เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน - ตอนที่ 390 แผนการของขงซิงเจี้ยน
หลังจากนิ่งเงียบอยู่สักพัก เมื่อขงซิงเจี้ยนหันไปมองภาพอักษร
พู่กัน ที่วางอยู่บนโต๊ะยาวด้านหน้าอีกครั้ง
สีหน้าอึมครึมของเขาพลันมลายหายไปในทันที
ต้องยอมรับว่าแม้การมาเยือนเมืองกระบี่สวรรค์ของเย่ฉางชิง ทา
ให้เขาอดรู ้สึกที่จะหวาดกลัวมิได้
แต่สาหรับเขาแล้ว ภาพอักษรพู่กันภาพนี้ มิต่างอะไรกับโอกาส
และวาสนาครั้งใหญ่เลยก็ว่าได้
อย่าว่าแต่ 10,000 ศิลาวิญญาณเลย ต่อให้เรียกสูงถึง
1,000,000 ศิลาวิญญาณ เขาก็จะมิต่อรองแม้แต่นิดเดียว“มีภาพอักษรพู่กันภาพนี้ มิแน่ ข้าอาจจะสามารถทะลวง
พันธนาการที่ชะงักอยู่ได้อีกครา และความแตกฉานในวิถีกระบี่ก็จะ
พัฒนาเพิ่มขึ้นไปอีก ! ”
ใบหน้าของขงซิงเจี้ยนแฝงไว้ด้วยรอยยิ้มยินดี ขณะเอ่ยพลางลูบ
หนวดของตนเอง
จากนั้นเขาก็เก็บภาพอักษรพู่กันของเย่ฉางชิงอย่างระมัดระวัง
ก่อนนะปิดประตูร ้านและจากไปอย่างรีบร ้อน
ผ่านไปครึ่งชั่วยาม
ขงซิงเจี้ยนกลับมาที่ใจกลางเมืองกระบี่สวรรค์อีกครั้ง ก่อนจะก้าว
เข้าไปในหอแห่งหนึ่ง ที่มีนามว่า หอเจี๋ยอิน ด้วยความคุ้นเคย
มินานหลังจากที่ขงซิงเจี้ยนปรากฎตัวขึ้น บุรุษและสตรีที่ยืน
ตามที่ต่าง ๆ ก็ทยอยโค้งคานับ อย่างเคารพนอบน้อมในทันที“คารวะศิษย์พี่ขง”
ขงซิงเจี้ยนโบกมืออย่างมิใส่ใจ ก่อนจะเอ่ยถามว่า “ศิษย์พี่หนิง
ของพวกเจ้าอยู่ด้านบนหรือไม่ ? ”
ทันทีที่สิ้นเสียง บุรุษและสตรีกลุ่มนั้นก็ลอบส่งสายตาสื่อสารกัน
แต่กลับมิมีใครตอบเขาแม้แต่คนเดียว
ทว่ามิกี่อึดใจต่อมา
เสียงอันเย็นชาและเต็มไปด้วยความน่าเกรงขามเสียงหนึ่งก็ดัง
ขึ้นภายในโถงแห่งนั้น
“ศิษย์พี่ขง ท่านมาหาข้ามีเรื่องอันใดเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
ขงซิงเจี้ยนยิ้มออกมาทันที ก่อนจะหายวับไปในอากาศวินาทีต่อมา ขงซิงเจี้ยนก็ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง ยังชั้นบนสุดของ
หอเจี๋ยอิน
ที่นี่ถูกตกแต่งอย่างวิจิตรบรรจง ม่านไข่มุกห้อยระย้า ฉากกั้น
ละเอียดประณีต กระถางก ายานมีควันสีม่วงลอยออกมา เป็ น
บรรยากาศที่งดงามและเงียบสงบเป็ นอย่างมาก
อีกทั้งเมื่อออกไปยืนอยู่หน้าราวกั้น จะสามารถมองเห็นทุกสิ่ง ใน
เมืองกระบี่สวรรค์ได้ทั้งหมด
เวลานี้ร่างงามระหงที่มีผิวพรรณขาวผุดผ่อง ผมยาวสลวยราว
กับเกลียวคลื่น กาลังอยู่หน้าราวกั้นและหันหลังให้กับขงซิงเจี้ยน
เห็นเช่นนั้นขงซิงเจี้ยนก็หัวเราะออกมา “ศิษย์น้องหนิง เมือง
กระบี่สวรรค์ใกล้จะปิดแล้ว มีศิษย์ที่เจ้าพอใจปรากฏตัวขึ้นบ้างหรือไม่
? ”ทันทีที่สิ้นเสียง ร่างงามระหงร่างนั้นก็ค่อย ๆ หมุนตัวกลับมา เผย
ให้เห็นใบหน้าอันงดงามอย่างไร ้ที่เปรียบ ทว่ากลับเย็นชาราวกับ
น้าแข็ง
คิ้วโก่งได้รูป ดั้งโด่งเป็ นสัน ริมฝีปากแดงเรื่อ ช่างงามอย่างไร ้ที่
เปรียบจริง ๆ
ทว่านางเพียงแค่กวาดตามองขงซิงเจี้ยนเล็กน้อย และมิได้เอ่ยสิ่ง
ใดออกมา
“ศิษย์น้องหนิง เจ้ามิต้องมองข้าด้วยสายตาเช่นนั้นหรอก”
ขงซิงเจี้ยนเอ่ยต่อด้วยรอยยิ้ม “แม้ว่าคนทั้งโลกจะรู ้ว่านิกายกระบี่
สวรรค์ของเรามิได้สืบทอดเพียงวิถีกระบี่ แต่เยี่ยงไรเสียวิถีกระบี่ก็ถือ
เป็ นวิถีหลักอยู่ดี”
“อีกทั้งศิษย์ที่มาเข้าร่วมการทดสอบ ล้วนมาจากสานักน้อยใหญ่
ที่พึ่งพิงนิกายกระบี่สวรรค์ นอกจากสานักที่อยู่อันดับต้น ๆ และมีความสามารถที่มิเลวแล้ว ก็มีเพียงสานักท้าย ๆ เท่านั้น ที่จะได้รับ
อนุญาตให้ศิษย์บาเพ็ญเพียรวิถีอื่นได้”
ทันทีที่สิ้นเสียง บรรพจารย์แห่งนิกายกระบี่สวรรค์ ที่แม้มีอายุนับ
พันปีแต่ยังดูสาวและงดงามท่านนี้ ก็เหมือนจะทนมิไหวอีกต่อไป
“ศิษย์พี่ขง วันนี้ที่ท่านมาที่นี่ เพียงเพื่อต้องการจะตัดกาลังใจข้า
แค่นั้นหรอกหรือ ? ”
หนิงซู่ซู่เอ่ยถามขงซิงเจี้ยนเสียงเย็น “หรือว่าท่านเกิดการบรรลุ
ในวิถีกระบี่เพิ่ม แล้วต้องการจะมาประลองกับข้าเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
เอ่ยเพียงเท่านั้นหนิงซู่ซู่ก็ระเบิดพลังอันน่ากลัวออกมาในทันที
ทาให้ห้วงอากาศโดยรอบเกิดการบิดเบี้ยวขึ้นในพริบตา
เห็นเช่นนั้นขงซิงเจี้ยนก็มีสีหน้าเปลี่ยนไป อดมิได้ที่จะกลืน
น้าลายลงคออึกใหญ่ศิษย์น้องหนิงผู้นี้มีนิสัยเป็ นเช่นไร
เขาย่อมรู ้ดีอยู่แก่ใจ
นางถือเป็ นตัวร ้ายเลยก็ว่าได้
หากกล้าล่วงเกินศิษย์น้องหนิง ต่อให้เขาที่มีฐานะเป็ นถึงศิษย์พี่
ก็มิอาจที่เลี่ยงการต่อสู้กับนางก็ได้
แต่สิ่งสาคัญที่สุดก็คือ พลังของหนิงซู่ซู่นั้นช่างน่ากลัวยิ่งนัก
อย่าว่าแต่นิกายกระบี่สวรรค์เลย แม้แต่สี่สานักใหญ่ของหลิงโจว
ผู้ที่สามารถต่อกรกับนางได้อย่างสูสีก็มีเพียงมิกี่คนเท่านั้น
หลังจากนิ่งเงียบอยู่สักพัก ขงซิงเจี้ยนก็ยิ้มกว้างออกมา พร ้อม
กับรีบโบกมือปฏิเสธในทันที “ศิษย์น้องหนิง วันนี้ที่ข้ามามิใช่จะมาหา
เรื่องใส่ตัว แต่มาเพื่อจะแนะนาศิษย์คนหนึ่งให้กับเจ้าต่างหากเล่า”“แน่นอนว่าแนะนาศิษย์ก็เรื่องหนึ่ง แต่ข้าก็มีเรื่องที่ต้องการ
ปรึกษาเจ้าด้วย”
เอ่ยเพียงเท่านั้นขงซิงเจี้ยนก็มิเก็บงาใด ๆ ก่อนจะเพ่งสมาธิและ
หยิบภาพอักษรพู่กันของเย่ฉางชิงออกมาจากแหวนเก็บสมบัติ
หนิงซู่ซู่รู ้สึกหวั่นไหวขึ้นมาเล็กน้อย มือเรียวสวยสะบัดเบา ๆ
ห้วงอากาศพลันเกิดระลอกคลื่นขึ้นเป็ นชั้น ๆ
วินาทีต่อมาอักษรพู่กันในมือขงซิงเจี้ยนก็ราวกับหายไปใน
อากาศ ก่อนจะมาปรากฏขึ้นอีกครั้งในมือของหนิงซู่ซู่
“หืม ? ”
เหมือนสัมผัสได้ถึงเจตจานงที่แท้จริงของกระบี่ ที่แฝงอยู่ใน
ภาพอักษรพู่กันสีหน้าของหนิงซู่ซู่ก็เปลี่ยนไป อดมิได้ที่จะเผยสีหน้าสงสัย
ออกมา
“ศิษย์พี่ขง หรือว่าอักษรพู่กันภาพนี้มาจากยอดฝีมือที่ไร ้เทียม
ทาน ที่ท่านเอ่ยถึงเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
หนิงซู่ซู่ขมวดคิ้วน้อย ๆ ก่อนจะค่อย ๆ กางภาพอักษรพู่กันออก
ทันใดนั้นไอพลังวิถีกระบี่อันน่าสะพรึงกลัวจานวนมหาศาล พลัน
พลุ่งพล่านออกมา แทบจะปกคลุมไปทั่วทั้งชั้นบนสุด เอาไว้ภายใน
พริบตา
“มิใช่สิ ! ”
ผ่านไปชั่วอึดใจหนิงซู่ซู่เอ่ยก็รีบปฏิเสธออกมาในทันที “อักษรพู่กันภาพนี้มิ
เหมือนกับภาพอักษรพู่กันภาพนั้นของท่านนี่นา มิว่าจะเป็ นความ
แตกฉานในวิถีกระบี่หรือว่าอักษรพู่กัน ล้วนเหนือกว่ามาก”
ขงซิงเจี้ยนพยักหน้าอย่างเห็นด้วย ก่อนจะเอ่ยต่ออีกว่า “ศิษย์
น้องหนิง เจ้ารู ้หรือไม่ว่าอักษรพู่กันในมือของเจ้านั้น มาจากหนึ่งใน
ศิษย์มากมาย ที่มาเข้าร่วมการทดสอบในครานี้ ? ”
ได้ยินเช่นนั้นบนใบหน้าอันงดงามของหนิงซู่ซู่ ก็เผยสีหน้า
เคร่งเครียดอย่างที่มิเคยเป็ นมาก่อน
“จากอักษรพู่กันภาพนี้สามารถรู ้ได้ทันทีว่า ความแตกฉานในวิถี
กระบี่ของคนผู้นี้อยู่ในระดับที่น่าสะพรึงกลัวเพียงใด ผู้แข็งแกร่งเช่นนี้
เกรงว่าแม้แต่ข้าก็มิอาจจะสู้ได้”
หนิงซู่ซู่เม้มริมฝีปากของตัวเองเบา ๆ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองขง
ซิงเจี้ยน “อีกอย่างในเมื่อเจ้าเป็ นคนนาอักษรพู่กันภาพนี้มา แสดงว่า
คงได้พบหน้าคนผู้นี้แล้วกระมัง ? ”“เรียนศิษย์น้องหนิงตามตรง ข้าได้พบคนผู้นี้มาแล้วจริง ๆ ”
รอยยิ้มบนใบหน้าของขงซิงเจี้ยนค่อย ๆ จางลง พร ้อมกับเอ่ย
ด้วยน้าเสียงจริงจังว่า “แต่คนผู้นี้ดูเหมือนจะผนึกความทรงจาและตบะ
บารมีของตัวเองเอาไว้ จากนั้นก็มายังสวรรค์บูรพา เพื่อที่จะเริ่มต้น
การบ าเพ็ญเพียรใหม่อีกครั้ง”
“หรือว่าตอนที่ทะลวงระดับในตานาน เขาได้พบกับพันธนาการ
บางอย่างเข้า จึงต้องการหาโอกาสในการบรรลุ จากการเริ่มต้นการ
บาเพ็ญเพียรอีกครั้ง”
หนิงซู่ซู่ครุ่นคิดอยู่สักพัก ก่อนจะพยักหน้าเห็นด้วย
เรื่องนี้มีความเป็ นไปได้มากจริง ๆ
เพราะในหอเก็บต าราของนิกายกระบี่สวรรค์ ก็มีบันทึกเรื่อง
เช่นนี้อยู่เหมือนกันเมื่อหลายหมื่นปีก่อน ประมุขคนแรกของนิกายกระบี่สวรรค์ได้นั่ง
สมาธิมาเป็ นพัน ๆ ปี แต่มิว่าเยี่ยงไรก็มิสามารถบรรลุระดับสุขาวดีได้
สุดท้ายด้วยความจนปัญญา จึงจ าต้องผนึกความทรงจ าและตบะ
บารมีของตนเอง เพื่อกลับไปสัมผัสเส้นทางการบาเพ็ญเพียรใหม่
ตั้งแต่ต้นจนจบอีกครั้ง
จึงได้เกิดการบรรลุและอัญเชิญทัณฑ์สวรรค์อันประมาณมิได้
และขึ้นไปสู่แดนเซียนโบราณได้สาเร็จ
ทว่าผู้ที่เขียนอักษรพู่กันภาพนี้ แท้จริงแล้วเป็ นใครกันแน่ ?
นางมีตบะบารมีระดับเซียนขั้นกลางแล้ว แต่เมื่อสัมผัสได้ถึง
เจตจานงที่แท้จริงของกระบี่ ที่แฝงอยู่ภายในอักษรพู่กันภาพนี้ กลับ
ยังอดมิได้ที่จะรู ้สึกใจสั่นขึ้นมา
แค่คิดก็รู ้แล้วว่าสิ่งนี้หมายความเช่นไร !เช่นนั้นนางจึงอดมิได้ที่จะรู ้สึกกังวลใจเช่นเดียวกับขงซิงเจี้ยน
คนผู้นี้หากได้บาเพ็ญเพียรอยู่ที่นิกายกระบี่สวรรค์ มิรู ้ว่าจะเป็ น
ผลดีหรือผลร ้ายต่อนิกายกระบี่สวรรค์กันแน่
คิดได้เช่นนั้นหนิงซู่ซู่จึงเอ่ยกับขงซิงเจี้ยน ด้วยน้าเสียงจริงจังว่า
“ศิษย์พี่ขง ที่ท่านมาในครานี้คิดว่าท่านคงคิดมาแล้วกระมัง ? ”
ขงซิงเจี้ยนนิ่งไปเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยออกมาอย่างเนิบ ๆ ว่า “จะ
เรียกว่าคิดมาแล้วก็คงมิได้ เยี่ยงไรเสียตามคาเตือนที่ท่านบรรพจารย์
ทิ้งเอาไว้ ผู้อาวุโสเช่นพวกเราจะมิสามารถเข้าไปยุ่งกับเรื่องของ
นิกายกระบี่สวรรค์ได้ หากมิมีความจาเป็ น”
“เช่นนั้นข้าจึงมีเพียงความคิดที่บ้าบิ่นอย่างหนึ่งก็เท่านั้น”
หนิงซู่ซู่จึงเอ่ยขึ้นตรง ๆ ว่า “ศิษย์พี่ขง เชิญเอ่ยมาตามตรง”“ที่ข้าคิดเอาไว้ก็คือ สามารถให้คนผู้นี้บาเพ็ญเพียรที่นิกายกระบี่
สวรรค์ได้ เยี่ยงไรเสียเขาก็ถือว่าเป็ นผู้ที่ไร ้เทียมทานที่มิอาจคาดเดา
ได้”
ขงซิงเจี้ยนดวงตาเป็ นประกายขึ้น “แต่เพื่อตบตาคนอื่น ข้าคิดว่า
เราควรจะรับเขาเข้ามาเป็ นศิษย์สายสืบทอดเสียก่อน แต่มิสามารถ
นับเป็ นศิษย์อาจารย์ได้อย่างแน่นอน และมิสามารถพาไปกราบไหว้ที่
โถงบรรพจารย์ได้ มิเช่นนั้นผลกรรมนี้หาใช่สิ่งที่พวกเราจะสามารถ
รับไหว”
“แน่นอนว่าระหว่างที่คนผู้นี้บาเพ็ญเพียรอยู่ที่นิกายกระบี่สวรรค์
พวกเราจะต้องใช ้ทรัพยากรในการบาเพ็ญเพียรที่มีทั้งหมด และ
จะต้องมิทิ้งคาครหาใด ๆ เอาไว้ในภายภาคหน้าด้วย”
“เช่นนี้แล้วอาจจะเป็ นโอกาสและวาสนาอันยิ่งใหญ่ สาหรับนิกาย
กระบี่สวรรค์ของเราก็เป็ นได้”
สิ้นเสียงหนิงซู่ซู่ก็ได้ไตร่ตรองอยู่นาน จนในที่สุดก็ได้ปรายมอง
ไปที่ขงซิงเจี้ยนอีกครั้ง“ศิษย์พี่ขง เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว เช่นนั้นก็ทาตามแผนที่ท่านวาง
เอาไว้ก็แล้วกัน ! ”
หนิงซู่ซู่พยักหน้าให้น้อย ๆ จากนั้นจึงเอ่ยต่ออีกว่า “อีกอย่าง
ก่อนหน้านี้ ท่านบอกว่าจะแนะนาศิษย์คนหนึ่งให้กับข้ามิใช่หรือ ? ”
“……”
“……”
จนเวลาผ่านไปอีกเกือบครึ่งชั่วยาม
ขงซิงเจี้ยนจึงได้บอกลาหนิงซู่ซู่ และจากไปเพียงลาพัง
จากนั้นหนิงซู่ซู่ก็ได้นั่งลงที่หน้าโต๊ะพิณ ก่อนที่นิ้วอันเรียวยาวจะ
กรีดลงไปบนสายพิณเบา ๆ พลางเอ่ยอย่างใช ้ความคิดว่า“คิดมิถึงว่าข้าหนิงซู่ซู่บ าเพ็ญเพียรมานับพันปี จะได้มาพบ
บุคคลที่ไร ้เทียมทานเช่นนี้ คิดมิถึงจริง ๆ ”
เอ่ยถึงตรงนี้แววตาของหนิงซู่ซู่ก็มีประกายบางอย่างพาดผ่าน
มุมปากยกขึ้นเผยรอยยิ้มอ่อนหวานออกมา