน้อย
ลู่ซานหยางจึงพยักหน้าให้ และเอ่ยว่า “ศิษย์น้องฉี เรื่องมาถึงขั้น นี้แล้ว มิจาเป็ นจะต้องปิดบังศิษย์พี่ใหญ่อีกแล้ว”
“ศิษย์พี่ใหญ่ เรื่องเป็ นเช่นนี้ขอรับ”
ฉีชางหยวนลังเลอยู่สักพัก จากนั้นก็ได้เล่าถึงสาเหตุที่เขาไปพบ ศิษย์น้องเย่ที่เขาด้านหลัง รวมทั้งสิ่งที่ได้เห็นและสิ่งที่เขาคาดคิด ออกมาจนหมด
จนเวลาผ่านไปอีกหนึ่งก้านธูป
เมื่อได้ยินว่าศิษย์น้องเย่และชวี่เหวินเซี่ยจะมีลูกด้วยกัน
ทันใดนั้นสีหน้าของหลี่ซิวหยวนพลันเปลี่ยนไป พร ้อมกับลุกขึ้น ยืนทันที
“ศิษย์น้องฉี เรื่องบางเรื่องเจ้าจะพูดเหลวไหลมิได้เด็ดขาด”
หลี่ซิวหยวนเอ่ยขึ้น พร ้อมสีหน้าตื่นตระหนก “ศิษย์น้องชวี่มีนิสัย เช่นไร พวกเราต่างก็รู ้ดีอยู่แก่ใจ อีกทั้งที่มาของนาง ยังมิใช่สิ่งที่พวก เราจะสามารถคาดเดาได้อีกด้วย”
“หากเจ้ามิได้เห็นกับตาตัวเอง เรื่องนี้ห้ามพูดออกไปอย่าง เด็ดขาด มิเช่นนั้นหากศิษย์น้องชวี่ได้ยินเข้า ต่อให้อาจารย์จะอยู่ ส านักชิงหยาง เกรงว่าก็มิอาจจะช่วยเจ้าได้ ! ”
ฉีชางหยวนกลืนน้าลายลงคอ ก่อนจะเอ่ยอย่างจริงจังว่า “ศิษย์พี่ ใหญ่ เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงหน้าตาของส านักชิงหยางของเรา หากมิใช่ ข้าเห็นมากับตาตัวเองล่ะก็ ข้าจะกล้าปั้นน้าเป็ นตัวได้เยี่ยงไร ? ”
ลู่ซานหยางเอ่ยด้วยท่าทางเคร่งขรึมว่า “ศิษย์พี่ใหญ่ เยี่ยงไรเสีย เรื่องนี้ก็เกี่ยวข้องกับศิษย์น้องเย่และศิษย์พี่ชวี่ เช่นนั้นข้าเชื่อว่าศิษย์ น้องฉีคงมิได้พูดจาเหลวไหลหรอกขอรับ”
ได้ยินเช่นนั้น หลี่ซิวหยวนก็พยักหน้ารับรู ้
ชวี่เหวินเซี่ยมีนิสัยเช่นไรนั้น
ทั่วทั้งสานักชิงหยาง ใครบ้างจะมิรู ้?
เพราะนางถือเป็ นราชินีของส านักชิงหยางก็ว่าได้ แม้แต่อาจารย์ ก็ยังมิสามารถท าอะไรนางได้
เช่นนั้นศิษย์ของสานักชิงหยางทุกคนต่างก็รู ้กันดี
พวกเขายอมล่วงเกินอาจารย์ ดีกว่าจะต้องล่วงเกินชวี่เหวินเซี่ยผู้ เป็ นราชินีนางนี้ !
ทว่าวันนี้ฉีชางหยวนกลับกล้าสงสัยในตัวของชวี่เหวินเซี่ย
ยิ่งไปกว่านั้นยังสงสัยว่าชวี่เหวินเซี่ยและศิษย์น้องเย่ผู้เก่งกาจราว กับภูตผี กาลังแอบมีความสัมพันธ ์ลึกซึ้งต่อกัน !
‘ศิษย์น้องฉี ! ’
‘ขออภัยด้วย ! ’
‘ข้ายังอยากมีชีวิตอยู่ต่อ อีกทั้งตอนนี้รากวิญญาณของข้าก็ได้ เกิดการพัฒนาขึ้นแล้ว เช่นนั้นข้าจึงอยากจะประสบความส าเร็จใน วิถีกระบี่อยู่’
คิดได้เช่นนั้น
“ศิษย์น้องทั้งสอง เรื่องนี้ถือเป็ นเรื่องใหญ่มากจริง ๆ ”
หลี่ซิวหยวนเอ่ยกับฉีชางหยวนและลู่ซานหยาง “แต่มิว่าจะเป็ น ศิษย์น้องชวี่หรือว่าศิษย์น้องเย่ ก็ล้วนอยู่นอกเหนืออานาจของข้า ทั้งสิ้น”
“เช่นนั้นข้ามองว่าเรื่องนี้อย่าเพิ่งให้คนอื่นรู ้จะดีกว่า รออาจารย์ กลับมาแล้ว ค่อยให้อาจารย์เป็ นคนตัดสินเองจะดีกว่า”
สิ้นเสียง ลู่ซานหยางก็เหมือนจะนึกขึ้นได้ พลันก็มีสีหน้าเสียอก เสียใจขึ้นมาทันที
‘จริงด้วย ! ’
‘เหตุใดข้าต้องมารับรู ้เรื่องนี้ด้วย ! ’
‘เหตุใดต้องวิ่งมาเพราะเรื่องสกปรกเช่นนี้ด้วย ! ’
‘มิว่าจะเป็ นชวี่เหวินเซี่ย หรือว่าศิษย์น้องเย่ผู้มาใหม่ผู้นั้น ล้วน มิใช่คนที่ข้า ลู่ซานหยาง จะล่วงเกินได้ทั้งสิ้น ! ’
ตอนนั้นเอง ร่างระหงร่างหนึ่งที่ปกคลุมไปด้วยไอสังหารอันน่า สะพรึงกลัวก็เหาะเข้ามา
เมื่อเห็นไอสังหารอันพลุ่งพล่านเช่นนี้
หลี่ซิวหยวนจึงอดมิได้ที่จะกลืนน้าลายลงคอ
ก่อนจะรีบนั่งสมาธิลงกับพื้น นากระบี่หิมะเล่มนั้นวางไว้ด้านหน้า และเริ่มบาเพ็ญเพียรวิถีกระบี่ของตนในทันที
ขณะเดียวกันลู่ซานหยางที่ตกใจจนถึงขั้นมือไม้อ่อน ก็เหลือบไป เห็นหลี่ซิวหยวนที่จู่ ๆ ก็เริ่มบาเพ็ญเพียรวิถีกระบี่ขึ้นมา
หลังจากครุ่นคิดอยู่สักพัก เขาก็เหมือนคิดบางอย่างขึ้นมาได้ อย่างกะทันหัน ดวงตาพลันเป็ นประกายขึ้นมา ก่อนจะรีบไปตรงหน้า ของหลี่ซิวหยวนในทันที
ส่วนฉีชางหยวนนั้น
เมื่อเห็นชวี่เหวินเซี่ยเหาะเข้ามาด้วยท่าทางอาฆาตแค้น
เขาก็มีสีหน้าซีดเผือดลงทันที ร่างทั้งร่างแข็งค้างราวกับหิน รู ้สึก ถึงไอพลังอันเย็นเยียบที่แผ่ไปทั่ว
‘มิใช่หรอกกระมัง!’
‘ศิษย์พี่ชวี่มาที่นี่เวลานี้ หรือว่านางจะรู ้อะไรมา ? ’
‘เป็ นไปมิได้ ! ’
‘เป็ นไปมิได้เด็ดขาด ! ’
“ฉีชางหยวน ก่อนหน้านี้ข้าประเมินเจ้าต่าไปจริง ๆ ”
ชวี่เหวินเซี่ยคารามออกมา ก่อนจะโรยตัวลงมายืนอยู่ตรงหน้า ของฉีชางหยวน
ฉีชางหยวนฝืนฉีกยิ้มอันฝืดเฝื่อนออกมา พลางเอ่ยถามหยั่งเชิง ว่า
“ศิษย์พี่ชวี่ ข้ามิรู ้ว่าข้าทาอะไรผิดไป ขอศิษย์พี่ชวี่ได้โปรดบอก ให้ข้ารู ้ด้วยขอรับ”
ชวี่เหวินเซี่ยหัวเราะออกมาด้วยความโมโหสุดขีด จ้องฉีชาง หยวนด้วยสายตาอันเย็นเยียบ พลางมองไปยังหลี่ซิวหยวนและลู่ ซานหยาง ที่นั่งหันหลังให้นางอยู่มิไกลนัก
“เรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างข้ากับศิษย์น้องเย่ผู้นั้น คิดว่าพวกเจ้าสอง คนคงได้ยินแล้วกระมัง ? ”
สิ้นเสียง คิ้วที่ขมวดแน่นของลู่ซานหยางก็ค่อย ๆ คลายปมออก พลางหันมาแสร ้งถามอย่างสงสัยว่า “ศิษย์พี่ชวี่ ศิษย์น้องฉี พวกเจ้า มาตั้งแต่เมื่อไรงั้นหรือ ? ”
ฉีชางหยวน “……”
‘เจ้าตัวแสบ ! ’
‘นี่มันหมายความว่าเยี่ยงไร ? ’
‘อะไรคือมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ! ’
‘เจ้ากับข้ามิได้มาด้วยกันหรือเยี่ยงไร ? ’
‘ลู่ซานหยางทาเช่นนี้ เจ้าหมายความว่าเยี่ยงไรห๊ะ ! ’
‘ใช่แล้ว ! ’
‘เจ้ามิอยากเกี่ยวข้องกับข้าสินะ ! ’
‘ลู่ซานหยาง คิดมิถึงว่าเจ้าจะต่าช ้าไร ้ยางอายเช่นนี้ ! ’
ตอนนั้นเองลู่ซานหยางก็ได้เอ่ยเสริมขึ้น ด้วยใบหน้ามิรู ้ อีโหน่อีเหน่อีกว่า “ศิษย์พี่ชวี่ ท่านคงยังมิรู ้ว่าตอนนี้ ข้าเพิ่งเข้าใจใน ปัญหาหนึ่งขึ้นมา”
“บางทีข้าอาจจะมิมีพรสวรรค์ในด้านค่ายกลจริง ๆ เช่นนั้นข้าจึง ตัดสินใจเปลี่ยนมาบาเพ็ญเพียรวิถีกระบี่แล้วขอรับ”
ได้ยินเช่นนั้น หลี่ซิวหยวนก็รีบหยุดการบาเพ็ญเพียรเอาไว้ทันที พร ้อมกับหันไปเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “อ้อ ที่แท้เป็ นศิษย์น้องชวี่และศิษย์ น้องฉีนี่เอง”
“เมื่อครู่ข้าจมอยู่กับการบาเพ็ญเพียร มิทันรู ้ตัวว่าพวกเจ้าทั้งสอง คนมาหา”
เอ่ยถึงตรงนี้ หลี่ซิวหยวนก็หันไปสบตากับลู่ซานหยางเล็กน้อย พร ้อมกับแสร ้งตาหนิว่า “ศิษย์น้องสาม ศิษย์น้องชวี่และศิษย์น้องฉีมา เหตุใดเจ้าจึงมิเรียกข้าเล่า ? ”
ลู่ซานหยางนิ่งไปสักพัก ก่อนจะรีบเอ่ยขออภัยขึ้นทันทีว่า “ศิษย์ พี่ใหญ่ ความอภัยด้วยขอรับ เมื่อครู่ข้าก็ตกอยู่ในภวังค์ลึกลับ บางอย่าง เพิ่งจะได้สติเช่นกันขอรับ”
“เป็ นเช่นนี้นี่เอง”
หลี่ซิวหยวนเอ่ยด้วยท่าทางเสแสร ้งว่า “จริงสิ ศิษย์น้องสาม เมื่อ ครู่เจ้าได้รู ้แจ้งอะไรบ้างหรือไม่ ? ”
ลู่ซานหยางเองก็แสดงละครกลับไปเช่นกัน “อืม จะว่าเยี่ยงไรดี คงจะเป็ นเคล็ดกระบี่บางอย่างขอรับ”
หลี่ซิวหยวนเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ศิษย์น้องสาม ดูท่าเจ้าคงจะมี พรสวรรค์ในวิถีกระบี่จริง ๆ…”
เวลานี้เมื่อได้เห็นทั้งสองคนแสดงละครเช่นนั้น ฉีชางหยวนพลัน มีสีหน้าเขียวคล้าด้วยความโมโห จนเส้นเลือดที่ขมับเต้นตุบ ๆ
หากมิใช่เพราะตบะบารมีของเขายังมิแก่กล้าล่ะก็ เขาคงจะทุบผู้ บาเพ็ญเพียรต่าช ้าสองคนนี้ให้เละไปแล้วจริง ๆ
น่าโมโห !
ช่างน่าโมโหยิ่งนัก !
ตอนนั้นเอง ชวี่เหวินเซี่ยก็เริ่มทนดูการแสดงละครของเจ้าคนต่า ช ้าทั้งสองต่อไปมิไหวเช่นกัน
“พวกเจ้าสองคนเลิกแสดงได้แล้ว ฉีชางหยวนบอกอะไรพวกเจ้า บ้าง ข้ารู ้หมดแล้ว”
ชวี่เหวินเซี่ยแค่นเสียงเย็นออกมา ก่อนจะหันไปเอ่ยกับฉีชาง หยวนว่า “ฉีชางหยวน ข้าเองก็มิใช่คนไร ้เหตุผล ในเมื่อเจ้าพูดมา เช่นนี้ แสดงว่าเจ้าคงบังเอิญไปเห็นอะไรเข้าสินะ”
ผ่านไปมิกี่อึดใจ
ชวี่เหวินเซี่ยก็ได้เล่าถึงสาเหตุ ที่นางไปปรากฏตัวที่ถ้าบนเขา ด้านหลัง ให้ทั้งสามคนฟังจนหมด
ขณะเดียวกันนางก็หยิบไหสุราชิงอี่ที่เย่ฉางชิงมอบให้ออกมา จากแหวนเก็บสมบัติ พร ้อมกับรินสุราให้แก่ทั้งสามคน
“หากพวกเจ้าคิดว่าที่ข้าพูดมาคือเรื่องโกหก ก็ลองดื่มสุรานี่ดู”
เอ่ยเพียงเท่านั้น ชวี่เหวินเซี่ยก็หันไปมองฉีชางหยวน พลางเอ่ย ด้วยรอยยิ้มอันเย็นเยียบว่า “ฉีชางหยวน หากเจ้าสามารถดื่มสุราจอก นี้ได้โดยมิเมา เรื่องในวันนี้ข้าจะคิดซะว่าเป็ นเรื่องเข้าใจผิด”
“แต่หากเจ้าเมาล่ะก็ พรุ่งนี้เมื่อเจ้าตื่นขึ้นมา เจ้าควรเตรียมใจ เอาไว้ให้ดี”
“เพราะข้ามิรับประกันว่า เจ้าจะสามารถไปจากที่นี่ตัวเป็ น ๆ อีก ได้หรือไม่”
ทันทีที่สิ้นเสียง หลี่ซิวหยวนและลู่ซานหยางก็สบตากันเล็กน้อย จากนั้นต่างก็ดื่มสุราที่อยู่ในมือจนหมดจอก
ผลสุดท้าย เมื่อเวลาผ่านไปมิกี่อึดใจ
ทั้งสองคนก็มีสีหน้าแดงก่า จมูกพ่นกลิ่นสุราออกมาอย่างรุนแรง
เห็นเช่นนั้นฉีชางหยวนพลันขอบตาแดงก่า ก่อนที่น้าตาจะไหล ออกมาทั้งสองข้างโดยมิรู ้ตัว
จากนั้นเขาก็ถือจอกหยกใบหนึ่ง พร ้อมคุกเขาลงกับพื้นอย่างมิ ลังเล
“ศิษย์พี่ชวี่ ข้าสานึกผิดแล้วจริง ๆ ขอรับ”
ฉีชางหยวนคร่าครวญออกมาด้วยใบหน้าโศกเศร ้า “ศิษย์พี่ชวี่ เห็นแก่มิตรภาพของศิษย์ร่วมส านัก ท่านปล่อยข้าไปเถอะ ข้าอายุยัง น้อย ข้ายังมิอยากตายขอรับ…”
“ศิษย์พี่ชวี่ ข้าจะบอกความลับสุดยอดให้กับท่าน ท่านปล่อยข้า ไปเถอะนะ ความจริงแล้วข้ากับอาจารย์เป็ น…”
“ศิษย์พี่ชวี่ หากครานี้ท่านปล่อยข้าไป ข้าฉีชางหยวนขอสาบาน ว่า ต่อไปข้าจะยอมเป็ นคนรับใช ้ของท่าน จะยอมเป็ นวัวเป็ นม้า…”
หลังจากขอร ้องอ้อนวอนอยูพักใหญ่
ทว่าชวี่เหวินเซี่ยก็ยังคงมีใบหน้าเรียบนิ่ง ก่อนจะเอ่ยออกมาเรียบ ๆ เพียงค าเดียวว่า
“ดื่ม