เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน - ตอนที่ 406 ศิษย์น้องซ่ง พอได้แล้ว
จนเวลาผ่านไปเกือบสามชั่วยาม การประลองรอบคัดเลือกที่
เมืองกระบี่สวรรค์ จึงได้จบลงอย่างสมบูรณ์ แต่เนื่องจากการปรากฏ
ตัวของท่านบรรพจารย์ขงซิงเจี้ยน ทาให้อัจฉริยะในการฝึกเซียนหม่า
เป่ ากั้ว ต้องไปบาเพ็ญเพียรที่นอกสานัก ดังนั้นจึงทาให้การประลอง
ในครั้งนี้ มีผู้เข้ารอบทั้งสิ้น 301 คน มิใช่ 300 คนเหมือนทุกปี
ส่วนเย่ฉางชิงและชวี่เหวินเซี่ยนั้นจึงกลายเป็ นคนที่มี
ความสามารถโดดเด่นมากที่สุดในบรรดาสามร ้อยคนนี้ ซึ่งทุุกคนก็
ได้เห็นด้วยตาตนเองมาแล้ว ถึงท่าทีที่ขงซิงเจี้ยนแสดงออกระหว่าง
หม่าเป่ากั้วและเย่ฉางชิง
ซึ่งพวกเขามองว่าเป็ นไปได้สูงที่เย่ฉางชิงจะเข้าตาของขงซิง
เจี้ยน และถูกรับเป็ นศิษย์สายสืบทอดอีกด้วย นั่นก็หมายความว่าใน
การทดสอบต่อจากนี้ สาหรับเย่ฉางชิงแล้ว ก็เป็ นเพียงแค่ขั้นตอน
หนึ่งก็เท่านั้น เพราะการจะเข้าเป็ นศิษย์สายในของนิกายกระบี่สวรรค์
เป็ นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้วขณะเดียวกันศิษย์ของนิกายกระบี่สวรรค์อย่างพวกซูหรัน กลับ
มองว่าเรื่องนี้หาได้ง่ายดายเช่นนั้นไม่
แม้ขงซิงเจี้ยนจะมีตาแหน่งเช่นไรในนิกายกระบี่สวรรค์ และพวก
นางต่างรู ้ดีว่า คนผู้นี้เป็ นหนึ่งในผู้ที่โดดเด่นเป็ นอย่างมากในนิกาย
กระบี่สวรรค์ ตบะบารมีลึกล้าสุดจะหยั่ง ความรู ้แจ้งในวิถีกระบี่สูงถึง
ระดับที่พวกนางมิอาจคาดเดาได้
แต่มีสิ่งหนึ่งที่พวกนางคิดเหมือนกับคนอื่น ๆ นั่นก็คือท่านบรรพ
จารย์ขงซิงเจี้ยนคงต้องการรับเย่ฉางชิงเข้าเป็ นศิษย์สายสืบทอดของ
เขาอย่างแน่นอน
ทว่าเช่นนี้ก็หมายความว่า วินาทีที่เย่ฉางชิงก้าวเข้าสู่นิกายกระบี่
สวรรค์ ความอาวุโสของเขาก็จะเทียบเท่ากับท่านประมุข ของนิกาย
กระบี่สวรรค์ในทันที และหากเป็ นเช่นนั้น เมื่อพวกนางได้พบเย่ฉาง
ชิงอีกครั้ง ก็จะต้องเรียกเขาว่าอาจารย์อาเย่ด้วยน่ะสิด้วยเหตุนี้ บนเรือเหาะที่กาลังมุ่งหน้าไปนิกายกระบี่สวรรค์ เย่
ฉางชิงจึงถูกห้อมล้อมไปด้วยเหล่าสตรี และพูดคุยกับศิษย์ของส านัก
อื่น ๆ อย่างสนุกสนานอยู่นั้น
ศิษย์หลายคนของนิกายกระบี่สวรรค์ที่มีซูหรันเป็ นตัวแทน ก็ได้
เข้ามาแสดงความยินดีกับเขาด้วย
จนเวลาผ่านไปอีกครู่ใหญ่ เมื่อเรือเหาะหลายลาเริ่มเข้าใกล้
นิกายกระบี่สวรรค์ ทุกคนต่างก็ลุกขึ้นในทันที
ถึงแม้ว่าพวกเขาจะมาจากสานักน้อยใหญ่ที่พึ่งพิงนิกายกระบี่
สวรรค์ ทว่าศิษย์อย่างพวกเขา หรือแม้แต่เจ้าส านักและเหล่าผู้อาวุโส
ในส านัก
หากมิได้รับคาเชิญ ก็จะมิสามารถเข้าใกล้นิกายกระบี่สวรรค์ได้
มิเช่นนั้นจะต้องถูกสอบสวน
ดังนั้นมิเพียงแค่เย่ฉางชิงหรือชวี่เหวินเซี่ย แม้แต่คนอื่น ๆ เองก็
ถือเป็ นครั้งแรกเช่นกัน ที่ได้เห็นนิกายกระบี่สวรรค์กับตาตนเองเช่นนี้ลึกเข้าไปในหุบเขาแม้จะมีเมฆหมอกปกคลุม ทุกสิ่งทุกอย่างดู
เลือนลาง แต่ด้วยแสงที่สาดส่องลงมา ทาให้เห็นสิ่งก่อสร ้างเก่าแก่
มากมายตั้งตระหง่านอยู่ กระจัดกระจายอยู่ตามที่ต่าง ๆ
ส่วนด้านบนมีเกาะลอยฟ้ าที่ลอยอยู่กลางอากาศ ราวกับก้อน
เมฆอยู่หลายร ้อยเกาะ ทว่าจะมีลักษณะการลอยที่แตกต่างกันไป
ส่วนด้านบนของเกาะลอยฟ้ าก็จะมีสิ่งก่อสร ้างเก่าแก่ตั้งอยู่
โดยรอบ ๆ จะปกคลุมไปด้วยสัญลักษณ์โบราณมากมาย ราวกับ
ต าหนักเซียน
มีน้าตกที่ลอยอยู่กลางอากาศ พ่นละอองน้าออกมาเป็ นชั้น ๆ ทั้ง
ยังมีวิหคโบยบินและส่งเสียงร ้องดังขึ้นเป็ นพัก ๆ มีร่างสูงเพรียว
มากมาย บ้างก็ยืนเอามือไพล่หลัง บ้างก็นั่งสมาธิ รอบกายมีแสงเปล่ง
ออกมา ราวกับเซียน……
เวลานี้ภาพที่ปรากฏสู่สายตาของทุกคนนั้น ช่างเป็ นภาพที่
งดงามยิ่งนัก !ตอนนั้นเอง ขณะที่เย่ฉางชิงกาลังราพึงราพันกับตนเอง ถึงวิว
ทิวทัศน์อันงดงามตรงหน้า
ซูหรันที่ยืนอยู่ข้างกายเขาก็ยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน พร ้อมกับ
เหลือบมองใบหน้าของเย่ฉางชิง ก่อนจะเอ่ยขึ้นเบา ๆ ว่า
“ที่เห็นอยู่นั้นเป็ นด้านนอกของนิกายกระบี่สวรรค์ ส่วนด้านใน
นั้นแม้ว่าศิษย์สายนอกอย่างพวกเราจะมิเคยเข้าไป แต่ก็พอได้ยินมา
บ้าง”
เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ แววตาของซูหรันก็เปล่งประกายออกมา ท่าทาง
เต็มไปด้วยความเพ้อฝัน
“กล่าวกันว่าสถานที่บาเพ็ญเพียรของศิษย์สายในนั้นราวกับโลก
อีกใบก็ว่าได้ ปราณวิญญาณฟ้ าดินภายในนั้นหนาแน่นจนแยกมิ
ออก ขณะเดียวกันยังได้มีการวางจิตวิญญาณฟ้ าดินชนิดต่าง ๆ
เอาไว้จนเต็มพื้นที่ ทาให้กลายเป็ นดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งการบาเพ็ญ
เพียรอย่างแท้จริง……”ซูหรันยังเอ่ยมิทันจบ เย่ฉางชิงก็ถอนสายตากลับมา พร ้อมเอ่ย
กับซูหรันว่า
“ศิษย์พี่ท่านนี้ ท่านคิดว่าข้ามีคุณสมบัติมากพอ ที่จะผ่านการ
ทดสอบจนสามารถเข้าไปฝึกในส านักได้หรือไม่ขอรับ”
ศิษย์พี่ ?
ซูหรันสะดุ้งเล็กน้อย รู ้สึกราวกับมีความอบอุ่นบางอย่างแผ่ซ่าน
ในหัวใจ อย่างที่มิเคยเป็ นมาก่อน
ทันใดนั้น นางก็อดมิได้ที่จะชาเลืองมองใบหน้าของเย่ฉางชิง ที่
แฝงไว้ด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน
นับตั้งแต่บาเพ็ญเพียรมาจนถึงทุกวันนี้ นางยังมิเคยพานพบบุรุษ
ที่โดดเด่นทั้งฝี มือ และรูปลักษณ์เช่นนี้มาก่อน อีกทั้งยังสุภาพและ
ถ่อมตนมากถึงเพียงนี้แน่นอนว่าบุรุษเช่นนี้ ย่อมทาให้สตรีทุกคนรู ้สึกใจสั่นเพราะเขา
ได้ ซึ่งสตรีที่ว่ามานั้นก็รวมถึงนางด้วยเช่นกัน แต่พอคิดได้ดังนั้น แวว
ตาของซูหรันก็มีประกายขัดเคืองพาดผ่าน พลางพร่าบ่นอยู่ในใจว่า
‘เหตุใดต้องให้ข้าพบเจอกับบุรุษที่โดดเด่นเช่นนี้ด้วยเล่า ในเมื่อ
ตัวข้าต่าต้อยถึงเพียงนี้ หรือว่าตัวข้า ซูหรัน จะถูกกาหนดเอาไว้แล้ว
ว่าจะต้องผิดหวังในเรื่องความรักเยี่ยงนั้นหรือ ? ’
หลังจากนิ่งเงียบไปสักพัก เย่ฉางชิงจึงสังเกตเห็นว่าซูหรันมีท่าที
ที่เปลี่ยนไป จึงอดมิได้ที่จะเอ่ยปากถามขึ้นอีกครั้ง
ซูหรันจึงได้สติขึ้นมา ก่อนจะพยักหน้าน้อย ๆ
มินานระหว่างที่ทุกคนกาลังทอดอารมณ์ไปกับทัศนีย์ภาพอัน
แปลกตาตรงหน้า
ในที่สุดเรือเหาะทั้งหมดก็ได้มาถึงน่านฟ้ าเหนือจัตุรัส ตรงเชิงเขา
ของนิกายกระบี่สวรรค์ทว่าขณะที่เรือเหาะทุกลาค่อย ๆ ลอยลงมายังจัตุรัสแห่งนั้น ทุก
คนก็สัมผัสได้ทันทีว่าปราณวิญญาณฟ้ าดินธาตุต่าง ๆ ในที่นี้ เมื่อ
เทียบกับสานักที่พวกเขาคุ้นเคย ช่างหนาแน่นกว่าจนมิอาจเอามา
เทียบเคียงได้
นี่ก็คือความแข็งแกร่งของนิกายกระบี่สวรรค์ 1 ใน 4 ส านัก
เซียนใหญ่แห่งหลิงโจว
มิกี่อึดใจต่อมา
ระหว่างที่ทุกคนกาลังรู ้สึกตื่นเต้นยินดีอยู่นั้น ร่างที่ดูสมส่วนสิบ
กว่าร่างก็ได้ลอยลงมาจากฟากฟ้ า ก่อนจะหยุดลงที่หน้าประตูโบราณ
ที่สูงตระหง่าน และตั้งอยู่ในชัยภูมิที่ดี ที่อยู่มิไกลจากพวกเขานัก
บุรุษหนุ่มสิบกว่าคนที่สวมชุดคลุมสีดาลายเมฆา สะพายกระบี่อยู่
ที่ด้านหลัง แต่ละคนมีสายตาเฉียบคม ทว่ากลับมีท่าทีเย็นชายิ่ง
พร ้อมแผ่ไอพลังที่น่าสะพรึงกลัวออกมาด้วยขณะที่เท้าของพวกเขาแตะพื้น และยืนได้อย่างมั่นคงแล้วนั้น
จู่ ๆ ก็มีร่างคนอีกสองร่างลอยลงมาจากบนฟ้ าด้วยเช่นกัน พร ้อม
ไอพลังที่แข็งแกร่งกว่าคนกลุ่มแรกหลายเท่า เห็นได้ชัดว่าคนทั้งสอง
นี้ก็ คือ ผู้รับผิดชอบการทดสอบต่อจากนี้นั่นเอง
แต่ว่าสิ่งที่คาดมิถึงก็คือ พวกเขาสองคนหาใช่ชายชราที่มีเส้น
ผมขาวโพลนไม่ แต่กลับเป็ นบุรุษหนุ่มที่มีใบหน้าหล่อเหลา ท่วงท่า
สง่างามยากจะหาผู้ใดมาเปรียบได้
มินานซูหรันก็รีบเดินเข้าไปหา
“ศิษย์สายนอก ซูหรัน คารวะศิษย์พี่ทั้งสอง”
ซูหรันประสานมือคาราวะให้แก่บุรุษหนุ่มทั้งสอง ก่อนจะนา
รายชื่อในมือส่งให้บุรุษหนุ่มที่ถือพัดอยู่ในมือยกยิ้มออกมา ก่อนจะยื่นนิ้วชี้และ
นิ้วกลางออกมา พร ้อมกับสะบัดเบา ๆ รายชื่อในมือของซูหรันพลัน
ลอยไปตรงหน้าของคนผู้นั้นในทันที
ก่อนที่บุรุษหนุ่มจะเปิ ดรายชื่อนั้นขึ้นมา พร ้อมกวาดสายตาดู
รายชื่อในบันทึกดังกล่าว พลางเอ่ยถามเสียงเรียบว่า
“ครั้งนี้ศิษย์จากสานักสิงหยุนที่มีนามว่าหม่าเป่ ากั้ว พ่ายแพ้บ้าง
หรือไม่ ? ”
ความอึดอัดใจบางอย่างฉายชัดในแววตาของซูหรัน หลังจาก
ลังเลอยู่สักพัก นางจึงได้รายงานไปตามจริงว่า “เรียนศิษย์พี่ แพ้หนึ่ง
ครั้งเจ้าค่ะ”
“อีกทั้งหากมิใช่เพราะท่านบรรพจารย์ขง เกรงว่าหม่าเป่ากั้วก็คง
มิได้เข้าร่วมการทดสอบรอบต่อไปในนิกายกระบี่สวรรค์อีกเจ้าค่ะ”เมื่อได้ยินคากล่าวนี้ บุรุษหนุ่ มนามว่า ซ่งจืออวี่ ก็มีสีหน้า
เปลี่ยนไปเล็กน้อย พร ้อมกับเอ่ยถามว่า “ท่านบรรพจารย์ขงได้กล่าว
สิ่งใดอีกหรือไม่ ? ”
ซูหรันจึงเอ่ยตามตรงว่า “ท่านบรรพจารย์ขงยังก าชับด้วยว่า ให้
หม่าเป่ ากั้วนั้นบาเพ็ญเพียรได้แค่ภายนอกสานักเป็ นเวลาสิบปี และ
ห้ามปริปากพูดสิ่งใดออกมาอีก จนกว่าจะครบกาหนดเวลาเจ้าค่ะ”
เมื่อได้ยินดังนั้น แววตาของซ่งจืออวี่ก็มีประกายบางอย่างพาด
ผ่านในทันที พร ้อมกับเอ่ยเสียงเข้มว่า “เช่นนั้นเจ้ารู ้หรือไม่ ว่าเหตุใด
ถึงเป็ นเช่นนั้น?”
ซูหรันส่ายหน้าน้อย ๆ
ซ่งจืออวี่จึงเอ่ยต่อว่า “หม่าเป่ากั้วพ่ายแพ้ให้กับผู้ใด ? ”
ซูหรันขมวดคิ้วน้อย ๆ ก่อนตอบกลับด้วยน้าเสียงแหบแห้งว่า “เย่
……ฉางชิงเจ้าค่ะ”ตอนนั้นเองบุรุษหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างกายซ่งจืออวี่ จึงได้เอ่ยขัดขึ้นว่า
“ศิษย์น้องซ่ง พอได้แล้วน่า”