เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน - ตอนที่ 370 ห้องราคาสองพันศิลาวิญญาณ
เมื่อนักพรตชิงอวิ๋นก้าวเข้าสู่ภายในเรือน ประตูด้านหลังก็ค่อย ๆ ปิดลงอีกครั้ง
ขณะเดียวกันในวินาทีที่ประตูห้องถูกปิดลงนั้น
เรือนแห่งนี้พลันตกอยู่ในความเงียบ ราวกับโลกใบใหม่ที่ถูกผนึก เอาไว้โดยสมบูรณ์
ทว่าเมื่อนักพรตชิงอวิ๋นเห็นภาพตรงหน้า
ร่างทั้งร่างก็พลันแข็งค้างราวกับหิน ท่าทางเต็มไปด้วยความตื่น ตระหนกเป็ นอย่างมาก
เมื่อเห็นตาหนักลอยฟ้ าอันวิจิตรตระการตา ที่อบอวลไปด้วยแสง ที่เปล่งประกายระยิบระยับมากมายหลังหนึ่ง ดุจตาหนักเซียนที่ลอย อยู่บนอากาศ
ล้อมรอบไปด้วยเกาะเซียนน้อยใหญ่มากมาย ขณะเดียวกันก็มี วารีทิพย์สายเล็ก ๆ ไหลลงมาด้วย
ส่วนด้านล่างที่เป็ นชั้นเมฆสูงประมาณหัวเข่า ก็มีภูเขาจาลอง ขนาดใหญ่ ต้นไม้เก่าแก่ วารีทิพย์ ต้นไผ่ ค่อย ๆ ผุดขึ้นมา
ทั้งหมดนี้ล้วนแล้วแต่งดงามอลังการราวกับภาพในความฝัน เปรียบดั่งดินแดนเซียนก็มิปาน
เวลานี้ภายในใจของนักพรตชิงอวิ๋นรู ้สึกตื่นตระหนกเป็ นอย่าง มาก !
และช่างน่าเหลือเชื่อยิ่งนัก !
“สมกับที่เป็ นหอสุราจุ้ยเซียน การตกแต่งที่พิสดารเช่นนี้ เกรงว่า ทั่วทั้งหลิงโจวคงยากจะมีที่ใดเทียบเคียงได้”
นักพรตชิงอวิ๋นอดมิได้ที่จะพึมพากับตัวเอง “หอสุราจุ้ยเซียน สม แล้วที่เป็ นหอสุราจุ้ยเซียน สมกับที่เป็ นดินแดนแห่งความเมามายจริง ๆ ! ”
ตอนนั้นเอง สตรีสองนางที่มีรูปร่างผอมเพรียว เอวคอดกิ่ว ช่วง ขาเรียวยาว สวมอาภรณ์บางเบาดูมีเสน่ห์เย้ายวน ก็ปรากฏตัวขึ้น ตรงหน้าของนักพรตชิงอวิ๋น
“คารวะท่านเซียนอาวุโสเจ้าค่ะ”
สิ้นเสียง นักพรตชิงอวิ๋นก็ได้สติขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนจะกวาดตา มองสตรีทั้งสองอย่างอดมิได้
หลังจากชั่งใจอยู่สักครู่
“ได้ยินว่าสุราจุ้ยเซียนของหอสุราจุ้ยเซียนนั้นรสเลิศมิเป็ นสอง รองที่ใด พวกเจ้าช่วยไปยกมาให้ข้าสักหนึ่งกาได้หรือไม่”
นักพรตชิงอวิ๋นกระแอมเบา ๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้นเรียบ ๆ อีกว่า “อีก อย่างข้าเดินทางมาทั้งวัน รู ้สึกเหนื่อยล้ามิน้อย เช่นนั้นข้าขอแช่วารี ทิพย์ไป ดื่มสุราไปก็แล้วกัน”
“เจ้าค่ะท่านเซียนอาวุโส”
“ท่านเซียนอาวุโส ข้าช่วยถอดเสื้อให้นะเจ้าคะ”
“ก็ดี”
“……”
“……”
ขณะเดียวกัน ณ โรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งที่อยู่มิไกลจากหอสุราจุ้ย เซียนมากนัก
เวลานี้จูหวยเหรินและเจี่ยเจิ้นเคอ กาลังยืนอยู่หน้าโต๊ะยาว ส าหรับรองรับลูกค้า
เนื่องจากพวกเขาสองคนรู ้ดีว่า
การพนันระหว่างพวกเขาและนักพรตชิงอวิ๋นนั้น พวกเขาจะต้อง เป็ นฝ่ายพ่ายแพ้อย่างแน่นอน
อีกทั้งราคาต่าสุดของหอสุราจุ้ยเซียนยังสูงถึงหนึ่งพันศิลา วิญญาณอีกด้วย
เช่นนั้นพวกเขาสองคนจึงจาต้องคานวณให้ดี
เพราะการมาเมืองหลานซีของพวกเขาในครั้งนี้ สองคนรวมกัน แล้วยังมีเพียงแค่สองพันศิลาวิญญาณเท่านั้น
อีกทั้งจูหวยเหรินก็ยังมิได้เลือกซื้อกระบี่วิเศษที่เหมาะสม ให้กับ ศิษย์สายสืบทอดผู้นั้นของตัวเองเลยด้วยซ้า
“เถ้าแก่ ห้องพักสองห้องราคาสามร ้อยต าลึงทอง เจ้าจะขูดเลือด ขูดเนื้อกันเกินไปกระมัง?”
“ขูดเลือดขูดเนื้อ?”
“ท่านทั้งสองลองไปสอบถามดูก็ได้ ที่นี่คือย่านที่คนพลุกพล่าน ที่สุดในเมืองหลานซี หากมิใช่เพราะช่วงนี้กิจการซบเซา ห้องพักแค่ หนึ่งห้องก็ราคาสองร ้อยตาลึงแล้ว”
“เถ้าแก่ เอาอย่างนี้ดีหรือไม่ ให้พวกเราสองคนค้างที่นี่หนึ่งคืน ในราคาสองร ้อยต าลึงทองก็พอ”
“ท่านทั้งสอง ข้าว่าบุคลิกท่าทางของพวกท่านก็ดูเหมือนผู้ บาเพ็ญเพียรอยู่นะ แต่มิใช่ว่าทั้งเนื้อทั้งตัว เงินแค่สามร ้อยตาลึงทองก็ ยังมิมี?”
“จริงสิ ได้ยินว่าพรุ่งนี้นิกายกระบี่สวรรค์จะจัดการประชุมขึ้นที่ เมืองหลัก แต่เงินแค่นี้ท่านทั้งสองยังมิมีจะจ่าย เกรงว่าคงเป็ นได้แค่ เจ้าสานักระดับเก้าเท่านั้นกระมัง?”
“เหลวไหลสิ้นดี สานักของพวกข้าทั้งสองเป็ นถึงสานักระดับเจ็ด เชียวนะ”
“อ้อ ที่แท้ก็เป็ นถึงสานักระดับเจ็ด เช่นนั้นข้าก็ต้องขออภัยด้วย ที่ต้องคิดราคาใหม่เป็ นสี่ร ้อยตาลึงทอง”
“เถ้าแก่ เจ้าพูดเช่นนี้หมายความว่าเยี่ยงไร?”
“ข้ามิได้มีเจตนาอื่นแอบแฝง หากท่านทั้งสองคิดว่ารับมิได้ จะไป ดูที่อื่นก่อนก็ได้นะ”
“พี่จู เรื่องมาถึงขั้นนี้ พวกท่านอย่าได้ต่อปากต่อคากันอีกเลย สรุปว่าสามร ้อยตาลึงทองแล้วให้พวกเราค้างที่นี่สักคืนก็แล้วกัน”
“เถ้าแก่ เช่นนั้นก็สามร ้อยตาลึงทองก็แล้วกัน”
“ขออภัย ข้าคิดสี่ร ้อยตาลึงทอง และมิต้องต่อรองอีกแล้ว”
“……”
“……”
จนเวลาผ่านไปครึ่งก้านธูป
สุดท้ายหลังจากต่อรองราคากันเรียบร ้อยแล้ว
จูหวยเหรินและเจี่ยเจิ้นเคอก็จาต้องพักที่โรงเตี๊ยมแห่งนี้
เพราะต่อให้คืนละสี่ร ้อยตาลึงทอง
ก็นับว่าเป็ นโรงเตี๊ยมที่ถูกที่สุดในย่านนี้แล้ว
“พี่จู ท่านเลิกโมโหได้แล้วน่า”
เจี่ยเจิ้นเคอที่ถือแป้ งทอดที่ซื้อมาระหว่างทางไว้ในมือ พยายาม เอ่ยปลอบจูหวยเหรินที่มีสีหน้าดาคล้า
“พวกเราก็แค่ค้างที่นี่สักคืน รอพรุ่งนี้เมื่อการประชุมจบแล้ว พวก เราก็จะไปจากเมืองหลานซีทันที”
พูดถึงตรงนี้ ดวงตาเจี่ยเจิ้นเคอพลันมีประกายเย็นเยียบอันน่า กลัวฉายออกมา ก่อนจะกัดแป้ งทอดในมืออย่างแรงด้วยความโมโห พลางเอ่ยว่า
“แม้การค้างที่หอสุราจุ้ยเซียนหนึ่งคืนของนักพรตชิงอวิ๋น พวก เราสองคนจะต้องเป็ นคนจ่ายเงิน แต่เป็ นเช่นนี้ก็ดีแล้วหากวันหน้า ตอนที่บุกไปทาลายสานักชิงหยาง พวกเขาจะได้มิต้องรู ้สึกละอายใจ ใด ๆ อีก”
ทันทีที่สิ้นเสียง
“พี่เจี่ย แม้จะเป็ นเช่นนั้นแต่ข้าก็ยังอดโมโหมิได้อยู่ดี”
จูหวยเหรินมีท่าทางอ่อนลง ก่อนจะหยิบแป้ งทอดตรงหน้าติดมือ ไปด้วย ขณะลุกขึ้นยืน “โดยเฉพาะสตรีที่ยืนต้อนรับแขกอยู่ที่ ด้านหน้าของหอสุราจุ้ยเซียนนางนั้น เหตุใดต้องมองพวกเราสองคน ด้วยสายตาดูถูกดูแคลนเช่นนั้นด้วยเล่า”
“นางก็แค่สตรีที่คอยต้อนรับอยู่ด้านหน้าหอสุราจุ้ยเซียนนางหนึ่ง เท่านั้น แต่กลับกล้าดูแคลนพวกเราสองคนเช่นนี้ และหาได้รู ้ไม่ว่า พวกเราสองคนต่างหาก ที่เป็ นคนจ่ายเงินให้กับตาเฒ่านักพรตชิ งอวิ๋นผู้นั้น”
เจี่ยเจิ้นเคอพ่นลมหายใจออกมา พร ้อมกับพยักหน้าเห็นด้วย
ความจริงแล้วในตอนนั้น เขาเองก็รู ้สึกแทบจะทนกับสายตาดู แคลนเช่นนั้นมิไหวเหมือนกัน
ทว่าแม้จะเป็ นเช่นนั้น แล้วพวกเขาสองคนจะทาอะไรได้ ?
จะบุกเข้าไปในหอสุราจุ้ยเซียนเยี่ยงนั้นหรือ ?
พอเถอะน่า !
หอสุราจุ้ยเซียนนั้นอยู่ในการดูแลของจวนเจ้าเมือง
ส่วนจวนเจ้าเมืองนั้นก็อยู่ในการดูแลของนิกายกระบี่สวรรค์
ต่อให้พวกเขาสองคนจะเก่งกาจมากกว่านี้ แต่นั่นคือหอสุราจุ้ย เซียนและจวนเจ้าเมืองเชียวนะ
อย่าว่าแต่เจ้าส านักระดับเจ็ดเช่นพวกเขาเลย แม้แต่ส านักระดับ สองที่พึ่งพิงนิกายกระบี่สวรรค์ เกรงว่าก็ยังมิกล้าที่จะล่วงเกินด้วยซ้า
“พี่จู เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว พวกเราก็เลิกบ่นเถอะ”
เจี่ยเจิ้นเคอพ่นลมหายใจออกมา พลางเอ่ยออกมาว่า “รอวันที่ พวกเรายึดครองซากโบราณหรือแดนลับ ที่สานักชิงหยางขุดมาได้ แล้ว ถึงตอนนั้นพวกเราสองคนก็ไปค้างที่หอสุราจุ้ยเซียนบ้างเป็ นไง”
“เชื่อว่าถึงตอนนั้น สตรีที่ยืนต้อนรับอยู่ด้านหน้านางนั้น มิมีทาง ใช ้สายตาเช่นนั้นมองเราสองคนอีกอย่างแน่นอน”
จูหวยเหรินพยักหน้ารับ พลางออกแรงกัดแป้ งทอดในมืออีกครั้ง
เพียงพริบตาราตรีก็ผ่านพ้นไป
โดยเฉพาะนักพรตชิงอวิ๋น
ถึงกับมิทันรู ้ตัวว่าเวลานี้คือยามเช ้าของอีกวันแล้ว
แต่เขาก็มิได้มีความอาลัยอาวรณ์ใด ๆ และมิกล้าที่จะรู ้สึกเช่นนั้น ด้วย
เยี่ยงไรเสียการมาเมืองหลานซีในครั้งนี้ ก็เพื่อมาประชุมที่จวน เจ้าเมือง
หากเข้าประชุมสายผู้อาวุโสของนิกายกระบี่สวรรค์ ที่เดิมทีมิ พอใจสานักชิงหยางอยู่แล้ว มิแน่อาจจะสั่งยุบสานักชิงหยางเสียก็ เป็ นได้
เช่นนี้แล้วสานักชิงหยางก็คงจะมิมีแม้แต่โอกาสที่จะกลับมา รุ่งเรืองได้อีก
มินานด้วยการดูแลของสาวใช ้ทั้งสองคน
นักพรตชิงอวิ๋นก็ได้สวมอาภรณ์และล้างหน้าล้างตาเสร็จ เรียบร ้อย ก่อนจะเดินตรงไปยังโถงด้านหน้า
“ท่านเซียนอาวุโส จะไปแล้วหรือเจ้าคะ ? ”
เห็นนักพรตชิงอวิ๋นเดินมา สตรีใบหน้างดงามพลันเดินเข้ามา ต้อนรับทันที
“ใช่แล้ว ข้ามีเรื่องที่ต้องไปจัดการก่อน”
นักพรตชิงอวิ๋นเหลือบมองสตรีผู้มีใบหน้างดงามผู้นั้นเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยถามว่า “ทั้งหมดเท่าไร ? ”
สตรีใบหน้างดงามยิ้มพราวออกมา “เรียนท่านเซียนอาวุโส หอ สุราจุ้ยเซียนของเราแบ่งเป็ นห้องพักอย่างดีและห้องพักธรรมดา ห้องพักธรรมดาหนึ่งคืนหนึ่งพันศิลาวิญญาณ ส่วนห้องพักอย่างดี นั้นหนึ่งคืนราคาสองพันศิลาวิญญาณเจ้าค่ะ”
ทันทีที่สิ้นเสียง นักพรตชิงอวิ๋นก็ชะงักไปเล็กน้อย
‘อะไรนะ ! ’
‘ห้องพักอย่างดีหนึ่งคืนสองพันศิลาวิญญาณ ! ’
‘สองพันศิลาวิญญาณ ! ’
‘สองพันศิลาวิญญาณเนี่ยนะ ! ’
‘เช่นนี้พวกเจ้ามิปล้นข้าไปซะเลยเล่า ! ’
‘แต่ก็ช่างเถอะ โชคดีที่เมื่อวานจูหวยเหรินและเจี่ยเจิ้นเคอสองคน นั้นได้พนันเอาไว้ มิเช่นนั้นข้าคงต้องปวดใจไปอีกหลายปีแน่’
คิดได้เช่นนั้นนักพรตชิงอวิ๋นก็เพ่งสมาธิ ก่อนจะหยิบสองพันศิลา วิญญาณจากแหวนเก็บสมบัติออกมากองไว้บนโต๊ะยาวที่ใช ้ต้อนรับ แขกด้านหน้า ก่อนจะรีบเดินออกไปด้านนอกทันที
และเมื่อเขาออกมาจากหอสุราจุ้ยเซียน
ก็ได้พบกับจูหวยเหรินและเจี่ยเจิ้นเคอ โดยทั้งสองกาลังยืนทา หน้าเข้มอยู่ฝั่งตรงข้ามของถนน
เห็นเช่นนั้นใบหน้าของนักพรตชิงอวิ๋นพลันปรากฏรอยยิ้มยินดี ขึ้นมา
“ท่านทั้งสอง ดูเหมือนว่าพวกท่านจะแพ้เสียแล้ว”
นักพรตชิงอวิ๋นเดินมาหยุดตรงหน้าของทั้งสอง ก่อนจะเอ่ยด้วย ใบหน้าที่แฝงรอยยิ้มอ่อนโยนเอาไว้ “ตามที่พนันกันเอาไว้ พวกท่าน สองคนต้องให้ข้าสองพันศิลาวิญญาณ”
‘อะไรนะ ! ’
‘สองพันศิลาวิญญาณ ! ’
‘มิใช่หนึ่งพันศิลาวิญญาณหรอกหรือ ? ’
จูหวยเหรินพลันมีสีหน้าเข้มขึ้นทันที พลางจ้องเขม็งไปยัง นักพรตชิงอวิ๋น พร ้อมเอ่ยอย่างเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันว่า “เจ้าว่าอะไรนะ สองพันศิลาวิญญาณงั้นหรือ ? ”
นักพรตชิงอวิ๋นพยักหน้าให้พร ้อมรอยยิ้ม
จูหวยเหรินจึงค ารามออกมาด้วยความโมโหว่า “เหตุใดเจ้ามิไป ปล้นเอาเล่า ? ”
“เมื่อคืนข้าเลือกพักห้องอย่างดี ราคาหนึ่งคืนสองพันศิลา วิญญาณจริง ๆ แต่หากเจ้ามิเชื่อจะลองไปถามดูก็ได้นะ”
นักพรตชิงอวิ๋นหัวเราะออกมาอย่างมิใส่ใจ พร ้อมเอ่ยต่อว่า “อีก อย่างพวกเจ้าอย่าได้คิดที่จะเบี้ยวข้าเด็ดขาด อย่าลืมว่าวันนี้เจ้า สานักนับร ้อยจะมาร่วมประชุมที่จวนเจ้าเมือง ข้ามิอยากทวงเงินพวก เจ้ากลางที่ประชุมหรอกนะ”
จูหวยเหรินมีท่าทางเกรี้ยวกราด มือทั้งสองข้างกาหมัดแน่น เส้น เลือดบริเวณขมับปูดโปนขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
โดยเฉพาะเมื่อคิดถึงแป้ งทอดและสุราชั้นต่าเมื่อคืน ก็ยิ่งรู ้สึกแค้น จนจุกอก
“ได้ ! ”
จูหวยเหรินเอ่ยออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคาว่า “เจ้าเฒ่าชิงอวิ๋น เจ้าจงฟังเอาไว้ให้ดี”
“หากเจ้าฉวยโอกาสตอนนี้ล่ะก็ อย่าหาว่าข้าใจร ้ายก็แล้วกัน ต่อไปมิเพียงแต่จะเป็ นความแค้นระหว่างเจ้ากับข้าเท่านั้น แต่ยังถือ เป็ นความแค้นระหว่างสองส านักอีกด้วย”
นักพรตชิงอวิ๋นส่ายหน้าอย่างมิเห็นด้วย
ทว่าพอเอ่ยจบ จูหวยเหรินก็เดินจากไปทันที