เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน - ตอนที่ 377 แผนการของนักพรตชิงอวิ๋น
อีกด้านหนึ่ง
หลี่ซิวหยวนที่เข้าฌานมาหลายวัน
หลังจากมีแสงกระบี่สีทองอันเจิดจ้าสายหนึ่งพุ่งขึ้นมา
ในที่สุดเขาก็เดินออกมาจากเรือนที่พักของตัวเอง
“แดนสร ้างแก่น ในที่สุดข้าหลี่ซิวหยวนก็เข้าสู่แดนสร ้างแก่น ส าเร็จแล้ว ! ”
หลี่ซิวหยวนเอ่ยขึ้นด้วยใบหน้าแฝงรอยยิ้มยินดี
ตอนนั้นเองลู่ซานหยางรวมทั้งศิษย์น้องคนอื่น ๆ ที่ได้รู ้ข่าวต่างก็ รีบมาหาเขาในทันที
“ศิษย์พี่ใหญ่ ยินดีด้วยขอรับ/ยินดีด้วยเจ้าค่ะ ! ”
ลู่ซานหยางโค้งคานับให้แก่หลี่ซิวหยวน
“ศิษย์พี่ใหญ่ ยินดีด้วยในที่สุดท่านก็เข้าสู่แดนสร ้างแก่นได้ ส าเร็จแล้ว ! ”
คนที่เหลือที่ตามมา ก็ต่างเอ่ยคายินดีกับหลี่ซิวหยวน เช่นเดียวกัน
“ศิษย์น้องทุกท่าน พวกเจ้าก็มิต้องกังวลไป ข้าเชื่อว่าพวกเจ้าเอง ก็จะสามารถเข้าสู่แดนสร ้างแก่นได้ในอีกมินานนี้อย่างแน่นอน”
หลี่ซิวหยวนกวาดตามองบรรดาศิษย์น้อง พร ้อมเอ่ยให้กาลังใจ ไปด้วย
แน่นอนว่าเขาทาได้เพียงเอ่ยให้กาลังใจเท่านั้น เพราะหลี่ซิว หยวนรู ้ดีว่าแม้รากวิญญาณของเขาจะเกิดการพัฒนาขึ้นทั้งธาตุและ
คุณภาพ แต่หากดูตามความเร็วการบ าเพ็ญเพียรแบบเดิมแล้ว การ จะเข้าสู่แดนสร ้างแก่นได้ส าเร็จ อย่างน้อยก็ต้องใช ้เวลาเป็ นปี ๆ
และการที่เขาสามารถเข้าสู่แดนสร ้างแก่นได้สาเร็จในวันนี้ ล้วน เป็ นเพราะสุราชิงอี่ของชวี่เหวินเซี่ยจอกนั้น
เพราะเพียงแค่ดื่มสุราชิงอี่จอกนั้น ก็ทาให้คนเมามายจนหมดสติ ไปได้อย่างรวดเร็ว
แต่เมื่อฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง จิตวิญญาณและร่างกายของตนเองก็ ราวกับได้รับการบารุงจากน้าศักดิ์สิทธิ์บางอย่าง ทาให้รู ้สึกปลอด โปร่งและสดชื่นขึ้น
เมื่อบาเพ็ญเพียรยังสามารถก้าวหน้าขึ้นอย่างรวดเร็วอีกด้วย
แค่คิดก็รู ้แล้วว่าสุราชิงอี่จอกนั้นน่าอัศจรรย์เพียงใด
คิดถึงตรงนี้ หลี่ซิวหยวนก็ลอบกลืนน้าลายลงคออย่างอดมิได้
หากได้ดื่มสุราชิงอี่นั่นอีกสักจอก จะดีเพียงใดกันนะ !
“ศิษย์พี่ใหญ่ การเข้าสู่แดนสร ้างแก่นความรู ้สึกเป็ นเช่นไรหรือ เจ้าคะ ? ”
จื่อเหยากระพริบตาปริบ ๆ ขณะเอ่ยถามด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วย ความอิจฉา
หลี่ซิวหยวนจึงได้สติขึ้นมา ก่อนจะยิ้มออกมาอย่างมีเลศนัย “มัน ยอดเยี่ยมมากจริง ๆ หรืออีกนัยหนึ่งอาจกล่าวได้ว่าการเข้าสู่แดน สร ้างแก่น คือการเริ่มต้นการบาเพ็ญเพียรอย่างแท้จริงก็ว่าได้”
จื่อเหยาขมวดคิ้วเบา ๆ พร ้อมกับส่ายหน้าไปมาอย่างมิเข้าใจ
ในตอนนั้นเองนักพรตชิงอวิ๋นก็เหาะเข้ามาพอดี ก่อนจะโรยตัวลง ข้างกายของหลี่ซิวหยวน
“อาจารย์ หลังจากบาเพ็ญเพียรอย่างยากลาบากในช่วงที่ผ่าน มา ในที่สุดศิษย์ก็เข้าสู่แดนสร ้างแก่นได้สาเร็จแล้วขอรับ”
เมื่อเห็นนักพรตชิงอวิ๋นปรากฏตัวขึ้น หลี่ซิวหยวนก็เอ่ยขึ้นอย่าง ยินดีในทันที
ทว่านักพรตชิงอวิ๋นเพียงแค่พยักหน้าเบา ๆ ก่อนจะเอ่ยกับคนที่ เหลือว่า “พวกเจ้าแยกย้ายกันไปได้แล้ว อาจารย์มีเรื่องจะปรึกษากับ ซิวหยวน”
สิ้นเสียงพวกลู่ซานหยางก็สบตากันเล็กน้อย ก่อนจะคานับแล้ว ทยอยจากไป
“อาจารย์ เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือขอรับ ? ”
หลังจากทุกคนจากไปแล้ว หลี่ซิวหยวนก็ได้เอ่ยถามขึ้น
นักพรตชิงอวิ๋นจึงมิอ้อมค้อมใด ๆ พร ้อมเอ่ยเข้าประเด็นว่า “ซิว หยวน นับแต่นี้ไปจนกว่าการทดสอบของนิกายกระบี่สวรรค์จะเริ่มขึ้น ข้าขอสั่งให้เจ้าอยู่ที่ด้านหลังเขาห้ามไปไหนแม้เพียงครึ่งก้าว”
“อาจารย์ ท่านจะท าอะไรหรือขอรับ ? ”
หลี่ซิวหยวนเอ่ยถามด้วยใบหน้าสงสัย “วันนี้ศิษย์เพิ่งจะเข้าสู่ แดนสร ้างแก่น ต่อจากนี้ต้องใช ้เวลาอีกมากในการทาให้ตบะบารมี นั้นมั่นคง มิเช่นนั้นหากเกิดปัญหาใด ๆ ขึ้นระหว่างนี้ เกรงว่าจะส่งผล กระทบต่อการบ าเพ็ญเพียรในภายภาคหน้าก็เป็ นได้นะขอรับ”
“อีกอย่างคุณสมบัติในการฝึกเซียนของศิษย์น้องเย่เป็ นเช่นไร คิดว่าท่านคงจะทราบดียิ่งกว่าใคร การอยู่ข้างกายศิษย์น้องเย่ส าหรับ ตัวศิษย์แล้ว ทุกวันราวกับเป็ นความทรมานอย่างหนึ่งเลยนะขอรับ”
ได้ยินเช่นนั้น
“ซิวหยวน การบ าเพ็ญเพียรของเจ้าย่อมส าคัญ แต่เจ้าเคยคิด หรือไม่ว่าการที่เจ้าสามารถเข้าสู่แดนสร ้างแก่นได้นั้น แท้จริงแล้วเป็ น เพราะเหตุใด ? ”
นักพรตชิงอวิ๋นพยักหน้าเห็นด้วย ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงจริงจังว่า “และต้องยอมรับว่าการอยู่ต่อหน้าผู้ที่เก่งกาจเช่นฉางชิงนั้น สาหรับ เจ้าแล้วถือเป็ นความทรมานอย่างหนึ่งจริง ๆ แต่ก็เป็ นการฝึกตนเอง อย่างหนึ่งด้วยมิใช่หรือ ? ”
หลี่ซิวหยวนเม้มริมฝี ปากเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยอย่างแน่วแน่ว่า “อาจารย์ ที่ท่านพูดมานั้นมีเหตุผลอย่างมาก แต่ศิษย์มิอยากอยู่ที่ ด้านหลังเขาจริง ๆ ขอรับ ยิ่งไปกว่านั้นก่อนจะถึงการทดสอบของ นิกายกระบี่สวรรค์ ยังเหลือเวลาอีกกว่าสามเดือนเลยนะขอรับ”
นักพรตชิงอวิ๋นปรายตามองหลี่ซิวหยวน ก่อนจะเอ่ยถามประโยค ที่ท าให้คนฟังตกตะลึงว่า “ซิวหยวน เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่าบางทีส านัก ชิงหยางของเรา สักวันหนึ่งอาจกลายเป็ นสานักเซียนใหญ่อันดับที่ห้า ของหลิงโจวก็เป็ นได้ ? ”
“ห๊ะ ? ”
หลี่ซิวหยวนได้ยินเช่นนั้นก็มีสีหน้าเปลี่ยนไป ก่อนจะเอ่ยถาม นักพรตชิงอวิ๋นอย่างสงสัยว่า “อาจารย์ ท่านพูดจริงหรือขอรับ ? ”
แค่สานักระดับเก้าสานักหนึ่ง กลับคิดที่จะขึ้นเป็ นสานักเซียน ใหญ่อันดับที่ห้าของหลิงโจว ?
นี่มันเป็ นไปมิได้เด็ดขาด !
คากล่าวเช่นนี้หากเป็ นตอนที่หลี่ซิวหยวนเพิ่งจะเข้ามาในสานัก ชิงหยางล่ะก็ บางทีเขาอาจจะเชื่อไปแล้วก็ได้
เขาในตอนนั้นก็เหมือนเย่ฉางชิงในตอนนี้ ที่เข้าใจผิดคิดว่า สานักชิงหยางเป็ นสานักเซียนลึกลับอะไรนั่น
แต่เมื่อเขาค่อย ๆ เข้าใจถึงการแบ่งอานาจในหลิงโจว รวมทั้ง อานาจของนิกายกระบี่สวรรค์ จึงได้เข้าใจว่าสานักชิงหยางแท้จริง แล้วเป็ นส านักเช่นไร
แน่นอนว่าที่สาคัญก็คือเพราะตัวเขาเองนั้นไร ้ซึ่งความสามารถ จริง ๆ มิเช่นนั้นเขาคงไปจากสานักชิงหยางตั้งนานแล้ว
แต่บัดนี้นักพรตชิงอวิ๋นกลับพูดว่าจะทาให้สานักชิงหยาง กลายเป็ นสานักเซียนใหญ่อันดับที่ห้าของหลิงโจว ?
‘นี่เป็ นเพราะอาจารย์รู ้สึกผิดจนเสียสติไปแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ? ’
‘หรือว่าข้าฟังผิดไปกันแน่ ? ’
เมื่อเห็นสีหน้าหลี่ซิวหยวนเต็มไปด้วยความสงสัย นักพรต ชิงอวิ๋นก็ยิ้มออกมา จากนั้นจึงเพ่งสมาธิ
วินาทีต่อมา ร่างของนักพรตชิงอวิ๋นก็ระเบิดไอพลังอันแข็งแกร่ง และลุกโชนออกมา ขณะเดียวกันรอบกายก็เกิดล าแสงไหลเวียน ราว กับมีเปลวไฟอันเจิดจ้าก าลังแผดเผาอยู่ในกายด้วย
ทันทีที่เห็นภาพตรงหน้า หลี่ซิวหยวนพลันนิ่งงัน ใบหน้าเต็มไป ด้วยความตื่นตระหนก
ด้วยระดับตบะบารมีของเขาในตอนนี้แม้จะยังมิสามารถเข้าใจได้ ว่าแท้จริงแล้วร่างกายของอาจารย์เกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรขึ้นกันแน่ แต่ที่เขามั่นใจก็คือบัดนี้อาจารย์ช่างแข็งแกร่งยิ่งนัก
อีกทั้งยังแข็งแกร่งขึ้นอย่างมากอีกด้วย !
“อาจารย์ หรือว่าท่านเองก็ได้รับวาสนาอันยิ่งใหญ่ มาจากศิษย์ น้องเย่เยี่ยงนั้นหรือขอรับ ? ”
หลี่ซิวหยวนเอ่ยถามขึ้นด้วยความตกใจ
“ตอนนี้เจ้ายังมีตบะบารมีเพียงแดนสร ้างแก่น บางทีอาจจะยังมิ เข้าใจถึงการเปลี่ยนแปลงของอาจารย์ในตอนนี้”
นักพรตชิงอวิ๋นพยักหน้าน้อย ๆ ก่อนจะหลับตาลง “อาจารย์จะ บอกให้เจ้ารู ้ว่า ด้วยคุณสมบัติของอาจารย์ในตอนนี้ แม้แต่ตัว อาจารย์เองก็มิสามารถประเมินได้เช่นกัน ว่าความส าเร็จในภายภาค หน้าจะสูงส่งเพียงใด”
สิ้นเสียง
“อาจารย์ แต่ว่าศิษย์ก็ยังมิเข้าใจอยู่ดี”
หลี่ซิวหยวนนิ่งเงียบไปสักพัก จึงเอ่ยออกมาว่า “ด้วยคุณสมบัติ อันไร ้เทียมทานของศิษย์น้องเย่ ศิษย์มิสามารถสอนอันใดให้เขาได้ อีกแล้ว ต่อให้อยู่ที่นั่นก็มิเกิดประโยชน์ใด ๆ อยู่ดี”
นักพรตชิงอวิ๋นจึงโบกมือไปมา และเอ่ยด้วยความมั่นใจว่า “ซิว หยวน เจ้าเข้าใจผิดแล้ว ครานี้อาจารย์มิได้ให้เจ้าไปสอนฉางชิง
บาเพ็ญเพียร แต่ให้เจ้าไปบันทึกเกี่ยวกับคาพูดและความเข้าใจของ ฉางชิงทั้งหมด”
หลี่ซิวหยวนได้แต่กระพริบตาปริบ ๆ พลางเอ่ยอย่างสงสัยว่า “อาจารย์ จ าเป็ นด้วยหรือขอรับ ? ”
“จ าเป็ น จ าเป็ นอย่างมาก ! ”
นักพรตชิงอวิ๋นเอ่ยอย่างหนักแน่น “อีกทั้งเจ้าเป็ นถึงศิษย์เอก ของสานักชิงหยาง เป็ นผู้สืบทอดสานักชิงหยางในภายภาคหน้า เรื่อง บางเรื่องอาจารย์ก็มิมีความจาเป็ นที่จะต้องปิดบังเจ้าอีกแล้ว”
“ความจริงแล้วตัวตนของฉางชิงนั้น หาใช่ผู้ที่เราจะคาดเดาได้ไม่ และมิใช่ผู้ที่ข้าจะคาดเดาได้เช่นกัน เช่นนั้นคาพูดและความเข้าใจ ของฉางชิง ย่อมต้องมีประโยชน์ต่ออนาคตของส านักชิงหยางของเรา อย่างแน่นอน”
……………………
จนเวลาผ่านไปเกือบหนึ่งชั่วยาม
ในที่สุดหลี่ซิวหยวนก็ยอมอ่อนข้อลงแบบคนละครึ่งทาง
ทว่าภายใต้การยืนกรานของหลี่ซิวหยวน
นักพรตชิงอวิ๋นเองก็ต้องยอมรับเงื่อนไขของเขาด้วยเช่นเดียวกัน
ทุกวันเขาจะไปที่เขาด้านหลัง และบันทึกคาพูดและความเข้าใจ ของเย่ฉางชิง
แต่หลังจากฟ้ ามืด เขาจะกลับมาสานักชิงหยางเพื่อเสริมตบะ บารมีของตนให้มั่นคง และจะคอยบันทึกสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดในช่วง กลางวันเท่านั้น
มินานหลังจากหลี่ซิวหยวนจากไปแล้ว
นักพรตชิงอวิ๋นก็ลูบหนวดของตัวเอง พร ้อมกับเอ่ยอย่างมั่นใจว่า “สานักเซียนใหญ่อันดับห้าของหลิงโจว สาหรับข้าในตอนนี้แล้วหา ได้ไกลเกินจะไขว่คว้าไม่”