เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน - ตอนที่ 404 เจ้า......แพ้แล้ว
ทว่าเวลานี้หม่าเป่ ากั้วที่ถูกผู้คนหัวเราะเยาะอยู่นั้น กลับหาได้ใส่
ใจไม่
สายตาของเขาจับจ้องไปที่ร่างของเย่ฉางชิง ขณะเดียวกันก็
เปลี่ยนกระบวนท่าอย่างต่อเนื่อง หวังจะหาจุดอ่อนจากร่างของเย่ฉาง
ชิงให้ได้
ในสายตาของทุกคนมองว่าเย่ฉางชิงนั้น เพียงแค่ใช ้กระบี่เทพชี้
มาทางเขา โดยมิได้ขยับเขยื้อนใด ๆ ซึ่งในตอนแรกหม่าเป่ ากั้วเองก็
คิดเช่นนั้นเหมือนกัน
แต่เมื่อเวลาล่วงเลยไป หม่าเป่ ากั้วแม้จะยังเห็นว่าเย่ฉางชิงเพียง
แค่ยกกระบี่อยู่เยี่ยงนั้น ทว่าในความรู ้สึกของเขานั้นราวกับเย่ฉางชิง
ก าลังขยับอยู่เพียงแต่กระบวนท่าต่าง ๆ ของเขาถูกเย่ฉางชิงมองออกอยู่ก่อน
แล้ว ท าให้สามารถหลบหลีกได้อย่างง่ายดายด้วยวิธีอันพิสดารพัน
ลึก
นั่นหมายความว่าตั้งแต่เริ่มประลอง เย่ฉางชิงหาได้ตอบโต้ใด ๆ
ไม่ เขาเพียงแค่ปัดป้ องเท่านั้น
เมื่อนึกถึงตรงนี้หม่าเป่ ากั้วพลันใจสั่นสะท้านขึ้นมาอย่างห้าม
มิได้ ท่าทางเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกเป็ นอย่างมาก
เพราะนับตั้งแต่หม่าเป่ากั้วบาเพ็ญเพียรวิถีกระบี่มา นี่ถือเป็ นครั้ง
แรกที่เขาได้พบคู่ต่อสู้ที่ทาให้เขารู ้สึกไร ้เรี่ยวแรงและสิ้นหวังได้มาก
เพียงนี้
‘ชายผู้นี้แท้จริงแล้วเป็ นภูตผีหรือเทพองค์ใดกันแน่! และมีความ
แตกฉานในวิถีกระบี่สูงส่งเพียงใดกัน ถึงสามารถมองกระบวนท่า
ทั้งหมดของเขาออกได้อย่างง่ายดาย ! ’‘อีกอย่างชายผู้นี้กาลังทาสิ่งใดอยู่กันแน่ ! เหตุใดถึงเอาแต่หลบ
เลี่ยง แต่มิตอบโต้เช่นนี้เล่า ? หรือว่าต้องการโอ้อวดฝีมือตนเองต่อ
หน้าทุกคน ทาให้ข้ากลายเป็ นตัวตลกเยี่ยงนั้นหรือ ? ’
‘อืม ! ’
‘ต้องเป็ นเช่นนี้แน่ ! ’
‘น่ารังเกียจที่สุด ! ’
‘ข้าต่างหากที่เป็ นตัวเอกของยุคนี้ ส่วนเจ้าก็เป็ นได้เพียงก้อนหิน
รองเท้าเอาไว้ให้ข้าได้เหยียบย่าบนเส้นทางไร ้พ่ายของข้าก็เท่านั้น ! ’
เมื่อคิดได้ดังนั้น “แส้ปัญจอสนีบาต ! ”
หม่าเป่ากั้วคารามขึ้นฟ้ า ไอพลังบนร่างปะทุขึ้นอีกครั้งทันใดนั้น หลังจากพลังวิญญาณภายในร่างของหม่าเป่ ากั้วปะทุ
ออกมา
ผมยาวสลวยของเขาก็ปลิวสยายไปตามลม อาภรณ์โบกสะบัด
รอบกายเปล่งแสงอันเจิดจ้าออกมา ก่อนจะสะบัดอาวุธที่ดูเหมือน
กระบี่และแส้ในมืออย่างบ้าคลั่ง
ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว !
เสียงอันกึกก้องดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันก็เกิดการ
สั่นสะเทือน จนเกิดคลื่นพลังระเบิดขึ้นเป็ นชั้น ๆ
งูสีเงินห้าตัวที่มีสายฟ้ าอันเจิดจ้าห่อหุ้มเอาไว้ ได้แผ่ไอพลังอันน่า
สะพรึงกลัวออกมา ก่อนจะพุ่งเข้าใส่เย่ฉางชิงอย่างบ้าคลั่ง ด้วย
ความเร็วราวกับสายฟ้ า
แค่คิดก็รู ้แล้วว่าปรากฏการณ์เช่นนี้น่ากลัวเพียงใด !ทว่าแม้จะเป็ นเช่นนั้น แต่เย่ฉางชิงก็ยังคงยืนอยู่นิ่ง ๆ และมิสั่น
ไหวแม้แต่น้อย พร ้อมกับชี้ปลายกระบี่อันแหลมคมไปยังหม่าเป่ ากั้ว
เช่นเดิม
เพียงพริบตา วินาทีที่งูสีเงินทั้งห้าตัวมลายหายไปในอากาศอย่าง
รวดเร็วนั้น
เย่ฉางชิงก็ยังคงหลับตา และยืนอยู่เช่นนั้นโดยมิบุบสลายใด ๆ
เมื่อเห็นภาพสุดอัศจรรย์ตรงหน้า มิเพียงแต่ผู้คนที่อยู่ด้านล่าง
เวทีเท่านั้นที่รู ้สึกงงงัน แม้แต่หม่าเป่ ากั้วเองก็รู ้สึกราวกับมีเสียงวิ๊งดัง
ขึ้นในโสตประสาท
ใช่แล้ว การแสดงออกของเย่ฉางชิงในเวลานี้ ทาลายความเข้าใจ
ที่ผ่านมาของหม่าเป่ากั้วไปจนสิ้น เพราะแส้ปัญจอสนีบาตเป็ นวิชาแส้
ที่ถ่ายทอดมาจากบรรพบุรุษของเขา เป็ นเคล็ดวิชาลับที่หาได้ยากยิ่ง
อีกทั้งปัญจอสนีบาตของเขายังถูกผสานเข้ากับวิถีกระบี่ มิว่าจะ
เป็ นพลานุภาพ หรือความเร็วในการโจมตี ล้วนสูงส่งกว่าวิชาแส้เพียงอย่างเดียวแน่นอน เรียกได้ว่าทัดเทียมกับเคล็ดวิชาระดับสวรรค์ใน
ต านานเลยก็ว่าได้
และเมื่อมินานมานี้ เขายังได้ประลองฝีมือกับอาจารย์อาท่านหนึ่ง
ที่อยู่ในระดับแดนเทวาขั้นกลางของสานักสิงหยุน ผลสุดท้ายหลังจาก
ที่เขาแสดงพลังของแส้ปัญจอสนีบาตที่เขาพลิกแพลงมา บีบให้
อาจารย์ท่านนั้นต้องถอยไปเรื่อย ๆ จนสุดท้ายก็ต้องยอมแพ้ในที่สุด
แค่คิดก็รู ้แล้วว่า แส้ปัญจอสนีบาตรที่มีการพลิกแพลงมาแล้วนั้น
น่ากลัวเพียงใด !
แต่สิ่งที่ทาให้เขารับมิได้ก็คือ ต่อให้เขาจะใช ้แส้ปัญจอสนีบาตที่
แข็งแกร่งที่สุด ก็ยังคงมิสามารถทาอะไรปีศาจตรงหน้าผู้นี้ได้แม้แต่
น้อย
หลังจากนิ่งเงียบอยู่สักพัก หม่าเป่ ากั้วก็เผยท่าทางดุดันออกมา
เส้นเลือดที่ขมับปูดโปนจนเต้นตุบ ๆ ดวงตาคู่นั้นแดงก่าเต็มไปด้วย
ไฟโทสะ“แม้กระบวนท่าแส้ทศอสนีบาตจะยังมิสมบูรณ์เท่าไรนัก แต่การที่
มิอาจทาอะไรเจ้าได้เช่นนี้ ทาให้ข้ารู ้สึกโมโหจนแทบจะกระอัก
เลือดออกมาอยู่แล้ว”
หม่าเป่ ากั้วคารามก้อง พลังวิญญาณภายในร่างปะทุออกมา
อย่างบ้าคลั่ง จนพลังในร่างกายพุ่งสูงขึ้นอีกครั้ง
เมื่อเห็นภาพอันบ้าคลั่งตรงหน้า ใบหน้าของพวกซูหรันศิษย์ของ
นิกายกระบี่สวรรค์ที่ยืนอยู่มิไกลนัก ต่างก็เต็มไปด้วยความกังวล
ในทันที
แม้จนถึงบัดนี้เย่ฉางชิงจะยังคงยืนอยู่ตรงนั้น โดยมิได้รับบาดเจ็บ
ใด ๆ แต่เห็นได้ชัดว่าหม่าเป่ ากั้วนั้น เริ่มเดือดดาลจนยากจะควบคุม
ได้แล้ว
หากทั้งสองสู้กันต่อไปเช่นนี้ หม่าเป่ ากั้วมีความเป็ นไปได้สูงที่จะ
ถูกธาตุไฟเข้าแทรกเป็ นแน่และหากอัจฉริยะในการบาเพ็ญเพียรเช่นหม่าเป่ ากั้วจิตใจแตก
สลาย ธาตุไฟเข้าแทรกที่นี่ขึ้นมา เช่นนี้ก็นับว่าเป็ นความเสียหายครั้ง
ใหญ่ของนิกายกระบี่สวรรค์ก็ว่าได้
“ศิษย์พี่ซู ตอนนี้ควรทาเช่นไรดีเจ้าคะ ! ”
“แม้ว่าหม่าเป่ ากั้วจะมิสามารถทาอันใดเย่ฉางชิงได้แม้แต่น้อย
แต่ดูจากพลังที่เขาแสดงมาแล้ว นับว่าเป็ นอัจฉริยะในการบาเพ็ญ
เพียรที่หาได้ยากในรอบร ้อยปีเลยนะเจ้าคะ ! ”
“ใช่แล้ว หากอัจฉริยะเช่นนี้เกิดเป็ นอะไรที่นี่ขึ้นมา ก็จะถือเป็ น
ความสูญเสียอันใหญ่หลวงของนิกายกระบี่สวรรค์เลยนะเจ้าคะ ! ”
“……”
“……”ทันใดนั้นศิษย์น้องหลายคนที่อยู่ข้าง ๆ ซูหรันต่างก็หันไปมอง
นาง เพื่อถามความเห็น
“ที่พวกเจ้าพูดมามีเหตุผล แต่เนื่องด้วยตอนนี้เราเองก็ถูกค่ายกล
ของเมืองกระบี่สวรรค์ สะกดเอาไว้ จึงทาให้พวกเราก็มีตบะบารมี
เหลือเพียงระดับสร ้างรากฐานปราณเท่านั้น”
ซูหรันขมวดคิ้วแน่น พลางส่ายหน้าเบา ๆ แล้วเอ่ยกับเหล่าศิษย์
น้องว่า “ยิ่งไปกว่านั้นต่อให้พวกเราร่วมมือกัน ก็มิสามารถขวางหม่า
เป่ากั้วที่ใกล้จะคลุ้มคลั่งได้อยู่ดี ! ”
ขณะเดียวกันระหว่างที่พวกซูหรันกาลังคิดมิตกว่าจะทาเช่นไร
กันดีนั้น
ขงซิงเจี้ยนที่ยืนอยู่บนกาแพงที่ไกลออกไปกลับยิ้มออกมา พลาง
ลูบหนวดของตนเองและส่ายหน้าไปมา“ตอนนี้ดูเหมือนว่าได้เวลายื่นมือเข้าไปแทรกแล้วสินะ มิเช่นนั้น
หากปล่อยเอาไว้เจ้าหนุ่มจากสานักสิงหยุนผู้นี้ คงถูกธาตุไฟเข้า
แทรกเป็ นแน่……”
ขงซิงเจี้ยนเอ่ยพึมพ ากับตนเอง
ทว่าขณะที่เขาเอ่ยยังมิทันจบประโยคนั้น จู่ ๆ ก็ต้องเงียบเสียงลง
ก่อนที่เขาจะมีสีหน้าเปลี่ยนไป ดวงตาหรี่ลง พร ้อมปล่อยแสงอันเจิด
จ้าสองสายออกไป
ในขณะที่หม่าเป่ ากั้วเกือบจะคลุ้มคลั่ง และใช ้กระบวนท่าแส้ทศ
อสนีบาตนั้น
หนังตาของเย่ฉางชิงกระตุกเล็กน้อย ก่อนที่ดวงตาคู่นั้นจะลืมขึ้น
ในดวงตาของเขาตอนนี้ราวกับมีร่างเงาสีทองมากมายเปล่งแสง
ขึ้นมามิหยุดมินานหลังจากแสงสีทองมากมายมลายหายไปในอากาศ
มุมปากของเย่ฉางชิงก็โค้งขึ้นน้อย ๆ เผยรอยยิ้มสุภาพอ่อนโยน
ออกมา
“เจ้า……แพ้แล้ว”
เย่ฉางชิงมองหม่าเป่ ากั้วพร ้อมกับเอ่ยขึ้นเรียบ ๆ ทว่าเสียงนั้น
ราวกับอัสนีบาตที่ดังก้องขึ้นในหูของทุกคน
‘หมายความว่าเยี่ยงไรกัน ? ’
‘หรือว่าเจ้าหนุ่มคนนี้จะคาดเดากระบวนท่าทั้งหมดของหม่าเป่ า
กั้วได้แล้วเยี่ยงนั้นหรือ ? ’
‘มิใช่หรอกกระมัง ! ’
‘อะไรจะเก่งกาจเพียงนั้น ! ’‘จะมิเหลือตัวเลือกให้แก่ผู้บาเพ็ญเพียรวิถีกระบี่เลยเยี่ยงนั้นหรือ
! ’
‘อีกทั้งระหว่างการต่อสู้ของทั้งสองคน ตั้งแต่ต้นจนจบเจ้าหนุ่ม
คนนี้กลับมิได้ลงมือเลยแม้แต่น้อย ทว่าหม่าเป่ ากั้วก็ยังคงมิสามารถ
ท าอันใดเขาได้อยู่ดี ! ’
‘ส่วนเพลงกระบี่ล่องหนอะไรนั่น ! พวกเขาหาใช่คนโง่ไม่ จะเชื่อ
ได้เยี่ยงไรว่าโลกนี้จะมีเพลงกระบี่ที่มีเมตตามิหวังทาร ้ายศัตรูอยู่จริง ๆ
’
ทันทีที่สิ้นเสียงของเย่ฉางชิง ใบหน้าของหม่าเป่ ากั้วกลับเต็มไป
ด้วยความดุดัน พร ้อมคารามออกมาด้วยความเดือดดาล จนน้าลาย
กระเซ็น “ข้ายังมิได้แสดงกระบวนท่าแส้ทศอสนีบาต เจ้ารู ้ได้เยี่ยงไร
ว่าข้าแพ้แล้ว ! ”เอ่ยเพียงเท่านั้น หม่าเป่ ากั้วพลันสะบัดแขนราวกับคนเสียสติ
เนื้อตัวสั่นเทา พร ้อมกับมีเสียงฟ้ าคารามดังขึ้นเป็ นระลอก สายฟ้ า
แลบแปลบปลาบ
กระบี่ในมือของเขา แปลงเป็ นงูสีเงินสิบตัวและมีสายฟ้ าอันเจิดจ้า
ห่อหุ้มเอาไว้ ก่อนจะพุ่งเข้าใส่เย่ฉางชิงด้วยความเร็วสูง และในตอน
นั้นเอง ในที่สุดเย่ฉางชิงก็เริ่มขยับร่างกาย ท่ามกลางการจับตามอง
ของทุกคน
ทว่าสิ่งที่ทาให้ทุกคนต้องตกตะลึงจนอ้าปากค้างก็คือ มือข้าง
หนึ่งของเย่ฉางชิงไพล่อยู่ด้านหลัง ส่วนมืออีกข้างหนึ่งถือกระบี่จื่อชิง
เอาไว้ ปลายกระบี่ชี้ไปที่หม่าเป่ ากั้ว ก่อนจะค่อย ๆ เดินตรงไป
ข้างหน้าอย่างมิรีบร ้อน
ที่แปลกประหลาดที่สุดก็คือ งูสีเงินอันน่ากลัวทั้งสิบตัวที่หม่าเป่ า
กั้วปล่อยออกมาด้วยความบ้าคลั่งนั้น ราวกับมีบางอย่างสะกดเอาไว้
และทะลุผ่านร่างของเย่ฉางชิงไปอย่างง่ายดาย โดยที่มิระคายผิว
ของเย่ฉางชิงแม้แต่น้อย‘นี่มัน ! ’
‘นี่มัน ! ’
‘นี่มัน ! ’
‘นี่มันเกิดสิ่งใดขึ้นกันแน่ ! ’
‘ข้าสับสนไปหมดแล้ว ! ’