เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน - ตอนที่ 371 อาจารย์ ท่านเป็ นอะไรไปหรือขอรับ ?
มินานหลังจากจูหวยเหรินที่มีใบหน้าเกรี้ยวกราด เดินเข้าไปใน หอสุราจุ้ยเซียนแล้ว
มิกี่อึดใจต่อมา
“ตึ้ง ! ”
ร่างกลม ๆ ร่างหนึ่งพลันลอยออกมาจากหอสุราจุ้ยเซียน ก่อนจะ กระแทกลงบนพื้นอย่างแรง
หลังจากนั้นก็มีชายชราสวมเสื้อแพรผู้หนึ่ง เดินตามออกมาด้วย สีหน้าเย็นเยียบ
“เจ้าคนชั้นต่า หอสุราจุ้ยเซียนของข้านับตั้งแต่เปิดมา เจ้าถือ เป็ นคนแรกที่กล้ามาสามหาวเช่นนี้”
ชายชราสวมเสื้อแพรเอ่ยขึ้นด้วยน้าเสียงเย็นชา “เจ้าจงฟังเอาไว้ ให้ดี นับจากนี้ไปหากเจ้ากล้าก้าวเข้ามาในหอสุราจุ้ยเซียนแม้เพียง ครึ่งก้าว ข้าจะทาลายตบะบารมีของเจ้าซะ ก่อนจะตัดแขนและขาของ เจ้า”
เอ่ยจบชายชราที่สวมเสื้อแพรก็ปรายตามองจูหวยเหรินที่มี สภาพเปรอะเปื้อน ก่อนจะหมุนตัวก้าวเข้าไปยังหอสุราจุ้ยเซียนอีก ครั้ง
จูหวยเหรินชาเลืองมองชายชราเสื้อแพร ทว่ากลับมิกล้าเอ่ยสิ่ง ใดอีก ทาได้เพียงฝืนพยักหน้ารับคาเท่านั้น
เพราะรู ้ดีว่าอีกฝ่ายมิได้ขู่เล่น ๆ อย่างแน่นอน
ดูจากการลงมือเมื่อครู่ของชายชราที่สวมเสื้อแพรแล้ว ตบะบารมี ของคนผู้นั้นน่าจะสูงกว่าเขาหนึ่งระดับเป็ นแน่
อีกทั้งหอสุราจุ้ยเซียนยังอยู่ภายใต้การดูแลของจวนเจ้าเมืองอีก ด้วย
เช่นนั้นต่อให้จะทาให้เจ้าสานักระดับเจ็ดอย่างเขาพิการไปสักคน หนึ่ง นิกายกระบี่สวรรค์ก็คงมิถือสาอะไรอยู่ดี
คิดถึงตรงนี้ความแค้นเคืองภายในใจของจูหวยเหรินพลันมลาย หายไปทันที ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ อย่างอดมิได้
ตอนนั้นเองเจี่ยเจิ้นเคอก็รีบเดินเข้ามาประคองจูหวยเหรินขึ้นมา
“พี่จู ท่านมิเป็ นอะไรใช่หรือไม่ ? ”
เจี่ยเจิ้นเคอเอ่ยถามออกไป พร ้อมกับดวงตามีประกายบางอย่าง พาดผ่าน
ขณะเดียวกันนักพรตชิงอวิ๋นเห็นเช่นนั้นจึงยิ้มออกมาจนตาหยี ก่อนจะเดินเอามือไพล่หลังมาตรงหน้าของคนทั้งคู่
“ทั้งสองท่านตอนนี้ยังมีข้อโต้แย้งอะไรอีกหรือไม่ ? ”
นักพรตชิงอวิ๋นยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาลูบหนวด พลางเอ่ยถามด้วย รอยยิ้ม
ได้ยินเช่นนั้น จูหวยเหรินพลันหันไปจ้องนักพรตชิงอวิ๋น และเอ่ย ด้วยดวงตาที่เป็ นประกายลุกโชน “เจ้าเฒ่า แค้นครานี้ข้าจะมิมีวันลืม”
นักพรตชิงอวิ๋นหัวเราะออกมา ก่อนจะค่อย ๆ ยื่นมือข้างหนึ่ง ออกมา
“เจ้าสานักทั้งสอง พวกท่านคงมิคิดจะเบี้ยวข้าหรอกใช่หรือไม่ ? ”
ต้องบอกว่าศิลาวิญญาณจานวนสองพันก้อนนั้น เท่ากับเป็ นการ เฉือนเนื้อของตัวเองสาหรับสานักระดับเจ็ดเลยก็ว่าได้ หรือแม้แต่ สานักระดับสองที่พึ่งพิงนิกายกระบี่สวรรค์ ก็ยังถือว่าเป็ นจ านวนเงินมิ น้อยเช่นเดียวกัน
อีกทั้งนักพรตชิงอวิ๋นเองก็รู ้ดีอยู่แก่ใจว่า
ที่ผ่านมาสานักชิงหยางมิถูกกับสานักฉือเซี่ยะและสานักงู ศักดิ์สิทธิ์
มาบัดนี้เขายังบีบบังคับจูหวยเหรินและเจี่ยเจิ้นเคอ ต้องจ่ายสอง พันศิลาวิญญาณให้แก่เขาอีก
เท่ากับว่านับแต่นี้ต่อไป ทั้งสามสานักถือว่าได้แตกหักกันอย่าง แท้จริงแล้ว
แต่เขาก็หาได้สนใจไม่ ขอเพียงอีกสามเดือนให้หลัง เมื่อเย่ฉาง ชิงและชวี่เหวินเซี่ยเข้าไปเป็ นศิษย์สายในของนิกายกระบี่สวรรค์ได้ สาเร็จ เชื่อว่าด้วยคุณสมบัติของทั้งสองคนอาจจะได้รับความสาคัญ จากผู้อาวุโสบางท่านก็เป็ นได้
ถึงตอนนั้นสานักชิงหยางก็จะกลับมารุ่งเรืองดั่งเช่นแต่ก่อนอีก ครั้ง
เช่นนี้แล้วสานักระดับสามเช่นเขา จะไปใส่ใจอะไรกับสานักระดับ เจ็ดแค่สองส านักกัน ?
สิ้นเสียงใบหน้าของจูหวยเหรินก็เต็มไปด้วยความเดือดดาล อด มิได้ที่จะสบตากับเจี่ยเจิ้นเคอเล็กน้อย
หลังจากนิ่งเงียบอยู่สักพัก ทั้งสองคนจึงทาได้เพียงฝื นใจหยิบ ศิลาวิญญาณออกมาจากแหวนเก็บสมบัติคนละหนึ่งพันก้อน
นักพรตชิงอวิ๋นจึงมิพูดอะไรให้มากความอีก เขาเพียงเอ่ย ขอบคุณคนทั้งสอง จากนั้นก็เก็บศิลาวิญญาณสองพันก้อนเข้า แหวนเก็บสมบัติ อย่างมิมีความเกรงใจใด ๆ แม้แต่น้อย
หลังจากนั้นนักพรตชิงอวิ๋นก็เอามือไพล่หลัง ก่อนจะหมุนกาย เดินจากไป ทิ้งเพียงภาพแผ่นหลังอันสง่างาม ให้จูหวยเหรินและเจี่ย เจิ้นเคอดูต่างหน้าเท่านั้น
จูหวยเหรินและเจี่ยเจิ้นเคอจึงทาได้เพียงขบกรามแน่น พลางเดิน ไปที่จวนเจ้าเมืองเช่นกัน
ผ่านไปเกือบครึ่งชั่วยาม
ในที่สุดนักพรตชิงอวิ๋นก็มาถึงหน้าประตูอันหรูหราของจวนเจ้า เมืองเพียงล าพัง
ทว่าเขากลับมิได้รู ้สึกยินดีอะไรนัก
เพราะทุกครั้งที่เขามาเข้าร่วมการประชุมของนิกายกระบี่สวรรค์ ที่จวนเจ้าเมืองแห่งนี้
เจ้าสานักระดับเก้าคนหนึ่งเช่นเขา มิเพียงแต่จะโดนเจ้าสานัก ระดับสูงดูถูกแล้ว แม้แต่คนของจวนเจ้าเมืองเอง ก็ยังมิให้ความเคารพ เขาเช่นกัน
มิเพียงเท่านั้น ตามกฎของนิกายกระบี่สวรรค์
ยามที่เข้าร่วมประชุม เจ้าสานักที่ต่ากว่าสานักระดับห้ามิมีแม้แต่ สิทธิ์ที่จะได้นั่ง ทุกคนจาต้องยืนอยู่ด้านหลังสุดเท่านั้น
อีกทั้งหัวหน้าผู้เฒ่าของนิกายกระบี่สวรรค์ยังชอบวางอานาจอีก ด้วย
เพราะทุกครั้งเขามักจะมาเข้าร่วมการประชุมล่าช ้า ในขณะที่ การประชุมเริ่มไปแล้วครึ่งชั่วยาม หรือนานกว่านั้น
และสิ่งที่ทาให้ทุกคนอดที่จะหยิบยกมานินทามิได้ก็คือ
ในการประชุมทุกครั้ง หัวหน้าผู้เฒ่าเหล่านี้มักจะมิเคยพูดเกินสิบ ประโยคเลยด้วยซ้า
จากนั้นเหล่าสานักต่าง ๆ ที่พึ่งพิงนิกายกระบี่สวรรค์ ก็จะส่งมอบ เครื่องบรรณาการ พร ้อมลงชื่อและประทับตรา
หากสานักไหนมีความคิดเห็นที่ต้องการแจ้ง ก็ให้เขียนใส่ กระดาษแล้วส่งให้จวนเจ้าเมืองตรวจสอบและจัดการตามล าดับ
จากนั้นพวกเขาก็จะสามารถแยกย้ายออกจากจวนเจ้าเมือง หรือ ออกจากเมืองหลานซีเพื่อกลับสานักได้เลย
เช่นนั้นจึงทาให้การประชุมในทุก ๆ ครั้งช่างน่าเบื่ออย่างมาก
จนเวลาผ่านไปอีกหนึ่งชั่วยาม
นักพรตชิงอวิ๋นก็เดินออกมาจากจวนเจ้าเมือง
ก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก พร ้อมหันกลับไปมอง ป้ ายขนาดใหญ่ บนประตูที่อยู่ทางด้านหลังอีกครั้ง
“เชื่อว่าคราหน้าที่ข้ามา พวกเจ้าทุกคนจะต้องมองข้าด้วยสายตา ที่เปลี่ยนไปอย่างแน่นอน”
นักพรตชิงอวิ๋นเผยรอยยิ้มที่มีเลศนัยออกมา ขณะพึมพากับ ตัวเอง
ในเวลาเดียวกันจูหวยเหรินและเจี่ยเจิ้นเคอเอง ก็ได้เดินตาม ออกมาจากจวนเจ้าเมืองเช่นกัน
“เจ้าเฒ่าชิงอวิ๋น เจ้ารอก่อนเถอะแค้นในวันนี้ ข้าจะให้เจ้าชดใช ้ คืนเป็ นสองเท่า ! ”
จูหวยเหรินเอ่ยด้วยสีหน้าดุดัน สายตาเต็มไปด้วยไฟโทสะ
นักพรตชิงอวิ๋นหัวเราะออกมาอย่างมิแยแสว่า “เช่นนั้นข้าจะรอดู ว่าเจ้าสานักจู จะมีความสามารถอย่างที่พูดจริงหรือไม่”
เจี่ยเจิ้นเคอดวงตาพลันมีไอสังหารแวบผ่าน พลางเอ่ยด้วย ใบหน้าบึ้งตึงว่า “พี่ชิงอวิ๋น ภายภาคหน้ายังอีกยาวไกลนัก”
นักพรตชิงอวิ๋นยังคงมีใบหน้าเรียบนิ่งเช่นเดิม พลางส่ายหน้าไป มายิ้ม ๆ ก่อนจะหมุนตัวจากไป
ต่อจากนั้นนักพรตชิงอวิ๋นก็มิได้เดินในเมืองหลานซีต่อ แต่กลับ เดินออกจากเมืองหลานซีแล้วเหาะขึ้นฟ้ าไปทันที
จูหวยเหรินและเจี่ยเจิ้นเคอเป็ นคนเช่นไร
เขาเองย่อมรู ้ดีอยู่แก่ใจ
สองคนนั้นแม้จะแพ้พนัน แต่เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงศิลาวิญญาณสอง พันก้อน รวมทั้งกระบี่จื่อชิงมูลค่าหมื่นศิลาวิญญาณบนตัวของเขา
หากพวกเขาสองคนมิพอใจขึ้นมา แล้วดักปล้นเขาระหว่างทาง
ถึงตอนนั้น คงมิใช่แค่ศิลาวิญญาณหนึ่งหมื่นหรือสองหมื่นอีก แล้ว แต่จะเป็ นศิลาวิญญาณจ านวนมากถึงล้านก้อน
เช่นนั้นเพื่อป้ องกันเรื่องมิคาดฝัน
เขาจึงมิอาจหยุดพักได้ จ าต้องรีบกลับส านักชิงหยางโดยเร็ว ที่สุด
ใช ้เวลาหลายชั่วยาม
จนเมื่อตะวันตกดิน หมู่เมฆายามพลบค่าทอแสงแดงฉาน
ในที่สุดนักพรตชิงอวิ๋นที่เหงื่อไหลโทรมกาย สีหน้าเริ่มซีดเผือด ก็มาถึงตีนเขาอวิ๋นชาง
ทว่าเมื่อเขามาถึงตีนเขาอวิ๋นชาง ก็ได้พบว่าเขาอวิ๋นชางเวลานี้ เกิดการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก
เมื่อเห็นปราณวิญญาณฟ้ าดินโดยรอบเขาอวิ๋นชางนั้นเข้มข้น ขึ้น เมฆหมอกที่ปกคลุมเขาอวิ๋นชางเอาไว้ก็ดูหนาแน่นกว่าเดิม อีก
ทั้งต้นไม้และพรรณพืชมากมายยังดูเขียวชอุ่มมีชีวิตชีวาอย่างมาก อีกด้วย
เมื่อทอดมองออกไปราวกับยอดเขาเซียน ที่ตั้งตระหง่านอยู่ใน ส่วนลึกของเมฆหมอก
แต่สิ่งที่น่าเหลือเชื่อมากที่สุดก็คือ
ส่วนลึกของเขาอวิ๋นชาง บัดนี้กลับมีแสงเปล่งประกายแวววาว ออกมาตลอดเวลาอีกด้วย
ส่วนรอบ ๆ ก็มีไอสังหารอันน่าสะพรึงกลัวแผ่ออกมา ราวกับมี ค่ายกลสังหารโบราณปกคลุมไปทั่วทั้งเขาอวิ๋นชาง
ทาให้นักพรตชิงอวิ๋นมิกล้าก้าวเดินต่อแม้แต่ครึ่งก้าว
‘นี่มันเกิดอะไรกันขึ้น ? ’
‘หรือว่าสานักชิงหยางเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรขึ้นงั้นหรือ ? ’
‘หรือว่าจะถูกผู้แข็งแกร่งบางคนยึดครองไปแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ? ’
คิดถึงตรงนี้นักพรตชิงอวิ๋นพลันมีสีหน้าเปลี่ยนไป ก่อนจะสูดลม หายใจเข้าอย่างหวาดหวั่น
“ฉางชิงและเหวินเซี่ยยังอยู่บนเขา พวกเขาสองคนคงมิเป็ นอะไร ไปหรอกกระมัง ? ”
นักพรตชิงอวิ๋นขมวดคิ้วแน่น พลางพึมพาออกมาอย่างอดมิได้ “หากพวกเขาสองคนเกิดเป็ นอะไรไป ส านักชิงหยางของข้าคงมิอาจ กลับมารุ่งเรืองได้อีกแล้ว ! ”
“มิได้ ต่อให้ข้าต้องสู้จนตัวตาย ก็จะปล่อยให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้น มิได้เด็ดขาด ! ”
เอ่ยเพียงเท่านั้น นักพรตชิงอวิ๋นก็ได้ทาการกระตุ้นพลังวิญญาณ ภายในร่างออกมาอย่างรุนแรง
ทันใดนั้นผมอันขาวโพลนของเขาก็เริ่มปลิวไสว รอบกายมีแสง เปล่งประกายลาง ๆ ไอพลังระดับแดนก่อก าเนิดระเบิดออกมาภายใน พริบตา
ต่อให้ต้องสู้จนตัวตาย เขาก็ต้องบุกเข้าไปในค่ายกลสังหารนี้ให้ ได้
“ย๊าก ! ”
นักพรตชิงอวิ๋นคารามออกมา มือทั้งสองข้างทาท่ามุทราอย่าง รวดเร็ว จนพลังฟ้ าดินรอบกายปะทุขึ้นมาอย่างรุนแรง
ทว่าในตอนนั้นเอง จู่ ๆ ก็เสียง ๆ หนึ่งดังขึ้นมา
“อาจารย์ ? ”
ทันทีที่สิ้นเสียง ก็เห็นร่างสูงเพรียวร่างหนึ่งโผล่ออกมาจากป่าอัน เขียวชอุ่ม ด้านหนึ่งของค่ายกลสังหาร
คนผู้นั้นก็คือศิษย์คนที่สามของสานักชิงหยาง
ลู่ซานหยาง
เมื่อลู่ซานหยางเห็นนักพรตชิงอวิ๋นทาท่าต่อสู้กับความว่างเปล่า ถึงขนาดยอมเอาชีวิตเข้าแลกก็ว่าได้ ใบหน้าอันหล่อเหลาพลันเต็ม ไปด้วยสีหน้าฉงน
“อาจารย์ ท่านเป็ นอะไรไปหรือขอรับ ? ”
ลู่ซานหยางกระพริบตาปริบ ๆ ก่อนจะถามขึ้นด้วยความสงสัย
นักพรตชิงอวิ๋นมีสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย ก่อนจะตะคอกออกมา เสียงดัง “ซานหยาง เจ้าบอกความจริงกับข้ามา ส านักชิงหยางเกิด อะไรขึ้นกันแน่ ! ”
ทันทีที่สิ้นเสียง ลู่ซานหยางก็อดมิได้ที่จะเกาท้ายทอย พลาง พิจารณานักพรตชิงอวิ๋นอีกครั้งด้วยสายตางุนงง