เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน - ตอนที่ 367 เบื้องหลังของชวี่เหวินเซี่ย
อีกด้านหนึ่ง
นักพรตชิงอวิ๋นใช ้เวลาหลายชั่วยาม จนในที่สุดก็มาถึงป่ าที่มี ต้นไม้ร่มรื่นเขียวขจี แถบชานเมืองหลานซี
เมืองหลานซีตั้งอยู่ทางตอนเหนือของหลิงโจว
เป็ นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในเขตการปกครองของนิกายกระบี่สวรรค์ นอกจากนี้ยังเป็ นหนึ่งในเมืองที่ใหญ่ที่สุดในหลิงโจวอีกด้วย
เมื่อทอดสายตามองออกไปจะพบกับกาแพงเมืองสูงตระหง่าน เรียกได้ว่ามิมีที่สิ้นสุดราวกับมังกรยักษ์ที่นอนขวางอยู่บนพื้นดิน ทั้ง ยังแผ่อานาจเกรงขามที่มองมิเห็นออกมาอีกด้วย
อาจเป็ นเพราะคูน้าขนาดใหญ่รอบเมือง และเส้นทางน้าที่ไหล เข้าออกจากเมืองหลานซีก็เป็ นได้
จึงท าให้มิว่าจะเป็ นนอกเมืองหรือภายในเมือง ล้วนมีไอหมอกจาง ๆ ปกคลุมไปทั่ว
ด้วยเหตุนี้จึงทาให้เมืองโบราณที่ตั้งอยู่มานานแห่งนี้ ดูลึกลับน่า ค้นหามากขึ้นไปอีก
ผ่านไปพักใหญ่ เมื่อนักพรตชิงอวิ๋นมาถึงหน้าประตูเมืองอัน พลุกพล่าน จู่ ๆ เขาก็หยุดฝีเท้าลง พลางเงยหน้าขึ้นมองด้านบนของ ประตูเมือง “เมืองหลานซี” ตัวอักษรโบราณสามตัวที่เปี่ยมไปด้วยพลัง มหาศาลก็ตั้งตระหง่านอยู่
มินานสีหน้าของนักพรตชิงอวิ๋น ก็เริ่มแปรเปลี่ยนเป็ นสับสน ขึ้นมา
ใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยแฝงเอาไว้ด้วยรอยยิ้มบาง ๆ ทว่าขอบ ตาของเขากลับแดงเรื่อขึ้นมาอย่างอดมิได้
เพราะนับตั้งแต่เขาเข้ารับตาแหน่งเจ้าสานักชิงหยาง ทุกครั้งที่มา ยังเมืองหลานซีความรู ้สึกกลับต่างแตกโดยสิ้นเชิง
โดยเฉพาะตลอดห้าปี มานี้ เพื่อให้ศิษย์ภายในสานักสามารถ บาเพ็ญเพียรได้อย่างราบรื่น อีกทั้งยังต้องจัดเตรียมของบรรณาการที่ ต้องส่งมอบให้กับนิกายกระบี่สวรรค์
เขาจาต้องนาสิ่งของมากมายที่เหล่าบรรพจารย์ทิ้งเอาไว้มาขาย ที่เมืองหลานซีแห่งนี้
ขณะเดียวกัน เนื่องจากสานักชิงหยางมิมีศิษย์ที่มีฝีมือเก่งกาจ เลย เช่นนั้นเขาจึงต้องเข้าออกเมืองหลานซีอยู่บ่อยครั้ง เพื่อมารับ สมัครศิษย์เข้าส านัก
ทว่ามิว่าจะท าเช่นไร เขาก็มิสามารถรับศิษย์เข้าส านักได้แม้แต่ คนเดียว
มิเพียงเท่านั้น ทุกครั้งที่นิกายกระบี่สวรรค์เรียกประชุมสานักน้อย ใหญ่ ล้วนจัดขึ้นที่เมืองหลานซีแห่งนี้ทุกครั้ง
เช่นนั้นต่อให้จะเป็ นสานักระดับเก้าด้วยกัน แต่นักพรตชิงอวิ๋นก็ มิกล้าเข้าไปคุยกับเหล่าสหายเก่าอยู่ดี ท าได้เพียงซ่อนตัวอยู่ตามมุม เงียบ ๆ รอจนจบการประชุมเท่านั้น
แต่วันนี้กลับมิเหมือนเดิมอีกแล้ว เขามองว่าด้วยคุณสมบัติการ ฝึ กเซียนอันเก่งกาจของเย่ฉางชิง การจะเข้าเป็ นศิษย์สายในของ นิกายกระบี่สวรรค์นั้น มิใช่เรื่องยากอีกต่อไปแล้ว
ถึงขนาดมีโอกาสจะได้เป็ นศิษย์สายสืบทอดของผู้อาวุโสบางคน ได้เลยด้วยซ้า
อีกอย่างศิษย์รองชวี่เหวินเซี่ยเองก็เอ่ยปากจะเข้าร่วมการ คัดเลือกศิษย์ของนิกายกระบี่สวรรค์ด้วยตัวเอง
ซึ่งคุณสมบัติของชวี่เหวินเซี่ยเป็ นเช่นไรนั้น แม้คนอื่นอาจจะยังมิ รู ้แต่เขาในฐานะอาจารย์จะมิรู ้ได้เยี่ยงไร ?
เช่นนี้ก็หมายความว่าต่อให้สานักชิงหยางจะมิอยากกลับไป รุ่งเรืองเหมือนเมื่อก่อน ก็คงจะเป็ นไปมิได้แล้ว
“เรื่องราวแปรเปลี่ยน รุ่งเรืองตกต่าช่างมิแน่มินอนจริง ๆ ”
นักพรตชิงอวิ๋นครุ่นคิดอยู่นาน พลางลูบหนวดเบา ๆ และยิ้ม ออกมาอย่างมีความสุข “หลังจากพยายามมาหลายปี ในที่สุดวันนี้ข้า ก็สามารถยืดอกเดินเข้าเมืองหลานซี เพื่อเข้าร่วมการประชุมในวัน พรุ่งนี้ได้เสียที”
“เจ้าพวกที่เคยมิเห็นข้าอยู่ในสายตาพวกนั้น จากนี้ไปจะต้อง ยอมศิโรราบให้แก่ข้า…”
ท่ามกลางสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยของผู้คนมากมายที่ สัญจรไปมา
นักพรตชิงอวิ๋นยืนทอดอารมณ์อยู่นาน ก่อนจะเดินอาด ๆ เข้าไป ในเมืองหลานซี
ทว่าเขากลับมิได้ตรงไปรายงานตัวที่จวนเจ้าเมืองในทันที แต่ เลือกที่จะเดินไปยังเขตพื้นที่ที่ห่างไกลและเงียบสงบแห่งหนึ่งแทน
ผ่านไปประมาณครึ่งชั่วยาม
นักพรตชิงอวิ๋นก็มาถึงหน้าจวนที่มิโดดเด่นใด ๆ หลังหนึ่ง
“หากมิมีสิ่งใดผิดพลาด ท่านเหยียนผู้นั้นเหมือนจะอยู่ที่นี่กระมัง ? ”
นักพรตชิงอวิ๋นหลังสารวจดูรอบ ๆ แล้ว จากนั้นก็เดินไปเคาะ ประตู
มินาน เสียงอันเย็นชาเสียงหนึ่งก็ดังก้องขึ้นในโสตประสาทของ นักพรตชิงอวิ๋น
“เจ้าสานักหลี่ คุณหนูให้ท่านมางั้นหรือ ? ”
ได้ยินเช่นนั้น บนใบหน้าชราของนักพรตชิงอวิ๋นพลันเต็มไปด้วย ความหวาดกลัว ขณะเดียวกันก็อดมิได้ที่จะสูดลมหายใจเข้าปอดลึก ๆ ด้วยความหวาดหวั่น
ท่านเหยียนผู้นี้แท้จริงแล้วเก่งกาจเพียงใดนั้น
เขาเคยเห็นมากับตาตนเองแล้ว
และจากการคาดเดาของเขา ท่านเหยียนผู้นี้มีความเป็ นไปได้สูง ว่าจะอยู่ในระดับแดนเทวาแล้ว
สาหรับเขาแล้ว ท่านเหยียนผู้นี้น่ากลัวมากจริง ๆ !
หลังจากเงียบอยู่สักพัก นักพรตชิงอวิ๋นจึงตอบรับเบา ๆ ว่า “ท่าน เหยียน เหวินเซี่ยให้ข้ามาหาท่านขอรับ”
ทันทีที่สิ้นเสียง ประตูที่ปิดสนิทก็ค่อย ๆ เปิดออก
จากนั้นบุรุษวัยกลางคนท่าทางเย็นชาทว่ามีรูปร่างกายา และสวม ชุดคลุมสีด าก็ได้ยืนรออยู่
“เจ้าสานักหลี่ เข้ามาคุยกันข้างในเถอะ”
บุรุษชุดดาเอ่ยขึ้นเรียบ ๆ ก่อนจะหมุนกายเดินเข้าไปยังด้านใน จวน
นักพรตชิงอวิ๋นรีบฉีกยิ้มออกมา พลางพยักหน้ารับในทันที
มินานบุรุษชุดดาผู้นั้นก็เดินนาทั้งสองคนไปยังห้องโถงที่มีแสง สลัว ๆ
“เจ้าสานักหลี่ พักนี้คุณหนูสบายดีหรือไม่ ? ”
หลังจากบุรุษชุดดานั่งลงเรียบร ้อยแล้ว จึงเอ่ยถามนักพรตชิ งอวิ๋นขึ้นเรียบ ๆ
นักพรตชิงอวิ๋นนิ่งงันไปเล็กน้อย ก่อนจะตอบกลับด้วยรอยยิ้มว่า “สบายดีขอรับ”
“ท่านนั่งลงเถอะ”
บุรุษชุดดาพยักหน้าให้ พลางถามขึ้นอีกว่า “คุณหนูให้ท่านมา ครานี้ ด้วยเรื่องอันใดงั้นหรือ ? ”
“ท่านเหยียน คือเรื่องเป็ นเช่นนี้ขอรับ”
นักพรตชิงอวิ๋นเอ่ยอย่างความระมัดระวังถ้อยคาว่า “เมื่อมิกี่วัน ก่อน เหวินเซี่ยได้บอกข้าว่า นางต้องการที่จะเข้าร่วมการคัดเลือก ศิษย์ของนิกายกระบี่สวรรค์ ในอีกสามเดือนข้างหน้า”
เอ่ยเพียงเท่านี้ นักพรตชิงอวิ๋นก็เพ่งสมาธิ แล้วหยิบป้ ายม่วงทอง ที่ชวี่เหวินเซี่ยโยนให้เขาออกจากแหวนเก็บสมบัติ จากนั้นก็มอบ ให้แก่บุรุษชุดด า
หลังจากรับป้ ายม่วงทองมา บุรุษชุดดาก็ลูบที่ป้ ายม่วงทองเบา ๆ พร ้อมกับมีท่าทีที่อ่อนโยนลงอย่างมาก
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง บุรุษชุดดาก็ถือป้ ายม่วงทองเอาไว้ ก่อน จะลุกขึ้นยืน
เขาเดินมายังหน้าประตู ก่อนจะเงยหน้ามองท้องนภา พลางทอด ถอนใจออกมา “มิทันรู ้ตัว ข้ากับคุณหนูก็มาอยู่ที่หลิงโจวเจ็ดถึงแปด ปีแล้วหรือนี่”
“อีกทั้งคุณหนูก็มิใช่เด็กที่เอาแต่ใจคนเดิม แต่กลับโตเป็ นผู้ใหญ่ ที่รู ้จักคิดอะไรเองได้แล้ว”
เอ่ยเพียงเท่านั้น บุรุษชุดดาก็หมุนกายกลับมา พลางทอดแหวน เก็บสมบัติของตัวเองออก แล้วส่งให้แก่นักพรตชิงอวิ๋น
“เจ้าสานักหลี่ แหวนเก็บสมบัติวงนี้มีศิลาวิญญาณประมาณหนึ่ง ล้านก้อน รวมทั้งโอสถขั้นห้าและขั้นหกอีกร ้อยกว่าเม็ด ท่านนาแหวน เก็บสมบัติวงนี้ไปมอบให้คุณหนูด้วยก็แล้วกัน”
บุรุษชุดดาเผยรอยยิ้มบาง ๆ อย่างที่มิเคยมีมาก่อน พร ้อมกับเอ่ย ออกมา
ได้ยินเช่นนั้น นักพรตชิงอวิ๋นก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที ท่าทาง เต็มไปด้วยความตื่นตระหนก
‘ศิลาวิญญาณหนึ่งล้านก้อน ! ’
‘โอสถขั้นห้าและขั้นหกร ้อยกว่าเม็ด ! ’
‘นี่เขามิได้ฝันไปใช่หรือไม่ ! ’
‘ท่านเหยียนตรงหน้าผู้นี้มีที่มาที่ไปเยี่ยงไรกันแน่ ถึงได้มีศิลา วิญญาณและโอสถมากมายเพียงนี้ได้’
เพราะศิลาวิญญาณมากมายเช่นนี้ อย่าว่าแต่สานักระดับเก้า อย่างส านักชิงหยางเลย
ต่อให้เป็ นนิกายกระบี่สวรรค์ที่เป็ นหนึ่งในสี่สานักเซียนใหญ่ แห่งหลิงโจว ก็ถือว่าเป็ นของล้าค่าอย่างยิ่ง
อีกทั้งยังมีโอสถขั้นห้าและขั้นหกอีกร ้อยกว่าเม็ด
นี่เป็ นถึงโอสถที่ต้องใช ้สมุนไพรวิเศษมากมายในการหลอม มิใช่ ผักกาดขาวที่ขายตามข้างถนนที่จะหาได้ง่าย ๆ
เท่าที่จาได้ ครั้งก่อนในการประมูลของหอการค้าหลันเหอแห่ง เมืองหลานซี
โอสถขั้นห้าหนึ่งเม็ดสามารถประมูลได้ราคาสูงถึงสองหมื่นศิลา วิญญาณเลยด้วยซ้า
แค่คิดก็รู ้แล้วว่าโอสถขั้นห้าและขั้นหกจานวนร ้อยกว่าเม็ดนี้ มี มูลค่ามหาศาลเพียงใดกัน ?
ยิ่งกว่านั้นโอสถขั้นห้าขึ้นไป ล้วนแล้วแต่ประเมินค่ามิได้
และที่สาคัญที่สุดก็คือ ท่านเหยียนผู้นี้เรียกขานชวี่เหวินเซี่ยว่า คุณหนูมาโดยตลอด
นี่หมายความว่าเขาเป็ นเพียงคนรับใช ้ของชวี่เหวินเซี่ยเยี่ยงนั้น หรือ
เช่นนี้ฐานะของชวี่เหวินเซี่ยจะต้องมิธรรมดาอย่างแน่นอน
คิดถึงตรงนี้
‘คิดมิถึงว่าหนึ่งในศิษย์ของข้า จะมีเบื้องหลังที่น่ากลัวถึงเพียงนี้ น่าเหลือเชื่อ ช่างน่าเหลือเชื่อยิ่งนัก’
นักพรตชิงอวิ๋นอดมิได้ที่จะทอดถอนใจออกมา พร ้อมกับพึมพา กับตัวเองว่า ‘เหวินเซี่ยเอ๊ยเหวินเซี่ย เจ้าเก็บงาเรื่องนี้กับอาจารย์ได้ อย่างมิดชิดจริง ๆ หากข้ารู ้ว่ามีศิษย์ที่มีความสามารถมากเช่นเจ้าอยู่
หลายปี มานี้ข้าจะดิ้นรนให้ลาบากไปเพราะเหตุใด นั่งอยู่เฉย ๆ มิ สบายกว่าหรือเยี่ยงไร ? ’
ตอนนั้นเอง
“จริงสิ เจ้าสานักหลี่ ข้าฝากท่านนาข้อความนี้ไปแจ้งแก่คุณหนู ด้วย”
บุรุษชุดดาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะขมวดคิ้วขึ้นมา พลางกล่าว ว่า “ท่านช่วยบอกคุณหนูด้วยว่า เรื่องมาถึงขั้นนี้ ข้าก็ควรจะไปจากห ลิงโจว เพื่อกลับไปรายงานได้แล้ว”
“หลังจากนี้นางจะทาอะไร จะต้องรู ้จักยับยั้งชั่งใจ และหากมิ จาเป็ นจริง ๆ ห้ามใช ้เคล็ดวิชาลับใด ๆ มิเช่นนั้นต่อให้เป็ นนิกายกระบี่ สวรรค์ก็มิอาจจะปกป้ องนางได้เช่นกัน”
นักพรตชิงอวิ๋นตะลึงงัน ก่อนจะพยักหน้ารับน้อย ๆ