เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน - ตอนที่ 393 มิทราบว่าผู้น้อยจะขอคาชี้แนะบ้างได้หรือไม่ เจ้าคะ ?
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน
- ตอนที่ 393 มิทราบว่าผู้น้อยจะขอคาชี้แนะบ้างได้หรือไม่ เจ้าคะ ?
มิกี่อึดใจต่อมา
หนิงซู่ซู่ก็ได้ปรากฏกายขึ้นอีกครา
ซึ่งหอสุรากระบี่จมธาราอันเป็ นพี่พักพิงของเย่ฉางชิงและชวี่เห
วินเซี่ย
และเนื่องจากในเวลานี้เมืองกระบี่สวรรค์ได้ถูกปิดลงแล้ว ทาให้
ค่ายกลขนาดใหญ่มากมายที่ปกคลุมเมืองกระบี่สวรรค์เอาไว้ ถูกเปิด
ออกพร ้อม ๆ กัน
จึงทาให้ปราณวิญญาณฟ้ าดินบริเวณใกล้เคียงเมืองกระบี่
สวรรค์ ไหลมารวมกันอยู่ที่นี่แทบจะทั้งหมดอีกทั้งมีไอพลังมากมายไหลเวียนไปตามท้องถนน และตรอกซอก
ซอยทั่วทั้งเมืองอีกด้วย
ทาให้เมืองกระบี่สวรรค์ในเวลานี้ กลายเป็ นดินแดนแห่งวาสนาก็
มิปาน แม้กระทั่งอากาศยังแฝงเอาไว้ด้วยโอกาสและวาสนามากมาย
อีกด้วย
และด้วยสาเหตุนี้ จึงทาให้ตรอกซอกซอยภายในเมืองกระบี่
สวรรค์ แทบจะมิมีคนอยู่แม้แต่ผู้เดียว ช่างดูวังเวงยิ่งนัก
เช่นนั้นจึงมิมีผู้ใดสังเกตเห็นสตรีชุดขาว ที่จู่ ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้น
หน้าหอสุรากระบี่จมธารา
เวลานี้หนิงซู่ซู่กลับอดมิได้ที่จะรู ้สึกลังเลขึ้นมา
แม้ว่าคนผู้นั้นจะผนึกความทรงจาและตบะบารมีเอาไว้ ทว่าวิถี
กระบี่อันไร ้เทียมทานที่แฝงอยู่ในภาพอักษรพู่กันของเขา นางกลับ
สัมผัสได้อย่างชัดเจนอีกทั้งเมื่อครู่นี้นางก็ยังสัมผัสได้ถึงวิถีดนตรีอันไร ้เทียมทาน จาก
เสียงพิณของคนผู้นั้นอีกด้วย
แค่คิดก็รู ้แล้วว่าก่อนที่คนผู้นั้นจะผนึกความทรงจาและตบะบารมี
ของตนเอง แท้ที่จริงแล้วเขาเป็ นผู้ที่เก่งกาจมากเพียงใด !
มิกล้าคิดเลยจริง ๆ !
“แต่ในเมื่อมาแล้ว ก็ต้องเดินหน้าต่อ ! ”
หลังจากนิ่งเงียบอยู่สักพัก หนิงซู่ซู่ก็ลอบถอนหายใจออกมา
ทว่าขณะที่นางเตรียมจะผลักประตูเข้าไปนั้น ด้านในก็มีเสียง
สนทนาของสตรีสามสี่คนดังออกมา
“ศิษย์พี่ซู ผู้ที่มีนามว่าเย่ฉางชิงผู้นั้นมาจากสานักใดหรือเจ้าคะ
? ”“เขามาเพื่อเข้าร่วมการคัดเลือกศิษย์ แต่ข้ามิอาจสัมผัสได้ถึงไอ
พลังและตบะบารมีใด ๆ จากร่างของเขาเลย ! ”
“ศิษย์น้องเล็ก เจ้าลืมกฎของนิกายกระบี่สวรรค์ของเราไปแล้ว
เยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“ศิษย์พี่ซู ตอนนี้เมืองกระบี่สวรรค์ปิ ดลงแล้ว ทุกคนล้วนเริ่ม
บาเพ็ญเพียรกันหมดแล้ว อีกทั้งที่นี่ก็ยังมีเพียงพวกเราศิษย์พี่ศิษย์
น้องมิกี่คน มิต้องทาตามกฎขนาดนั้นก็ได้นี่เจ้าคะ ? ”
“ศิษย์พี่ซู ศิษย์น้องเล็กกล่าวถูก ที่นี่มีเพียงพวกเรามิกี่คน มิมีคน
นอกเสียหน่อยนี่เจ้าค่ะ”
“ศิษย์น้องทุกท่าน หรือพวกเจ้าคิดว่าข้ามิรู ้ความคิดของพวกเจ้า
เยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“อีกอย่างเย่ฉางชิงผู้นี้แม้จะมีใบหน้าหล่อเหลา ท่าทางโดดเด่น
แต่ก่อนที่เขาจะผ่านการทดสอบ แท้จริงมีคุณสมบัติเป็ นเช่นไรก็มิมี
ผู้ใดรู ้ได้ เช่นนั้นพวกเจ้ามิจาเป็ นต้องถามหาที่มาของเขาในตอนนี้”“ศิษย์พี่ซู ที่ท่านกล่าวมานั้นมีเหตุผล แต่ข้ามิเชื่อหรอกว่าคนที่
หล่อเหลาเยี่ยงเย่ฉางชิง จะมีคุณสมบัติที่แย่จริง ๆ ”
“……”
“……”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น หนิงซู่ซู่ที่กาลังจะผลักประตูเข้าไปก็ชะงักลง
อย่างกะทันหัน ใบหน้าพริ้มพราวนั้นปรากฏรอยยิ้มขึ้น
“เย่ฉางชิง… ใบหน้าหล่อเหลา ท่าทางโดดเด่นเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
หลังจากลังเลอยู่สักพัก หนิงซู่ซู่ก็สะบัดแขนเสื้อเบา ๆ ประตู
ตรงหน้าพลันค่อย ๆ เปิดออก
เมื่อซูหรันและกลุ่มสตรีที่อยู่ภายในห้องโถง เห็นสตรีผู้งดงามที่
อยู่ในชุดกระโปรงสีขาวปรากฏตัวขึ้นทันใดนั้นทุกคนต่างก็หน้าเสียขึ้นมาในทันที ท่าทางของพวก
นางเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
“ผู้น้อยคาราวะท่านบรรพจารย์หนิง”
หลังจากที่ได้สติ พวกซูหรันก็รีบลุกขึ้น ก่อนจะคุกเข่าลงบนพื้น
อย่างนอบน้อม
หนิงซู่ซู่กวาดตามองเหล่าสตรีที่อยู่บนพื้น พลางเอ่ยด้วยน้าเสียง
เย็นชาว่า “หากข้าจ ามิผิดแล้วล่ะก็ ต่อให้พวกเจ้าเป็ นศิษย์สายใน แต่
โอกาสที่จะได้เข้าไปบาเพ็ญเพียรในนิกายกระบี่สวรรค์นั้น เกรงว่า
มิได้มีมากกระมัง ? ”
ซูหรันนิ่งเงียบอยู่สักพัก ก่อนจะเอ่ยด้วยน้าเสียงนุ่มนวลว่า “เรียน
ท่านบรรพจารย์ พวกเราผิดไปแล้วเจ้าค่ะ”
ส่วนหนิงซู่ซู่ยังคงมีใบหน้าเรียบนิ่ง และเอ่ยเสียงราบเรียบเช่นเคย
ว่า “พวกเจ้าจงจาเอาไว้ โอกาสที่จะได้เข้าไปบาเพ็ญเพียรในนิกายกระบี่สวรรค์นั้นหาได้ยากยิ่ง หากพวกเจ้ามิเห็นค่าก็สละให้ศิษย์สาย
อื่นไปบาเพ็ญเพียรแทนก็ได้นะ”
ทันทีที่สิ้นเสียง ซูหรันพลันมีสีหน้าเปลี่ยนไป ท่าทางเต็มไปด้วย
ความกังวล
การที่จะเข้าไปบาเพ็ญเพียรในนิกายกระบี่สวรรค์ได้นั้น อาจารย์
ของพวกนางล้วนต้องแลกมาด้วยหลายสิ่งหลายอย่าง
หากถูกท่านบรรพจารย์หนิงลงโทษขึ้นมา จนถูกตัดจากการเป็ น
ศิษย์สายใน เช่นนั้นพวกนางก็มิเท่ากับกลายเป็ นคนอกตัญญูหรอก
หรือ
ทันใดนั้น พวกซูหรันต่างก็หมอบลงกับพื้น ก็เอ่ยด้วยเสียงอันสั่น
เทาว่า “ท่านบรรพจารย์หนิง ศิษย์ส านึกผิดแล้วเจ้าค่ะ”
หนิงซู่ซู่มิได้กล่าวสิ่งใดอีก ก่อนจะค่อย ๆ เดินผ่านห้องโถง เข้า
ไปทางด้านหลังของหอสุราเพื่อไปยังเรือนชั้นดีเหล่านั้นนั้นเอง
มิกี่อึดใจต่อมา
พวกซูหรันก็ลอบช าเลืองมองด้านหลังหนิงซู่ซู่ที่เดินจากไป ก่อน
จะค่อย ๆ ลุกขึ้นยืน
ศิษย์น้องเล็กที่อายุน้อยที่สุดและมีสายตาเจ้าเล่ห์ก็หัวเราะออกมา
ก่อนจะเอ่ยกับซูหรันอย่างสงสัยว่า
“ศิษย์พี่ซู ท่านบรรพจารย์หนิงจู่ ๆ มาที่นี่ มิใช่ว่าเลือกศิษย์คน
ใดคนหนึ่ง ที่พักอยู่ในเรือนชั้นดีเอาไว้แล้วกระมัง ? ”
เมื่อได้ยินคากล่าวนี้ ซูหรันก็ถลึงตาใส่ศิษย์น้องเล็กผู้นี้ทันที
พลางเอ่ยอย่างครุ่นคิดว่า “หลายปีมานี้ท่านบรรพจารย์หนิง และท่าน
บรรพจารย์ขงต่างก็ค้นหาศิษย์ที่มีคุณสมบัติที่ตนเองต้องการ และ
การที่ท่านบรรพจารย์หนิงมาที่นี่ในเวลานี้ คงมีคนที่ต้องการแล้ว
กระมัง”“ศิษย์พี่ซู ศิษย์ของท่านบรรพจารย์หนิง ต่อไปวันข้างหน้าพวก
เราก็ต้องเรียกเขาว่าอาจารย์อาใช่หรือไม่เจ้าคะ ? ”
“ตามหลักแล้วก็คงจะเป็ นเช่นนั้น”
……………………..
มินานหนิงซู่ซู่ก็เดินตามเสียงพิณ มาจนถึงเรือนชั้นดีอันเป็ นที่
พักของเย่ฉางชิงและชวี่เหวินเซี่ยเพียงลาพัง
ทว่าในเวลานี้นางก็อดมิได้ ที่จะรู ้สึกลังเลขึ้นมาอีกครั้ง
เยี่ยงไรเสียนางเองก็ถือเป็ นหนึ่งในบรรพจารย์ที่โดดเด่นของ
นิกายกระบี่สวรรค์
ส่วนอีกฝ่ ายก็ได้ผนึกความทรงจาและตบะบารมีเอาไว้ อีกทั้งยัง
เป็ นเพียงผู้ที่มาเข้าร่วมการคัดเลือกอีกด้วยเช่นนี้แล้วนางควรจะเรียกขานอีกฝ่ายเช่นไรดี ?
มิหนาซ้าภายในเรือนหลังนี้ยังมีผู้อื่นอยู่ด้วย
“ข้าควรท าเช่นไรดี ? ”
หนิงซู่ซู่ขมวดคิ้วมุ่น อดมิได้ที่จะเอ่ยขึ้นอย่างลาบากใจ “หากมี
เพียงเขาคนเดียว ต่อให้เรียกขานดังเช่นคนรุ่นเดียวกัน ก็ยังถือว่า
เหมาะสมอยู่ แต่ที่สาคัญกลับมีเด็กอีกคนหนึ่งอยู่ด้วยนี่สิ”
“ช่างเถอะ ในเมื่อคนผู้นั้นผนึกตบะบารมีและเลือกที่จะเริ่ม
บ าเพ็ญเพียรใหม่อีกครา แล้วเหตุใดข้าจะท าบ้างมิได้”
“อีกอย่างก็เป็ นเพียงแค่คาเรียกขานเท่านั้น”
คิดได้เช่นนั้นหนิงซู่ซู่ก็สะบัดมือเบา ๆ อย่างมิลังเล พร ้อมกับพลัง
ปราณรอบกายปะทุออกมา ก่อนจะเกิดการสั่นสะเทือนขึ้น ทาให้ค่าย
กลที่ปกคลุมเรือนหลังนี้เอาไว้ มิมีผลกับนางแม้แต่น้อยจากนั้นนางก็หันฝ่ ามือออกไปข้างหน้า แล้วท าท่าผลักอากาศ
เบา ๆ จากนั้นประตูบานใหญ่ที่ทั้งหนาและหนักก็ค่อย ๆ เปิดออก
ขณะเดียวกันมิว่าจะเป็ นเย่ฉางชิงที่กาลังดีดพิณอยู่ หรือว่าชวี่เห
วินเซี่ยที่กาลังรู ้แจ้งในวิถีแห่งดนตรี ต่างก็หยุดชะงักลงทันที
“ศิษย์พี่ชวี่ ดูเหมือนคนของหอสุราจะมานะขอรับ”
เย่ฉางชิงหันไปสบตากับชวี่เหวินเซี่ยเล็กน้อย พร ้อมกับเอ่ยขึ้น
ชวี่เหวินเซี่ยลังเลครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าเห็นด้วย
ทันใดนั้น ทั้งคู่ก็ได้ลุกขึ้นยืน ก่อนจะกระโดดลงมาจากก้อนหิน
ขนาดใหญ่ แล้วเดินตรงไปยังหน้าประตู
หลังจากบานประตูค่อย ๆ เปิ ดออก ร่างของสตรีนางหนึ่งก็ได้
ปรากฏสู่สายตาเมื่อเย่ฉางชิงเห็นหนิงซู่ซู่ที่อยู่ในชุดกระโปรงสีขาว ผมยาวสลวย
ราวกับเกลียวคลื่น
ก็หรี่ตาลงอย่างอดมิได้ พร ้อมกับนิ่งไปเล็กน้อย
ต้องบอกว่าเขายังมิเคยเห็นสตรีงามหยาดเยิ้ม ท่วงท่าสง่างาม
เช่นนี้มาก่อน
นางดูทั้งอ่อนเยาว์และสะสวยเช่นนี้ ราวกับเซียนที่ออกมาจาก
ภาพวาดอย่างแท้จริง
หากมิใช่เพราะการประลองใกล้เข้ามาแล้วล่ะก็
เย่ฉางชิงอยากจะวาดภาพนางเก็บไว้เสียเดี๋ยวนี้เลย
งดงามนัก !งดงามอย่างหาที่เปรียบมิได้จริง ๆ !
ทว่าในตอนนั้นเองเมื่อหนิงซู่ซู่เห็นเย่ฉางชิง ก็รู ้สึกหวั่นไหว
แปลก ๆ ขึ้นมาเช่นกัน
ต้องยอมรับว่านับตั้งแต่ที่นางบาเพ็ญเพียรมาร่วมพันกว่าปี
อีกทั้งยังเคยท่องไปทั่วทั้งหลิงโจว หรืออีกหลาย ๆ แคว้นนอกห
ลิงโจว นางก็เคยไปมาแล้ว
แต่นางกลับมิเคยพบบุรุษใดที่มีใบหน้าหล่อเหลา ท่าทางโดดเด่น
เช่นนี้มาก่อน
เครื่องหน้าคมเข้ม ผิวพรรณผุดผ่อง ดูมีสง่าราศียิ่งนัก
โดยเฉพาะนัยน์ตาหงส์คู่นั้น ที่ดูอบอุ่นราวกับแช่อยู่ในน้าอุ่นก็มิ
ปานแค่สบตาเพียงแวบเดียว ก็ท าให้ภายในใจของคนรู ้สึกสงบเยือก
เย็นลงได้
นอกจากนี้ลักษณะท่าทางอันโดดเด่นที่รังสีแผ่ออกมาจาก
ภายใน บวกกับบุคลิกสุภาพอ่อนโยน ให้ความรู ้สึกประหลาดราวกับ
อาบไล้ด้วยสายลมยามวสันต์ฤดูก็มิปาน
หนิงซู่ซู่ยอมรับว่านับตั้งแต่ที่บาเพ็ญเพียรมา และถูกกล่าวขาน
ว่าเป็ นยอดสตรี ตลอดระยะเวลานับพันปีที่ผ่านมา นางยังมิเคยเห็น
บุรุษรูปงามคนไหนอยู่ในสายตามาก่อน
ทว่าวินาทีนี้
นางกลับรู ้สึกใจเต้นแรงขึ้นมา !
ตั้งแต่แวบแรกที่ได้เห็นเย่ฉางชิงนางก็เดาได้เลยว่าบุรุษรูปงามตรงหน้า ต้องเป็ นยอดฝี มือที่ไร ้
เทียมทานที่ขงซิงเจี้ยนเอ่ยถึงเป็ นแน่
ตอนนั้นเองเหมือนรู ้สึกได้ถึงบรรยากาศที่ดูแปลกไป
ชวี่เหวินเซี่ยจึงยิ้มออกมาอย่างมีเลศนัย ก่อนจะเอ่ยถามขึ้นว่า
“มิทราบว่าท่านมาที่นี่มีเรื่องอันใดหรือเจ้าคะ ? ”
หนิงซู่ซู่จึงได้สติกลับมาอีกครั้ง พลันถอนหายใจออกมาอย่างอด
มิได้ และพยายามสงบสติอารมณ์ของตนให้สงบลง
“เมื่อครู่ข้าได้ยินเสียงพิณดังมาจากที่นี่ และเกิดความสงสัยขึ้น
จึงตั้งใจเดินมาดู”
หนิงซู่ซู่พิจารณาชวี่เหวินเซี่ยเล็กน้อย ก่อนจะตอบกลับเรียบ ๆ
สิ้นเสียงเย่ฉางชิงก็ยิ้มออกมา “เมื่อครู่ข้าเป็ นคนดีดพิณเอง
ขอรับ”“เช่นนี้นี่เอง”
ใบหน้าของหนิงซู่ซู่ปรากฏรอยยิ้มที่มิเคยมีมาก่อน พลางเอ่ย
ถามเย่ฉางชิงว่า
“มิทราบว่าผู้น้อยจะขอคาชี้แนะบ้างได้หรือไม่เจ้าคะ ? ”
เย่ฉางชิงจึงเอ่ยตอบอย่างมิลังเลว่า “ย่อมได้”