เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน - ตอนที่ 396 เจ้ากังวลเกินไปแล้ว
หลังจากทอดถอนใจอยู่สักพัก
เย่ฉางชิงก็ถอนสายตากลับมา ก่อนหันไปทางชวี่เหวินเซี่ยที่
เหมือนตกอยู่ในภวังค์การรู ้แจ้งบางอย่าง
เมื่อเห็นว่าชวี่เหวินเซี่ยยังมิมีทีท่าว่าจะตื่นขึ้นมาในตอนนี้
เช่นนั้นเขาจึงกลับไปนั่งสมาธิบนก้อนหินขนาดใหญ่ ที่ใช ้นั่งดีด
พิณก่อนหน้านี้
เนื่องจากเสียงพิณที่รบกวนจิตใจได้หายไปแล้ว เขาจึงเริ่มโคจร
เคล็ดวิชาเทพปีศาจโบราณอย่างมิรีรอ
เพราะตามที่ชวี่เหวินเซี่ยแนะนาศิษย์ที่มาเข้าร่วมการทดสอบในครั้งนี้มีมากมายหลายพันคน
ภายในนั้นย่อมมีเหล่าผู้มีพรสวรรค์อยู่แล้ว
และตอนนี้ก็เหลือเวลาเพียงสิบกว่าวันเท่านั้น เมืองกระบี่สวรรค์ก็
จะจัดงานประลองเพื่อคัดเลือกขึ้นแล้ว
มีเพียงศิษย์ 300 อันดับแรกเท่านั้น ที่จะสามารถผ่านเข้าไป
นิกายกระบี่สวรรค์ เพื่อทาการทดสอบหัวข้ออื่น ๆ ได้
แค่คิดก็รู ้แล้วว่า การประลองเพื่อคัดเลือกศิษย์ของนิกายกระบี่
สวรรค์นั้น จะดุเดือดมากเพียงใด!
บัดนี้แม้เขาจะเริ่มบาเพ็ญเพียรสุดยอดเคล็ดวิชาอย่างเคล็ดเทพ
ปีศาจโบราณแล้ว รวมทั้งรู ้แจ้งภาพกระบี่ไร ้สิ้นสุด แต่ตบะบารมีของ
เขายังคงอยู่เพียงระดับรวมชีพจรขั้นท้ายเท่านั้น
อีกทั้งตบะบารมีระดับรวมชีพจรนั้น ยังเป็ นเพียงขั้นพื้นฐานใน
การบาเพ็ญเพียรเท่านั้นเชื่อว่าเหล่าศิษย์ที่มาเข้าร่วมการคัดเลือกในครั้งนี้ จะต้องมีผู้ที่
แข็งแกร่ง และมีตบะบารมีสูงกว่าระดับรวมชีพจรอยู่มิน้อยอย่าง
แน่นอน
อีกทั้งเขายังได้บาเพ็ญเพียรอยู่ในสานักเซียนลึกลับอย่างสานัก
ชิงหยางมาเกือบครึ่งปี
หากการทดสอบของนิกายกระบี่สวรรค์ยังมิสามารถผ่านได้ มิ
เท่ากับทาให้สานักชิงหยางต้องอับอายขายหน้าเพราะเขาเยี่ยงนั้น
หรอกหรือ ?
เช่นนั้นก่อนที่การประลองจะเริ่มขึ้น เขาจาเป็ นจะต้องมีตบะบารมี
ระดับสร ้างรากฐานปราณให้จงได้
และต้องผ่านการทดสอบของนิกายกระบี่สวรรค์ให้ได้
หลังจากนั้นเย่ฉางชิงก็รีบสงบสติอารมณ์ที่ฟุ้ งซ่านลง เพื่อให้
ร่างกายและจิตใจจดจ่ออยู่การบ าเพ็ญเพียรทันใดนั้น หลังจากเคล็ดเทพปี ศาจโบราณเริ่มโคจรภายใน
ร่างกาย
จุดเซินชางทั้งหกตาแหน่งที่เย่ฉางชิงทาการทะลวงไปก่อนหน้านี้
ก็ได้เปิดขึ้นมาแทบจะพร ้อม ๆ กัน
ขณะเดียวกัน ด้านหลังของเขาก็ปรากฏนิมิตอันน่าสะพรึงกลัว
ขึ้นอีกครั้ง
พร ้อมกันนั้นปราณวิญญาณฟ้ าดินธาตุต่าง ๆ ก็เกิดการปะทุขึ้น
อย่างรุนแรง
อีกทั้งรอบกายของเย่ฉางชิงในเวลานี้ ได้มีพายุหมุนขนาดใหญ่
ก่อตัวขึ้นมาถึงหกลูก ก่อนจะผสานเข้าไปภายในจุดเซินชางทั้งหก
ตาแหน่งอย่างบ้าคลั่ง
เห็นได้ชัดว่าปรากฏการณ์เช่นนี้ ดูยิ่งใหญ่และน่าตื่นตระหนก
เพียงใด !ผ่านไปมิถึงหนึ่งก้านธูป
ปราณวิญญาณธาตุต่าง ๆ ที่มีอยู่ภายในเรือนแห่งนี้ ก็ถูกเย่ฉาง
ชิงดูดกลืนเข้าสู่ร่างจนหมด
เช่นนั้นเมื่อปราณวิญญาณฟ้ าดินถูกใช ้หมดแล้ว จึงทาให้ค่าย
กลรวมวิญญาณน้อยใหญ่ที่ปกคลุมเรือนหลังนี้ถูกเปิดใช ้งานในทันที
ทันใดนั้นลวดลายค่ายกลและสัญลักษณ์ที่เปล่งแสงเจิดจ้าราว
กับเปลวเพลิง ต่างก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศ ส่องแสงระยิบระยับ
ออกมา
ก่อนที่พลังจะเกิดการสะท้อนกันไปมา จนท าให้ห้วงอากาศรอบ
เรือนหลังนี้ปั่นป่วนขึ้นมาจนยากจะควบคุม
…………………….……
อีกด้านหนึ่งหลังจากที่หนิงซู่ซู่ออกมาจากหอสุรากระบี่จมธาราแล้ว ก็มิได้
กลับไปที่หอเจี๋ยอิน
นางรู ้ดีว่าระดับของนางใกล้จะสะกดเอาไว้มิไหวเต็มที
แม้ว่าทั่วทั้งเมืองกระบี่สวรรค์ในตอนนี้จะถูกปกคลุมเอาไว้ด้วย
ค่ายกลขนาดใหญ่มากมาย ทั้งยังเปี่ยมไปด้วยปราณวิญญาณฟ้ าดิน
ธาตุต่าง ๆ
แต่ด้วยการที่นางมีตบะบารมีระดับเซียน
ต่อให้จะเป็ นการบรรลุระดับที่ต่ากว่านาง ก็จะนาไปสู่การ
เปลี่ยนแปลงของฟ้ าดินได้อยู่ดี
เช่นนั้นนางจะบรรลุในเมืองกระบี่สวรรค์มิได้อย่างเด็ดขาดแต่ขณะที่นางกาลังจะจากไปนั้น ภายในใจกลับเกิดความกังวล
ขึ้นมา เช่นนั้นนางจึงตัดสินใจไปหาขงซิงเจี้ยนที่ร ้านขายของชา
เสียก่อน
“ศิษย์น้องหนิง เหตุใดเจ้าจึงมาหาข้าในเวลานี้เล่า ? ”
เมื่อเห็นหนิงซู่ซู่ผลักประตูเข้ามา
ขงซิงเจี้ยนที่กาลังรู ้แจ้งภาพอักษรพู่กันของเย่ฉางชิงอยู่นั้น ก็
มิได้มีท่าทีโกรธเคือง แต่กลับหัวเราะออกมา ก่อนจะลุกขึ้นและเอ่ย
ถามไถ่ในทันที
หนิงซู่ซู่เอ่ยขึ้นเรียบ ๆ ด้วยสีหน้าเย็นชาว่า “ระดับตบะบารมีของ
ข้าใกล้จะสะกดเอาไว้มิอยู่แล้ว เช่นนั้นข้าต้องรีบออกไปจากเมือง
กระบี่สวรรค์”
“ระดับตบะบารมีใกล้จะสะกดเอาไว้มิอยู่ ? ”ขงซิงเจี้ยนนิ่งงันไปทันที พร ้อมเอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัย
“ศิษย์น้องหนิง หรือว่าเจ้าได้พบกับโอกาสอันใดมาเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
ใบหน้าอันงดงามของหนิงซู่ซู่ยังคงเรียบนิ่ง และเอ่ยเพียงเรียบ ๆ
ว่า “ข้าไปพบเขาคนนั้นมาแล้ว”
“ห๊ะ ! ”
ขงซิงเจี้ยนมีสีหน้าเปลี่ยนไป ก่อนจะทอดถอนใจออกมา “คิดมิ
ถึงว่าความแตกฉานในวิถีดนตรีของคนผู้นั้นจะสูงส่งถึงเพียงนี้”
ต้องยอมรับว่าการที่หนิงซู่ซู่สามารถบรรลุได้ในตอนนี้ แม้แต่ตัว
เขาเองก็ยังคาดมิถึง
เพราะเมื่อถึงระดับเช่นพวกเขาแล้ว การที่ระดับของตบะบารมีจะ
บรรลุขึ้นไปอีกนั้น ล้วนต้องอาศัยการรู ้แจ้งในวิถีของตนส่วนหนิงซู่ซู่แม้ว่าจะมีคุณสมบัติที่โดดเด่น แต่เนื่องจากวิถีที่นาง
บาเพ็ญเพียรนั้น เป็ นวิถีแห่งดนตรีที่ลึกลับและหาได้ยากยิ่ง
เช่นนั้นหลังจากที่นางบรรลุถึงระดับเซียนขั้นกลางแล้ว
ต่อให้เวลาจะผ่านมานานหลายร ้อยปี ทว่านางกลับมิสามารถ
บรรลุระดับที่สูงขึ้นไปกว่านี้ได้อีก
แต่สิ่งที่ขงซิงเจี้ยนคาดมิถึงมากที่สุดก็คือ
หนิงซู่ซู่ผู้เป็ นยอดสตรีผู้นี้ เพียงแค่ได้พบคนผู้นั้นแค่ครั้งเดียว ก็
สามารถบรรลุระดับตบะบารมีที่ชะงักมาเนิ่นนานได้แล้ว
แค่คิดก็รู ้แล้วว่าความแตกฉานในวิถีดนตรีของคนผู้นั้น แท้จริง
แล้วน่ากลัวเพียงใด !
แต่ปัญหาก็คือ !คนผู้นี้มิเพียงมีความแตกฉานในวิถีกระบี่ที่สูงส่ง แต่ความ
แตกฉานในวิถีดนตรีก็ยังสูงส่งมิแพ้กัน
เช่นนี้แท้จริงแล้วคนผู้นั้นเป็ นผู้ใดกันแน่ !
ดูเหมือนว่าเขาจะประเมินคนผู้นั้นต่าเกินไปเสียแล้ว !
ขงซิงเจี้ยนนิ่งเงียบไปสักพัก ก่อนจะถามด้วยรอยยิ้มว่า “ศิษย์
น้องหนิง ในเมื่อเจ้ากาลังจะบรรลุ อีกทั้งยังรีบมาพบข้าก่อนที่จะออก
จากเมืองไปเช่นนี้ แสดงว่าคงมีเรื่องที่ต้องการจะกาชับข้ากระมัง ? ”
“ถูกแล้ว ข้ามีเรื่องที่จะไหว้วานเจ้าจริง ๆ ”
หนิงซู่ซู่พยักหน้ายอมรับ พร ้อมกับเอ่ยว่า “ก่อนหน้านี้ตอนที่คน
ผู้นั้นดีดพิณ ข้าบังเอิญสัมผัสได้ถึงไอพลังของเขา แม้จะเข้มข้นและ
แรงกล้า ทว่าเขากลับมีตบะบารมีเพียงระดับรวมชีพจรเท่านั้น”“ข้ามิได้กังวลว่าเขาจะสามารถผ่านการประลองในเมืองกระบี่
สวรรค์ไปได้หรือไม่ เพราะเยี่ยงไรเสียเมื่อเข้ามาในเมืองกระบี่สวรรค์
แล้ว ตบะบารมีของทุกคนก็จะต้องถูกสะกดเอาไว้เพียงระดับรวมชีพ
จรอยู่แล้ว แต่การจะผ่านการทดสอบอื่น ๆ นั้นเกรงว่าคงจะเป็ นไปได้
ยาก”
เอ่ยถึงตรงนี้หนิงซู่ซู่ก็มีท่าทีอ่อนลง ก่อนจะเอ่ยอย่างลาบากใจว่า
“เช่นนั้นข้าหวังว่าถึงตอนนั้นเจ้าจะมีวิธี ที่ทาให้เขาสามารถผ่านการ
ทดสอบไปได้อย่างราบรื่น”
“แต่ระหว่างนั้นเจ้าต้องจาเอาไว้ให้ดี ห้ามให้เขารู ้ตัวเป็ นอันขาด
มิเช่นนั้นภายภาคหน้าหากเกิดอันใดขึ้นมา ก็จะมีแค่เจ้าเพียงคน
เดียวเท่านั้นที่ต้องรับผิดชอบไป”
ขงซิงเจี้ยนนิ่งไป ก่อนจะส่ายหน้ายิ้ม ๆ “ศิษย์น้องหนิง เจ้าถึงกับ
กาชับข้าเช่นนี้ เจ้าคงมิได้คิดอันใดกับคนผู้นี้หรอกกระมัง?”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น หนิงซู่ซู่ก็แค่นเสียงออกมาเบา ๆ ร่างของนาง
พลันระเบิดพลังอันน่ากลัวออกมาในทันทีขงซิงเจี้ยนร่างกายสั่นเทาน้อย ๆ ก่อนจะรีบยิ้มแห้ง ๆ พร ้อมกับ
โบกมือไปมา “ศิษย์น้องหนิง เจ้าอย่าได้โมโหไป เอาเป็ นว่าข้ารับปาก
เจ้าก็แล้วกัน”
“แต่ข้าอยากจะเตือนเจ้าเอาไว้สักอย่าง”
“คนผู้นี้มีความแตกฉานในวิถีกระบี่และวิถีดนตรีถึงเพียงนี้ ก่อน
หน้านี้ข้าเองก็ยังประเมินเขาต่าเกินไป เช่นนั้นการกระทาใด ๆ ที่
เกี่ยวข้องกับคนผู้นี้ พวกเราควรไตร่ตรองให้ดีเสียก่อน ส่วนเรื่องอื่นก็
ยิ่งจะต้องรอบคอบมากกว่านี้”
หนิงซู่ซู่ปรายตามองขงซิงเจี้ยน พลางเอ่ยด้วยน้าเสียงเย็นชาว่า
“เรื่องนี้ข้าย่อมรู ้ดี”
ทว่าทันทีที่สิ้นเสียง ขงซิงเจี้ยนและหนิงซู่ซู่ก็เหมือนสัมผัสได้ถึง
ความผิดปกติบางอย่าง พลันต่างก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที
หลังจากเงียบอยู่พักใหญ่“ศิษย์น้องหนิง ตอนนี้ดูเหมือนว่าเจ้าจะกังวลเกินไปแล้ว”
ขงซิงเจี้ยนเอ่ยทอดถอนใจกับหนิงซู่ซู่ “คนผู้นี้ปรากฏสัญญาณ
การบรรลุขึ้นตอนนี้ อีกทั้งยังมีพลังแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ เห็นได้ชัดว่า
แม้แต่ค่ายกลของเมืองกระบี่สวรรค์ก็มิอาจจะสะกดเขาได้”
หนิงซู่ซู่ขมวดคิ้วมุ่น ใบหน้างดงามนั้นเผยสีหน้าเคร่งขรึม
ออกมา แต่กลับมิได้เอ่ยสิ่งใด
“เช่นนี้ต่อให้ข้ามิยื่นมือเข้าไปยุ่ง เขาก็สามารถผ่านการทดสอบ
ได้อย่างสบาย ๆ แล้ว”
ขงซิงเจี้ยนยกมือขึ้นลูบหนวดของตนเอง “ในทางกลับกัน เกรง
ว่าพวกเด็ก ๆ ในนิกายกระบี่สวรรค์คงได้วิ่งมาหาข้าเพื่อถามถึงคนผู้
นั้นเป็ นแน่”
สิ้นเสียงหนิงซู่ซู่ก็มิได้เอ่ยอันใดอีก จากนั้นก็ได้หมุนกายเดิน
ออกประตูไปในทันทีมินานลาแสงสายหนึ่งก็ทะยานขึ้นฟ้ า เหาะไปทางด้านนอกเมือง
กระบี่สวรรค์