เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน - ตอนที่ 405 เจ้าระวังตัวให้ดีก็แล้วกัน
ท่ามกลางสายตาเหลือเชื่อของทุกคน รวมถึงหม่าเป่ากั้ว
มิกี่อึดใจต่อมา เย่ฉางชิงก็ก้าวเดินเข้ามาอย่างช ้า ๆ และจิ้ม
ปลายกระบี่ไปที่หว่างคิ้วของหม่าเป่ากั้ว
วินาทีต่อมา หม่าเป่ากั้วรู ้สึกสิ้นหวังและยอมแพ้ในที่สุด
งูสีเงินอันดุร ้ายสิบตัวที่อยู่ด้านหลังของเย่ฉางชิง พลันมลาย
หายไปในอากาศ
ทันใดนั้น ลานประลองอันกว้างใหญ่ก็เงียบสงัดลงทันที จนได้ยิน
แม้กระทั่งเสียงเข็มที่ตกพื้น
ขณะเดียวกัน บรรยากาศก็อึมครึมและกดดันเป็ นอย่างมาก จน
รู ้สึกหายใจล าบากจากนั้นหม่าเป่ ากั้วก็ได้ทรุดลงกับพื้น ท่ามกลางสายตาของทุก
คน
เขาเอาแต่ก้มลงกับพื้น ดวงตาหลับลง น้าตาแห่งความอัดอั้นตัน
ใจ พลันรินไหลออกมา ก่อนจะร ้องไห้ราวกับเด็กน้อย
“เพราะอะไร เพราะอะไรกัน……”
หม่าเป่ากั้วร่างกายสั่นเทา พร ้อมกับสะอึกสะอื้นมิหยุด
เย่ฉางชิงส่ายหน้ายิ้ม ๆ ก่อนจะเพ่งสมาธิเก็บกระบี่จื่อชิงเข้าไปไว้
ในแหวนเก็บสมบัติ
ผ่านไปมิกี่อึดใจ
ขณะที่เย่ฉางชิงเตรียมจะลงจากเวทีประลองหม่าเป่ ากั้วก็เงยหน้าขึ้น ก่อนจะเอ่ยกับเย่ฉางชิงว่า “ข้าอยากรู ้
……เหตุใดข้าถึงแพ้ ? ”
เย่ฉางชิงชั่งใจเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยตอบเบา ๆ ด้วยใบหน้าแฝง
รอยยิ้มอ่อนโยนว่า “มิมีอันใดมาก แค่ระดับตบะบารมีของข้าสูงกว่า
เจ้าหนึ่งระดับก็เท่านั้น”
“ส่วนสาเหตุที่เจ้ามิอาจทาอันใดข้าได้ เป็ นเพราะข้ารู ้แจ้งใน
กระบวนท่าของเคล็ดวิชากระบี่ไร ้สิ้นสุด จึงได้ใช ้คลื่นพลังบางอย่าง
พลิกแพลงกระบวนท่าที่เจ้าใช ้โจมตีข้าเสีย”
เอ่ยถึงตรงนี้เย่ฉางชิงก็หยุดไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยต่อว่า “และ
ระหว่างที่ข้ารู ้แจ้งในภาพกระบี่ไร ้สิ้นสุดนั้น กระบวนท่าแส้ปัญจอสนี
บาตและแส้ทศอสนีบาตอันใดนั่นของเจ้า หาได้เป็ นกระบวนท่าที่
ซับซ ้อนแต่อย่างใดไม่”
สิ้นเสียง เย่ฉางชิงก็เดินไปที่ข้างเวทีประลอง ก่อนจะกระโดดลง
เวทีไปทันทีส่วนหม่าเป่ากั้วก็ยังคงคุกเข่าอยู่บนเวทีประลอง มิได้ขยับเขยื้อน
แม้แต่น้อย เพราะสมองของเขาตอนนี้ได้ขาวโพลนไปหมดแล้ว
‘ภาพกระบี่ไร ้สิ้นสุด ? ’
‘แส้ปัญจอสนีบาตรและแส้ทศอสนีบาตเป็ นแค่กระบวนท่า
ธรรมดาทั่วไป ! ’
‘จะเป็ นไปได้เยี่ยงไร ! ’
‘แล้วภาพกระบี่ไร ้สิ้นสุดนั่นคืออะไรกันแน่ ! เหตุใดถึงมีกระบวน
ท่าของแส้ปัญจอสนีบาตและแส้ทศอสนีบาตอยู่ในนั้นด้วย ? ’
‘เป็ นไปมิได้ ! ใต้หล้านี้จะมีเพลงกระบี่ที่น่ากลัวเช่นนั้นได้เยี่ยงไร
กัน ! ’
‘จริงสิ ! ’‘เขายังบอกอีกว่ามีระดับตบะบารมีที่สูงกว่าข้าหนึ่งระดับ ! ’
เมื่อคิดทบทวนถึงตรงนี้ หม่าเป่ ากั้วก็มีสีหน้าดุดันขึ้นมาอีกครั้ง
ก่อนจะหันไปมองแผ่นหลังของเย่ฉางชิงที่อยู่ด้านล่างเวที
“มิใช่ เจ้ามันขี้โกงต่างหากเล่า ! ”
หม่าเป่ ากั้วเอ่ยกับเย่ฉางชิง พลางขบกรามแน่นจนมีเสียงดัง กร๊
อด ๆ
ทันทีที่สิ้นเสียงนี้ ทุกคนที่อยู่ล่างเวทีก็มีสีหน้าเปลี่ยน พร ้อมกับ
หันไปมองเย่ฉางชิงจนเป็ นตาเดียว
‘ขี้โกงงั้นหรือ ? ’
เย่ฉางชิงหมุนกายไปมองหม่าเป่ ากั้วที่อยู่บนเวที ก่อนจะยักไหล่
และเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “เจ้าหมายความว่าเยี่ยงไร ? ”“ข้ายอมรับว่าความแตกฉานในวิถีกระบี่ของข้าสู้เจ้ามิได้”
หม่าเป่ ากั้วเม้มริมฝี ปากเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยขึ้นอย่างมิพอใจ
“แต่ทุกคนในที่นี้ล้วนถูกค่ายกลของเมืองกระบี่สวรรค์สะกดเอาไว้ จึง
ทาให้ตบะบารมีเหลือเพียงระดับสร ้างรากฐานปราณเท่านั้น แล้วเหตุ
ใดถึงมีเพียงเจ้าที่มีตบะบารมีในระดับสร ้างรากฐานปราณขั้นสุดท้าย
ได้ ? ”
เมื่อได้ยินดังนั้นเย่ฉางชิงก็นิ่งตะลึงไปเล็กน้อย ก่อนจะหันไป
มองชวี่เหวินเซี่ยที่อยู่ข้างกาย
“ศิษย์พี่ชวี่ จริงหรือขอรับ ? ”
ชวี่เหวินเซี่ยนิ่งไปเล็กน้อย ก่อนจะลอบปรายตามองหม่าเป่ากั้วที่
มีสภาพย่าแย่ แล้วจึงฉีกยิ้มออกมา
“ศิษย์น้องเย่ พวกเราล้วนถูกสะกดตบะเอาไว้จริง ๆ แต่การที่เจ้า
มิถูกสะกดไปด้วยนั้นอาจจะเป็ นเพราะพื้นฐานร่างกายของเจ้าก็
เป็ นได้”ดวงตาของชวี่เหวินเซี่ยเป็ นประกาย ขณะเอ่ยอธิบายให้เย่ฉางชิง
ฟัง
‘เพราะพื้นฐานของร่างกาย ? ’
‘หรือพื้นฐานร่างกายของข้าพิเศษกว่าคนอื่นเยี่ยงนั้นหรือ ? ’
‘อีกทั้งหากค่ายกลเมืองกระบี่สวรรค์ สามารถสะกดระดับตบะของ
ทุกคนได้จริง แล้วเหตุใดข้าถึงมิรู ้สึกอันใดเลยเล่า ? ’
อืม !
‘บางทีอาจจะเป็ นเพราะพื้นฐานร่างกายของข้าพิเศษกว่าคนอื่น
จริง ๆ ’
หลังจากนิ่งเงียบอยู่สักพัก เย่ฉางชิงก็ได้เอ่ยกับหม่าเป่ ากั้วว่า
“ท่านพี่หม่า เจ้าเองก็ได้ยินแล้ว ที่ข้ามิถูกค่ายกลเมืองกระบี่สวรรค์สะกดตบะบารมีนั้น เป็ นไปได้ว่าพื้นฐานร่างกายของข้านั้นพิเศษกว่า
คนอื่น”
‘พื้นฐานร่างกายพิเศษกว่าคนอื่น ? ’
‘ที่ผ่านมาโลกบาเพ็ญเพียรใบนี้ วัดคุณสมบัติในการฝึกเซียน
จากคุณภาพของรากวิญญาณ’
‘คุณภาพพื้นฐานร่างกายจึงมีความเกี่ยวข้องต่อคุณภาพของ
รากวิญญาณอย่างมาก’
‘อีกทั้งเมืองกระบี่สวรรค์ยังถูกปกคลุมไปด้วยค่ายกลมากมาย มิ
ว่าผู้ใดก็ล้วนถูกค่ายกลสะกดเอาไว้ทั้งสิ้น’
‘ต่อให้พื้นฐานร่างกายจะแข็งแกร่งเพียงใด ก็มิมีทางเป็ นไปได้
เด็ดขาดที่จะมิถูกค่ายกลสะกดเอาไว้ ? ’
‘คาพูดเพ้อเจ้อเช่นนี้จะให้คนเชื่อได้เยี่ยงไรกัน ! ’เมื่อนึกถึงตรงนี้ มุมปากของหม่าเป่ ากั้วก็โค้งขึ้น เผยสีหน้าเย้ย
หยันออกมา
ทว่าขณะที่เขาเตรียมจะเอ่ยปากโต้แย้งเย่ฉางชิงนั้น วินาทีต่อมา
สีหน้าของเขาก็พลันเปลี่ยนไป มิสามารถเปล่งเสียงใด ๆ ออกมาได้
อีก เพราะมีร่างผอมบางร่างหนึ่ง ปรากฏขึ้นข้างกายของเขาราวกับผี
ก็มิปาน ซึ่งคนผู้นั้นก็คือ ขงซิงเจี้ยน
การปรากฏตัวของขงซิงเจี้ยนนั้น นอกจากจะมีท่าทีที่เคร่งขรึม
แล้ว ร่างของเขายังแผ่ไอพลังอันน่าเกรงขามออกมาอีกด้วย
“พวกเจ้ามิต้องสงสัยอันใดอีกแล้ว แดนสวรรค์บูรพากว้างใหญ่
ไพศาล สิ่งที่คาดมิถึงย่อมมีอยู่อีกมากมาย”
เขาปรายตาไปทางหม่าเป่ ากั้วเล็กน้อย จากนั้นจึงกวาดตามอง
เหล่าคนที่ยังมีท่าทีสงสัยอยู่ “การที่เย่ฉางชิงมิถูกค่ายกลของเมือง
กระบี่สวรรค์สะกดตบะบารมีนั้น เป็ นเพราะพื้นฐานร่างกายของเขา
แตกต่างจากผู้อื่นจริง ๆ ”“อีกอย่างความรู ้แจ้งในวิถีกระบี่ของเย่ฉางชิง ยังเหนือกว่าหม่า
เป่ ากั้วมากนัก การประลองในรอบนี้มิว่าเยี่ยงไร เขาก็มิสามารถ
เอาชนะได้หรอก”
ทันทีที่สิ้นเสียง ทุกคนต่างก็สบตากัน ก่อนจะพยักหน้าเห็นด้วย
ต่อมาทุกคนก็เผยสีหน้าโล่งใจออกมา
ฐานะของชายชราผู้นี้เป็ นใครนั้น พวกเขามิอาจจะรู ้ได้ แต่การที่
คนผู้นี้สามารถปรากฏตัวที่นี่ได้อย่างไร ้ร่องรอย ก็พอจะอธิบายถึง
อานาจของชายชราผู้นี้ได้แล้ว
อีกทั้งข่าวลือเกี่ยวกับเมืองกระบี่สวรรค์นั้น พวกเขาต่างก็เคยได้
ยินมา ขณะที่อยู่ในสานักของตนแล้ว เช่นนี้ก็แสดงว่าตาแหน่งใน
นิกายกระบี่สวรรค์ของชายชราผู้นี้ ย่อมมิอาจดูแคลนได้
ดังนั้นเมื่อชายชราผู้นี้ยอมออกหน้าช่วยอธิบาย พวกเขาย่อม
ต้องเชื่อฟังอย่างไร ้ข้อกังขาอยู่แล้วผ่านไปสักพักขงซิงเจี้ยนก็กวาดตามองทุกคนอีกครั้ง ก่อนจะส่ง
สายตาสื่อสารกับชวี่เหวินเซี่ย พลางถอนหายใจอย่างโล่งอก
‘ต้องยอมรับว่าตอนที่หม่าเป่ ากั้วเอ่ยปากถามเย่ฉางชิงออกไป
เช่นนั้น’
‘เขารู ้สึกร ้อนใจเป็ นอย่างมาก เพราะหากหม่าเป่ ากั้วเอ่ยความ
จริงบางอย่างออกมา แล้วไปสะกิดท าให้เย่ฉางชิงปลดผนึกความทรง
จาและตบะบารมีขึ้นมาก่อนกาหนด’
‘เกรงว่านิกายกระบี่สวรรค์จะต้องพบกับหายนะครั้งใหญ่อย่าง
แน่นอน อีกอย่างเขาเข้าใจอย่างลึกซึ้ง ถึงความแตกฉานในวิถีกระบี่
และวิถีดนตรีอันน่าสะพรึงกลัวของเย่ฉางชิงด้วยตนเองมาแล้ว’
‘หากทาให้เย่ฉางชิงปลดผนึกความทรงจาและตบะบารมีขึ้นก่อน
เวลา ถึงตอนนั้นเยฉางชิงจะต้องมิพอใจอย่างแน่นอน ต่อให้เป็ นเขาก็
เชื่อว่ายังมิสามารถต้านทานเย่ฉางชิงได้ กลับกันเขาอาจจะติดร่างแห
ไปด้วยก็เป็ นได้’เมื่อคิดถึงตรงนี้ ขงซิงเจี้ยนก็พ่นลมหายใจออกมาอีกครั้งอย่าง
อดมิได้
หลังจากนิ่งเงียบไปอีกพักใหญ่ ขงซิงเจี้ยนก็ถอนสายตากลับมา
พร ้อมกับดีดนิ้วเบา ๆ ผนึกที่สะกดร่างของหม่าเป่ ากั้วอยู่พลันปลด
ออก
“เจ้าหนุ่ม เดิมทีด้วยคุณสมบัติของเจ้า ข้าสามารถให้เจ้าเข้าไป
เป็ นศิษย์ในของนิกายกระบี่สวรรค์ได้ แต่น่าเสียดายที่เจ้ากลับกล้า
สงสัยในอานาจของนิกายกระบี่สวรรค์ของข้า”
ขงซิงเจี้ยนเอ่ยกับหม่าเป่ากั้วด้วยสายตาวาวโรจน์
หม่าเป่ ากั้วมองเขาด้วยสีหน้าหวาดกลัว ก่อนจะโค้งตัวลงแล้ว
เอ่ยว่า “ศิษย์ผิดไปแล้ว ขอผู้อาวุโสอภัยให้ด้วยขอรับ”
ขงซิงเจี้ยนจึงเอ่ยเสียงเรียบว่า “เจ้าจงจาเอาไว้ นับตั้งแต่วันนี้เป็ น
ต้นไป เจ้าอย่าได้เปิดปากพูดสิ่งใดออกมาอีก และให้บาเพ็ญเพียรอยู่นอกส านักเป็ นเวลาสิบปี จึงจะสามารถเข้าไปบ าเพ็ญเพียรในนิกาย
กระบี่สวรรค์ได้ เจ้าจะยอมหรือไม่ ? ”
หม่าเป่ ากั้วถึงกับสะดุ้งโหยง ก่อนจะรีบตอบรับอย่างโศกเศร ้าว่า
“ศิษย์……น้อมรับคาสั่งขอรับ”
“เจ้าระวังตัวให้ดีก็แล้วกัน”
ขงซิงเจี้ยนแค่นเสียงข่มออกมาเบา ๆ ก่อนจะหันไปพยักหน้า
ด้วยรอยยิ้มให้แก่เย่ฉางชิง
“ประลองต่อได้” ขงซิงเจี้ยนหันไปทางพวกซูหรัน ก่อนจะเอ่ยขึ้น
เรียบ ๆ แล้วจึงเหาะขึ้นฟ้ าและหายไปในอากาศอย่างรวดเร็ว